ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
หลวงพ่อคืน ปสันโน คืนสิ้น ไม่ข้องเปล่า http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=46835 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | หนวดเต่า [ 19 พ.ย. 2013, 15:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | หลวงพ่อคืน ปสันโน คืนสิ้น ไม่ข้องเปล่า |
![]() หลวงพ่อคืน ปสันโน คืนสิ้น ไม่ข้องเปล่า สาแหรกแห่งพระอริยะที่แตกแขนงไปในฝั่งอีสานใต้ โดยมี หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นองค์ประธานนั้น มีมากกว่าการรับรู้ของคนทั่วไป หนึ่งในนั้นคือ หลวงพ่อคืน ปสันโน วัดป่าบวรสังฆาราม (วัดหน้าเรือนจำ) อ.เมือง จ.สุรินทร์ สาแหรกแห่งพระอริยะที่แตกแขนงไปในฝั่งอีสานใต้ โดยมี หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นองค์ประธานนั้น มีมากกว่าการรับรู้ของคนทั่วไปที่มักคุ้นแต่ชื่อ หลวงปู่ดูลย์และหลวงปู่สาม อกิญจโน ยังมีอีกไม่น้อยที่อยู่ในสายธรรม ตามหลวงปู่ดูลย์ไปได้ หนึ่งในนั้นคือ หลวงพ่อคืน ปสันโน วัดป่าบวรสังฆาราม (วัดหน้าเรือนจำ) อ.เมือง จ.สุรินทร์ หลวงพ่อคืน ปสันโน เกิด ณ ชุมชนตรอกโพธิ์ร้าง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือนอ้าย ปีมะแม พ.ศ. 2462 เป็นบุตรคนที่ 4 จากทั้งหมด 6 คนของนายทูลและนางเกียม เทียบทอง ในวัยเด็กนั้นมีเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งซึ่งมีผลต่อชีวิตท่านอย่างใหญ่หลวงนั่นคือ วันหนึ่งหลังจากเล่นกระโดดค้ำถ่อกับเพื่อนๆ แล้ว ขณะไปอาบน้ำที่สระน้ำวัดพรหมสุรินทร์ก็เกิดอาการคล้ายเป็นตะคริว เมื่อมีคนช่วยนำตัวส่งกลับบ้านก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นอนอยู่บนแคร่ใต้ถุนบ้านจนแขนขาข้างขวาลีบเล็กลง รักษาด้วยวิธีการอย่างไรก็ไม่หาย บัดมันจะดีขึ้นก็ประหลาดคือ มีเรี่ยวแรงขึ้นจนกระทั่งสามารถลุกขึ้นเดินได้เอง แต่แขนและขาซีกขวาที่ลีบลงนั้นเสียไป ไม่อาจจะกลับมาเป็นดั่งเดิมได้อีกแล้ว เมื่อเจริญวัยขึ้น ท่านได้แต่งงานมีบุตรหนึ่งคน ประกอบอาชีพหาอยู่หากินด้วยการเป็นคนเลี้ยงเป็ด วันหนึ่งในฤดูแล้งปี 2500 ซึ่งเป็นช่วงกึ่งพุทธกาลพอดิบพอดีนั้น ชีวิตนายคืนซึ่งดำเนินมา 38 ปี ก็พลิกผัน วันเกิดเหตุนั้นมีชาวบ้าน 6 คน ซึ่งดูแล้วเป็นคู่สามีภรรยากัน 3 คู่พากันหาบคอนสิ่งของผ่านหน้าคนเลี้ยงเป็ดผู้นี้มุ่งหน้าไปทางวัดป่าโยธาประสิทธิ์ หนึ่งในนั้นแม้จะผิวพรรณดำๆ แต่แลดูผ่องใสมีสง่าราศียิ่งนัก เลยอดถามขึ้นไม่ได้ว่า ทำไมมาทำบุญแถวนี้ที่บ้านไม่มีวัดไม่มีพระหรือไง ชายผู้นั้นซึ่งต่อมาทราบชื่อว่า กำนันแปกตอบว่า มีเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน คำอรรถาธิบายตามมาคือ พระทั่วไปนั้นเป็นเพียงแต่สมมติสงฆ์ และกัลยาณสงฆ์ ยังไม่ใช่พระแท้ สงฆ์สาวกที่แท้นั้นถ้าเป็นพระสุปฏิปันโน หมายถึงประโสดาบัน พระอุชุปฏิปันโน คือ พระสกิทาคามี พระญายะปฏิปันโน หมายถึงพระอนาคามี พระสามีจิปฏิปันโน หมายถึงพระอรหันต์ คำอธิบายนั่นสั่นสะเทือนหัวใจนายคืนชายเลี้ยงเป็ดยิ่งนัก เลยถามต่อว่า แล้วถ้าคนอย่างเราปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง จะเป็นพระสุปฏิปันโนได้ไหม? คำตอบที่ตามมานั้นเองที่ทำให้ชีวิตของท่านเปลี่ยนไป ทั้งสองมิได้สนทนากันหนเดียว การได้พบกันในชั้นหลังๆ นายคืนก็ได้รับความรู้ทางธรรมจากกำนันแปกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ตัดสินใจขายเป็ดทิ้งทั้งหมดหันมาประกอบอาชีพปลูกผักแทน เพราะเห็นว่าเป็นการขโมยชีวิตคนอื่น จากการสนทนากันริมทาง ขยับเข้าไปสู่เขตวัดป่าโยธาประสิทธิ์ ณ ที่นั่น นายคืนเริ่มหัดนั่งสมาธิ จากคนไม่รู้จักศีลไม่รู้จักธรรม กลายเป็นวันพระไปถือศีลที่วัด วันธรรมดาปฏิบัติอยู่บ้าน ท่านเล่าในกาลต่อมาว่า ที่วัดสอนให้ภาวนาโดยบริกรรมพุทโธ ธัมโม สังโฆ ซึ่งทำแล้วก็ไม่มีผลปรากฏนัก แต่มาพบหนทางที่ถูกจริตตนเองเมื่อวันหนึ่งขุดดินยกร่องแปลงผักแล้วนั่งพักเหนื่อยอยู่ ขณะมองดูเนินดินที่ยกร่องขึ้นนั้น จิตเกิดเป็นสมาธิขึ้น นับแต่นั้นมาท่านจึงชอบยกดินขึ้นเป็นอารมณ์กรรมฐาน วิธีการของท่านคือ “ให้จิตจดจ่อกับดิน ไม่ต้องสนใจลมหายใจ นานเข้าจิตนิ่งพอสมควรให้ดึงจิต ซึ่งติดอยู่กับดินนั้นมาไว้ที่ปลายจมูกแล้วมาหยุดเลย” เมื่อสอบอารมณ์กับตาแปกว่า ผลที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไรก็ได้ความว่า เกิดปีติขึ้น คำถามต่อมาคือ ปฏิบัติได้อย่างนี้หากตายไปจะไปสู่หนไหน ตาแปกว่า “วิตก วิจาร ปีตินี้ตกสวรรค์ชั้น 4 คือ ดุสิต” คำตอบนี้ทำให้ท่านมีกำลังใจที่จะปฏิบัติมากขึ้น ประจวบกับต่อมามีผู้ใฝ่ธรรมในชุมชนตรอกโพธิ์ร้างได้รวมกลุ่มกันปฏิบัติภาวนา วันพระก็พากันไปรักษาศีล หาโอกาสตระเวนไปกราบครูบาอาจารย์ วันธรรมดาก็มาปฏิบัติที่บ้านท่าน โดยกางมุ้งหลังใหญ่ๆ เอาไว้เป็นหลังๆ แยกปฏิบัติ ชาย หญิง ตัวท่านเองปฏิบัติโดยใช้วิธีการปฐวีกสิณอยู่ทุกวัน จนเกิดสุข เอกัคคตา และฌาน 4 อยู่มากระทั่งวันหนึ่งจิตเป็นเอกัคคตา และอุเบกขา แล้วทรงอยู่ พักหนึ่งก่อนผุดหายเงียบไปในอากาศ แล้วนิ่งเฉยอยู่ มองไปทางไหนก็ไม่มีอะไรเลย บ้านเมืองก็ไม่มี เมืองสุรินทร์ก็ไม่มี หันมาดูตัวเองก็ไม่มี ถึงจุดนี้เลยคิดว่า บรรลุพระอรหันต์แล้ว รุ่งขึ้นท่านตื่นแต่เช้าไปนั่งดื่มกาแฟ แล้วเดินดุ่มเข้าวัดบูรพาราม เพื่อพบหลวงปู่ดูลย์ ท่านก็ทักว่า “ว่ายังไงโยมคืน มาแต่เช้า มีอะไรว่ามา” “ผมมาบอกหลวงพ่อครับว่า เมื่อคืนผมไปนิพพาน” แล้วท่านก็เล่าให้หลวงปู่ดูลย์ฟังถึงการดำเนินจิตเมื่อคืนที่ผ่านมา หลวงปู่ดูลย์ก็ฟังนิ่งอยู่จนจบแล้วถามว่า “ขณะนั้นโยมยังจำได้หรือไม่ว่า บ้านอยู่ที่ไหน เมืองสุรินทร์อยู่ที่ไหน ลูก-ภรรยาโยมชื่ออะไร” “จำได้โดยตลอดครับ” “ยังงั้นไม่ใช่นิพพานหรอก เคยได้ยินเขาสวดกันไหมว่า ขันธ์หนึ่ง ขันธ์สี่ มิมีประมาณ ท่องเที่ยวในภพพิเศษโอฬาร ภพน้อยกันดารก็ดุจกัน...ยังมีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงเป็นเพียงขันธ์สี่ ไม่ใช่นิพพาน” “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่สิหลวงพ่อ” “ก็มันไม่ใช่นั่นแหละ มันแค่ขันธ์สี่ที่ทิ้งแต่รูปเท่านั้น...จิตอย่างนี้ยังออกนอกอยู่นะ จิตออกนอกเป็นตัวสมุทัยนะ มันจะเสียเวลาเปล่า ให้พยายามหยุดอีก อย่าให้มันออกนอกนะ” การปฏิบัติของท่านมาเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง เมื่อได้รับผลสั่นสะเทือนจากการปฏิบัติของกัลยาณมิตรธรรมนาม “โบว์ ยิ่งรุ่งโรจน์” นายโบว์ผู้นี้อยู่บ้านใกล้กับท่าน เป็นหนึ่งในคณะปฏิบัติธรรมตรอกโพธิ์ร้าง เดิมบวชเป็นผ้าขาวปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่สาม ที่วัดป่าไตรวิเวกอยู่ถึง 7 ปี แต่เพราะสุขภาพไม่ดีจึงกลับมาปฏิบัติธรรมที่บ้าน แต่ไม่ได้สึกจากการเป็นผ้าขาว วันหนึ่งผ้าขาวโบว์ก็บอกกับท่านว่า หากมีโอกาสได้พบหลวงปู่ดูลย์ช่วยกราบเรียนท่านให้มาโปรดที่บ้านด้วย เพราะมีเรื่องจะถามเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม ต่อมาบ้านหลังหนึ่งในชุมชนจัดทำบุญขึ้นบ้านใหม่ โดยนิมนต์หลวงปู่ดูลย์มาทำพิธีเพียงรูปเดียว พอเสร็จงานแล้วท่านจึงกราบเรียนหลวงปู่ตามที่ผ้าขาวโบว์ขอไว้ เมื่อหลวงปู่ดูลย์ไปถึงบ้านพ่อขาวโบว์ก็เข้ามากราบแล้วเรียนให้หลวงปู่ทราบว่า “ผมภาวนาไป จิตก็นิ่งดูแต่สว่างๆ ขาวๆ ข้างหน้า ไม่ทราบว่า จะอย่างไรต่อไป” หลวงปู่ดูลย์ก็ว่า “ให้ใช้ปัญญาแทงติดตรงไป ให้พยายามแทงตรงนั้น แทงจากบนลงมาข้างล่าง ให้พยายามทำไป ได้ผลอย่างไรให้ไปบอก ถ้าไปไม่ได้ ให้ฝากโยมคืนไปก็ได้” หลังจากนั้นเพียง 2-3 วัน โยมคืนก็ได้ยินข่าวว่า พ่อขาวโบว์ตกกระแสธรรม ท่านจึงไปสอบถามถึงที่บ้าน ท่านเล่าว่า เมื่อไปถึงนั้นบ้านเงียบสงัดพอพ่อขาวโบว์เห็นก็เรียกว่า “โอ๊ว น้าคืนมา มา มานั่งสมาธิกัน” โยมคืนก็ใช้โอกาสนั้นกำหนดจิตดูพ่อขาวโบว์ทันทีผลปรากฏว่าจิตของท่านโดนผลักออกมา ทดลองอีกครั้งผลก็เป็นเช่นเดียวกัน! ณ บัดนั้นเอง โยมคืนก็สรุปกับตัวเองได้ว่า จิตของพ่อขาวโบว์ถึงโลกุตระแล้ว จิตของท่านเองยังอยู่ในโลกียะ ท่านดูจิตพ่อขาวโบว์ไม่ได้แล้ว! โยมคืนจึงก้มลงกราบพ่อขาวโบว์แล้วขอให้แนะนำว่า ใช้อุบายในการปฏิบัติอย่างไรถึงตกกระแสธรรม “พ่อขาวโบว์ก็เล่าให้ฟังว่า ท่านไม่ได้แทงอย่างที่หลวงปู่ดูลย์สอน แต่พิจารณาว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกิดขึ้น มันล้วนมีเหตุมาจากรูปทั้งสิ้น ถ้าหมดรูป เรื่องก็หมดเท่านั้น เราไปยึดรูปเองต่างหาก ดังนั้นท่านจึงกำหนดรูปนิมิตของตัวเองขึ้นแล้วทำลายทิ้งเสีย โดยกำหนดเอาเชือกมาขันชะเนาะตามข้อพับ ขาและแขน หมุนชะเนาะ จนขาและแขนนั้นหลุดออก แล้วเอาวางเป็นแถวบนพื้นดิน จากนั้นก็ถลกเอาหนังออกมา แล้วคลี่ออกลงบนพื้น ผ่าหน้าท้องดึงเอาปอด ตับ หัวใจ และกระเพาะอาหารออกมาหมด และผ่ากะโหลก เอาสมองออกมาดู ท่านว่ามันเหมือนก้อนกะทิ แล้วเอามาวางบนหนัง จากนั้นท่านพิจารณาว่า ของทั้งหมดนี้แหละเป็นของทุกขัง อนิจจัง ไม่เที่ยง เอาไว้ทำไม เผาทิ้งให้หมด พอท่านเพ่งให้เป็นไฟ ไฟก็ลุกพรึบๆ ขึ้นมาทันที และเผารูปทั้งหลายนั้นหมด แล้วกำหนดเป็นมือกวาดๆ เอาจอบมาขุด แล้วกลบเหลือแต่ขี้เถ้า แล้วท่านก็ถามอีกว่า ใครเป็นผู้รู้ ท่านตอบเองว่า ก็พุทโธเป็นผู้รู้ จิตท่านก็ระเบิดทันที พร้อมทั้งเกิดความว่างมหาศาลตามมา” โยมคืนฟังทั้งหมดแล้วกลับมาพิจารณาได้ความว่า ผ้าขาวโบว์ถือศีล 8 มา 8 ปี ปฏิบัติมาเรื่อยถึงตกกระแสธรรม ตัวเองถือแค่ศีล 5 ถ้าอยู่ในสภาพนี้เห็นทียากที่จะได้มรรคผล เมื่อก่อนตัวเองเป็นคนสอนพ่อขาวโบว์ บัดนี้พ่อขาวโบว์ก้าวหน้าไปชนิดที่มิอาจเทียบกันได้แล้ว ท่านจึงทั้งละอายและตกใจ นั่น ทำให้ดำริที่จะไปบวชเป็นผ้าขาว ปฏิบัติธรรมที่วัดทั้งพรรษา เมื่อพิจารณาแล้ว เห็นว่าถ้าอยู่กับหลวงปู่ดูลย์ก็ดี แต่วัดบูรพารามเป็นวัดกลางเมือง อาจจะไม่ถูกจริตเวลาปฏิบัติภาวนา สุดท้ายท่านตัดสินจึงมุ่งหน้าไปหาหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ณ วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย ปีที่ท่านไปสู่วัดหินหมากเป้งคือ พ.ศ. 2518 ปฐมบทของการฝึกจิตที่วัดหินหมากเป้งนั้น เริ่มจากกราบเรียนให้หลวงปู่เทสก์ทราบถึงวิธีการที่ผ่านมาว่า “นั่งจนนิ่ง แล้วก็ออกพิจารณาแต่ผมมองไม่เห็น ผมเพียงแต่คิดเดาว่า เกิดมาแล้วต่อไปก็ต้องแก่ ต่อไปก็ต้องตาย กลายเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วก็กลับมาหยุดอีก แล้วก็พิจารณาอีก ทำกลับไปกลับมาอย่างนี้ แต่กระผมไม่เห็น” “เอ้า จิตคุณเป็นเอกัคคตารมณ์แล้วนี่ พระบวชเป็นสิบปีนะถึงจะได้ขั้นนี้” หลวงปู่เทสก์ว่า แล้วท่านก็แนะอุบายการพิจารณาให้ว่า “คุณทำแบบนี้ไม่เอาหรอก ให้ดูกรรมฐานห้าคือ ผม ขน ฟัน เล็บและหนัง เลือกดูอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วแต่จริตของคุณ ดูเฉยๆ หลับตาแล้วดูเฉยๆ เข้าใจไหม อย่างนี้?” ผ้าขาวคืน เริ่มด้วยการดูผม ดู 2 วันแรกไม่เห็น วันที่ 3 เห็นลางๆ วันที่ 4 ค่อยชัดขึ้น วันที่ 5 ชัดแจ๋ว ท่านว่า ชัดยิ่งกว่าดูด้วยตาเนื้อเสียอีก ดูๆ ไปหลายวันเข้าก็เห็นผมร่วงหมดศีรษะ เหลือแต่หนังศีรษะ แล้วก็ดูหนังต่อ พอหนังละลายหายไปเหลือแต่กะโหลกก็ดูกะโหลก ถึงขั้นนี้ไปกราบเรียนหลวงปู่เทสก์ หลวงปู่ท่านก็ว่า “ตอนนี้จิตมีพลังมากแล้ว ดูอะไรก็หมด ไม่ต้องทำอย่างนั้นอีก แต่ให้วกกลับมาหาที่ตน เพราะทั้งสามอย่างคือ ผม หนัง กะโหลกถูกดู ของที่ถูกดู ไม่จริง ผู้ดูแหละจริง ให้น้อมมาหาผู้ดูและหยุดกับผู้ดู” ผ้าขาวคืนดำเนินตามบทเรียนที่สองที่พ่อแม่ครูอาจารย์ชี้แนะ หลังน้อมมาหาผู้ดูหยุดอยู่กับผู้ดูอยู่หนึ่งเดือน วันหนึ่งขณะพักกลางวันอยู่ก็ฝันไปว่า หลวงปู่ดูลย์มาหา มีตาแปกเดินตามมาด้วย พอตกใจตื่นก็พักอยู่ในท่าสีหไสยาสน์ ในหูนั้นนึกถึงคำเตือนของพ่อขาวโบว์ก่อนมาวัดหินหมากเป้งว่า ระวังจะกลับมาจะข้องเปล่าเน้อ คำว่า “ข้องเปล่า” ก้องอยู่ในหูอยู่อย่างนั้น ต่อเมื่อกำหนดจิตหยุด ปรากฏว่า “มันพุ่งขึ้นมาเลย จิตมันยิ้มออกมาจากภายในเป็นหสิตุปบาท เป็นกิริยาจิตยิ้มเอง โดยปราศจากเหตุ แต่เป็นการยิ้มเยาะกิเลส” ถึงตรงนี้เกิดรู้สึกดีใจ ร้องอยู่ในใจว่า “เลิกข้องเปล่าแล้ว เราเลิกข้องเปล่าแล้ว” เมื่อนำความไปกราบเรียนหลวงปู่เทสก์ “กิเลสมันยังไม่หมดหรอก...” หลวงปู่เทสก์ท่านว่า “กิเลสมันยังไม่หมดหรอก ให้มาพิจารณาตัวอีก ให้มันหมดเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณเข้าใจไหม” แม้ในพรรษานั้นท่านจะได้แนวทางดังว่า แต่ยังไม่อาจทะลุผ่านไปได้ แต่การไปปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่เทสก์คราวนั้นก็ถือว่าสำเร็จตามปรารถนา สำเร็จเพราะ “ตกกระแสธรรมและเลิกข้องเปล่าเสียที” แล้วท่านตกกระแสธรรมขั้นไหน? ความนี้มีร่องรอยอยู่ในคำกล่าวของหลวงปู่เทสก์ที่กล่าวกับพระเณรวัดหินหมากเป้งว่า “(ผ้า) ขาวนี้ภาวนาเก่งนะ พวกพระเราอย่าไปเที่ยวใช้ขาวนี้นะ จะบาปเสียเปล่าๆ” หลังกลับจากวัดหินหมากเป้งเมื่อปี 2518 กระทั่งปีถัดมา ความก้าวหน้าทางจิตของผ้าขาวคืนก็ยังไม่ถึงไหน แต่ช่วงนั้นก็ได้ตามคณะไปกราบพ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งหลายอยู่เป็นนิจ ไม่ว่าหลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่เทสก์ การปฏิบัติของท่านประสบจังหวะการเปลี่ยนผ่านครั้งที่ 3 เมื่อไปกราบแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ ที่วัดห้วยทราย อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร คุณแม่ชีแก้วฟังคณะศรัทธาเล่าว่า ไปกราบพ่อแม่ครูอาจารย์รูปนั้นรูปนี้มาแล้วให้สติว่า “พวกโยมมีบุญมากนะที่ได้กราบ แต่ครูบาอาจารย์ดีๆ แต่ดีแต่เฉพาะอาจารย์แหละ พวกโยมไม่ได้ดีด้วยหรอก เพราะพวกโยมเอาแต่กราบและเคารพ ไม่ปฏิบัติตามท่านอย่างจริงจัง ความดีที่แท้จริงจึงยังไม่เกิด” “การปฏิบัติไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก ให้พิจารณาในกาย ยาววา หนาคืบ กว้างศอกของเรานี้แหละ” ใครจะเกิดสติจากคำเตือนนี้บ้างหรือเปล่าไม่รู้ แต่สำหรับพ่อขาวคืนนั้นมันสั่นสะเทือนหัวใจนัก ท่านพิจารณาแล้วเห็นว่า แค่บวชเป็นผ้าขาวอยู่กับหลวงปู่เทสก์ไม่ถึงพรรษายังมีอานิสงส์เพียงนี้ ถ้าออกบวช ไม่ยุ่งทางโลก น่าจะได้รับผลมากกว่านี้ ในวันที่ 2 ก.ค. 2519 นายคืนผินหลังให้ทางโลก เข้ารับการอุปสมบทที่วัดป่าไตรวิเวก ขณะอายุ 57 ปี เป็นพระคืน ปสันโน โดยมีหลวงปู่ดูลย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชแล้วท่านไปเก็บตัวภาวนาอยู่ที่วัดป่าแก้ว โดยได้รับการบ้านจากหลวงปู่ดูลย์ไปปฏิบัติข้อหนึ่ง นั่นคือให้ “แยกผมเส้นเดียว” ในใจนั้นอยากจะเผารูปเหมือนผ้าขาวโบว์บ้าง เพราะเขาเผาแล้วได้นิพพาน หลวงปู่ดูลย์ปรามๆ ไว้ว่า “เผาทำไม จริตไม่เหมือนกัน” จะเพราะจิตมันตั้งใจอยู่อย่างนั้นหรืออย่างไรไม่ทราบ พอพิจารณาผมเส้นเดียวแล้วก็อดเผาผมไม่ได้ แต่เผาผมเส้นเดียวนั้นเผาอยู่หลายวัน ทำอย่างไรมันกลับไหม้ไม่หมดเสียที สุดท้ายต้องกลับไปพิจารณาผมเส้นเดียวแบบหลวงปู่แนะนำ วิธีการของท่านคือ กำหนดดูผมเส้นเดียว พอเห็นเป็นเส้นใหญ่ๆ ขึ้นมาแล้วใช้ปัญญากำหนดเป็นมีดบางคมขึ้นมาแล้วขูดเส้นผมตามแนวยาวลงไปจนถึงราก ขูดทุกๆ วันจนมันขาดออกทีละน้อยๆ พอวันใกล้จะหมด จิตก็ระเบิดขึ้นมาอย่างรุนแรง เวลานั้นท่านว่าเผลอมองไปทางทิศใต้ เห็นเขาพนมดงราบเรียบไปหมด หันมาดูต้นยางใหญ่ข้างกุฏิก็ละลายหายไปหมด มองไปทางเขาพนมรุ้ง เขาพนมรุ้งก็ราบเรียบ เขาสวายไม่ผิดเช่นเดียวกัน ความรู้หนึ่งผุดขึ้นมาในใจว่า ทำผิดเสียแล้ว จึงวกกลับมาหยุดกับผู้ดู จะหยุดกับผู้รู้แต่ไม่สำเร็จ ใจอยากกลับไปถามหลวงปู่ดูลย์ แต่ติดพรรษาอยู่ เวลานั้นไม่รู้ว่าสงฆ์มีเกณฑ์ให้สัตตาหะในพรรษาได้ ท่านก็เลยวนเวียนอยู่อย่างนั้น กระทั่งวันหนึ่งไปนึกถึงหินก้อนใหญ่ที่วัดหินหมากเป้ง แล้วพิจารณาจนหินละลายหายไปในแม่น้ำ ตามไปดูจนมันทะลุไปสุดจะหยั่ง เลยถอยจิตมาอยู่กับความว่างข้างบน เมื่อหวนนึกถึงคำสอนของหลวงปู่ดูลย์บางคำที่ว่า ให้ทำจิตอยู่บนไม่มีอะไร ก็นึกว่าตัวเองได้นิพพานแล้ว “นี่แหละนิพพานล่ะ เพราะหลวงปู่เคยสอนว่า จงทำจิตให้อยู่บน ไม่มีอะไรทั้งสิ้น นั่นแหละนิพพาน” ท่านว่ากับตัวเอง พ้นพรรษาก็ไปกราบเรียนหลวงปู่ดูลย์ว่า “ผมถึงนิพพานแล้วครับ ที่วัดป่าแก้ว” “ถึงแบบไหน” ท่านถามแล้วก็รับฟังจนจบ ก่อนสรุปขึ้นมาแบบเรียบๆ ว่า “ไม่ใช่นิพพานหรอก” “ไม่ใช่ยังไงหลวงพ่อ ก็หลวงพ่อสอนว่าจงทำจิตให้ตั้งอยู่บนไม่มีอะไรทั้งสิ้น แล้วนี่ผมก็ไปอยู่บนไม่มีอะไรแล้ว ผมว่านิพพานนะหลวงพ่อ” หลวงปู่ดูลย์ก็เน้นเสียงแบบยาวๆ อีกครั้งว่า “ไม่ใช่นิพพาน...นิพพานอะไรอย่างนี้ ตัวอยู่ป่าแก้ว แต่ไปนิพพานบนแม่น้ำโขง” พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านว่า ไม่ใช่นิพพาน ยังไปไม่ถึงนิพพาน ก็เลยได้แต่กลับไปวัดป่าไตรวิเวก ภาวนาต่อไป ภาวนาแล้วก็ยังไม่ได้ผล แต่ก็แวะเวียนไปขออุบายใหม่ๆ จากหลวงปู่ดูลย์อยู่เรื่อย โดยหวังว่ามันน่าจะได้ผลสักอย่างละน่า บ่อยเข้าก็ถึงกับบ่นออกมาว่า “ทำไมถึงทำยากแท้” หลวงปู่ดูลย์ท่านก็ตอบให้ว่า “ถ้าง่ายอย่างงั้นก็ได้ทุกคนสิ” ท่านว่าภาวนาไปบางวันก็สว่างไสว บางวันก็มืดๆ มัวๆ พอไปบอกหลวงปู่ดูลย์ท่านก็พูดขึ้นว่า “วิญญาณแฝง” “แฝงยังไง ผมไม่รู้เลย” “ถ้าเข้าใจก็ได้ไปแล้วซิ นี่ไม่เข้าใจ จึงไปไม่ได้” แล้วท่านก็แนะว่า “ให้ดูข้างหน้าใกล้ๆ ระยะปลายจมูกนี่แหละ อย่าไปดูห่างนัก สังเกตดูด้วยปัญญา ถ้าเป็น (วิญญาณแฝง) ให้จับทิ้ง แล้วแต่อุบายจะเอาออก” เมื่อไปพิจารณาตามพ่อแม่ครูอาจารย์สอน หลวงพ่อคืนก็พบว่า วิญญาณแฝงที่ว่านั้นมีลักษณะเป็นปรมาณู เป็นตัวเล็กๆ คล้ายลูกน้ำอยู่เต็มหน้า เลยใช้ปัญญากวาดไปกวาดมา ไม่ได้หยิบออกตามหลวงปู่ว่า ผลที่เกิดขึ้นคือ มันว่างขึ้นๆ เรื่อยๆ ถึงที่สุดมีควันเหมือนเลขหนึ่งไทยที่เขียนจากหางไปหัวปรากฏขึ้นพบครบตัวก็ลบหายไป ในใจก็ว่า นี่ลบสมมตินี่นา พอเรียนหลวงปู่ดูลย์ทราบ ท่านก็ว่า “ให้หยุดคิด ให้พยายามหยุดคิด หยุดให้ได้จริงๆ นะ มันจะยิ่งว่างกว่านี้อีก” ผลจากการปฏิบัติตามว่า ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ คือ ว่างมหาศาล ว่างสุดลูกหูลูกตา ว่างแล้วไง? ไปกราบเรียนหลวงปู่ดูลย์ ท่านก็ว่า “อย่างงี้ก็ไม่เอา เพราะว่างนี้ก็ยังถูกเขารู้ ให้พยายามดึงความว่างนั้นเข้ามาใกล้ๆ ปลายจมูก แล้วให้ใช้ปัญญาแทงจากข้างบนลงมา” ทำตามนั้นปรากฏว่าได้ผลมากขึ้นตามลำดับ แล้ววันหนึ่ง “มันก็ระเบิดขึ้นมา ระเบิดแรงมาก แล้วจิตก็ยิ้มขึ้นมาอีก” หนนี้ไปกราบเรียนหลวงปู่ดูลย์ ท่านฟังแล้วหลับตาลงเหมือนกับเข้าสมาธิ ครู่หนึ่งก็ลืมตาขึ้นแล้วกล่าวขึ้นว่า “อย่างงี้ มันไปเองหรอก จิตขั้นนี้แล้ว มันค่อยเป็นไปเองหรอก” ระหว่างที่มันค่อยเป็นไปเองนั้น ในช่วงราวหลังพรรษาที่ 2-4 ก็มีธรรมะปรากฏขึ้นมาในระหว่างพิจารณาว่า “ทานอบรมศีล ศีลอบรมสมาธิ เมื่อสมาธิตั้งมั่น ปัญญาจะรุ่งเรือง เมื่อปัญญารุ่งเรือง สังขารจะแตก เมื่อสังขารแตก จิตจะเป็นอิสระ” ท่านว่าเมื่อยกข้อธรรมนี้ไปเทียบเคียงกับที่เป็นมาทั้งหมดในชีวิต ก็พบว่าลงกันได้เป็นอย่างดี “ทานเราก็ทำมาแล้ว สละจากบ้าน จากเมือง โกนผม โกนคิ้ว นี่เรียกว่า ทานศีล เราก็รักษาข้อวัตรปฏิบัติมาด้วยดี เรียบร้อยทั้งกาย วาจา และใจ สมาธิ เราก็เป็นคือพยายามให้จิตตั้งมั่นอยู่เสมอๆ ส่วนปัญญาเราก็มีขึ้นตามลำดับและได้ใช้ไปในการพินิจพิเคราะห์ ไล่สังขารดูว่า จิตนั้นมันไปคิดอะไร อะไรที่จิตไปเกาะเกี่ยว มีแต่จิตเราไปเกาะเกี่ยวเรื่องภายนอก ทรัพย์สินเงินทอง ไม่ใช่สิ่งเหล่านั้น มันมาเกาะเกี่ยวเรา เราเองต่างหากที่ไปเกาะเกี่ยวเขา เราได้พยายามไล่อยู่อย่างนี้ แล้วก็หยุดอยู่กับผู้ไล่หรือผู้รู้” ไม่มีบันทึกไว้ว่า “...จิตขั้นนี้แล้ว มันค่อยเป็นไปเองหรอก” อย่างที่หลวงปู่ดูลย์ว่านั้น มันเป็นไปในวันไหน เมื่อเวลาใด ที่ท่านอยู่กับผู้รู้ แล้วทำลายผู้รู้ไปเมื่อไหร่ เพราะประสบการณ์ภาวนาที่ว่ามานั้นเกิดขึ้นในช่วงปีต้นๆ ที่ท่านเริ่มชีวิตสมณเพศ หลวงพ่อคืนเจริญในธรรมยืนยาวมาอีกสิบกว่าปี กระทั่งปี 2536 ท่านถึงละสังขาร ศิษย์บางรูปของท่านได้บันทึกไว้ว่า แม้หลวงปู่ดูลย์จะรับรองแล้วว่า “...จิตขั้นนี้แล้ว มันค่อยเป็นไปเองหรอก” แต่หลวงพ่อคืนท่านก็ว่า “มัวรอให้มันเป็นไป ไม่รู้จะเมื่อไหร่หรอก อาจจะตายเสียก่อนก็ไม่รู้ หากประมาทไปจะเสียเวลาเปล่าๆ” ท่านพยายามฝึกจิตและแก้ไขด้วยประการต่างๆ รวมทั้งมีจดหมายไปกราบเรียนถามหลวงปู่เทสก์ หลวงปู่เทสก์ก็แนะว่า “ผู้รู้ยังอยู่ตราบใด สิ่งที่ถูกรู้ยังจะมีอยู่ตราบนั้น ให้พยายามมาหยุดอยู่กับผู้รู้ แล้วมันจะเป็นไปเอง ผมทำแบบนี้” ที่สุดท่านหาวิธีการแก้ไขปัญหาตัวเองได้โดยใช้วิธีการซึ่งต่อมาท่านเรียกว่า “การชำเลืองปัญญา” มีคำอธิบายเรื่องนี้ไว้ว่า เมื่อหลวงพ่อคืนกำหนดสมาธิแล้ว จิตไปติดอยู่กับสิ่งที่ถูกรู้ละเอียดๆ อยู่ข้างหน้า ท่านก็ใช้ปัญญาชำเลืองไปทางซ้ายก็พบว่ามีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีอะไร เมื่อเทียบกับข้างหน้า พอลองชำเลืองทางขวาก็พบลักษณะเดียวกัน จากนั้นท่านจึงใช้ปัญญายกเอาความว่างนั้นมาไว้แทนสิ่งที่ถูกรู้นั้น ด้วยวิธีการนี้ทำให้เกิดความแปลกในจิตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อทำจนชำนาญถึงที่สุดก็รับรองตนเองได้ว่า “ช่วยตัวเองได้แล้ว เอาตัวเองรอดแล้ว สมาธิจะไม่เสื่อมอีกแล้ว” หลวงพ่อคืนละสังขารในวันที่ 26 ธ.ค. 2536 วันนั้นท่านสรงน้ำเสร็จก็มานั่งที่บันไดหน้ากุฏิ แต่เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ จึงเข้าห้องน้ำ ออกมาแล้วบอกว่า ร้อนมากจึงถอดอังสะออก พอนอนลงก็ว่า แน่นท้องมากแล้วเหงื่อกาฬก็ถะถั่งออกมา อาการหายใจไม่ค่อยออกปรากฏขึ้นแล้ว ท่านก็ค่อยๆ นิ่งเงียบไป เมื่อศิษย์นำตัวส่งถึงโรงพยาบาลปรากฏว่า แพทย์ลงความเห็นว่า ท่านมรณภาพไปตั้งแต่อยู่ที่วัดแล้วด้วยโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เป็นการละสังขารหลังเจริญในธรรมมาร่วม 40 ปี เป็นการละไปโดย “ช่วยตัวเองได้แล้ว เอาตัวรอดได้แล้ว” ที่มา : http://goo.gl/8nBK4d http://goo.gl/sqcEQb ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | sirinpho [ 21 พ.ย. 2013, 23:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงพ่อคืน ปสันโน คืนสิ้น ไม่ข้องเปล่า |
สาธุค่ะ ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |