วันเวลาปัจจุบัน 31 ก.ค. 2025, 07:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2012, 12:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5112

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

เคยคิดบ้างไหมว่า ในระหว่างที่เราดำเนินชีวิตไปในแต่ละวัน
ในแต่ละขณะที่เรายังมีลมหายใจและรับรู้การมีอยู่ของตัวเรานั้นมีกี่ชีวิตที่จากไป...
จากไปอย่างไม่หวนกลับ การจากไปที่เราเรียกว่า...ความตาย

ณ ขณะปัจจุบันของชีวิตเรานั้น
ความตายช่างดูห่างไกลยิ่งนัก ไกลจนเกินกว่าจะคาดคิด
และถึงแม้ว่าเราจะไม่มีโอกาสได้รับรู้เลยก็ตาม
ความตายก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ทั่วทุกหนแห่ง...ตลอดเวลา

มีเพียงช่วงขณะที่ความตายเฉียดเข้ามาใกล้ตัวเราเท่านั้น
ที่จะเป็นช่วงเวลาที่เรารู้ซึ้งว่าความตายนั้นมีอยู่จริง และอยู่แนบชิดกับเราเพียงไร

มันอาจจะเป็นช่วงขณะที่เราได้สัมผัสกับวินาทีแห่งความตาย
หรือช่วงเวลาที่บุคคลที่ใกล้ชิดกับเราได้จากไป

เป็นช่วงขณะที่ทำให้เรารู้สึกว่าทุกอย่างมีปลายทาง
และชีวิตมีวันสิ้นสุด

ช่วงขณะแห่งความจริงที่ทำให้เรารู้ซึ้งว่า
...เราเองก็หนีไม่พ้นเช่นกัน

สำหรับผู้วายชนม์แล้ว
ความตายเป็นเพียงการก้าวผ่านประตูจากห้องหนึ่งไปสู่อีกห้องหนึ่ง

แต่สำหรับผู้ยังคงอยู่
ความตายบอกอะไรแก่เรา

ดอน ฮวนได้กล่าวไว้ว่า “ความตายคือผู้มาเตือน”

“ความตายเป็นสหายของเราตลอดไป...
มันอยู่ทางซ้ายมือของเราตลอดเวลา
ความตายเฝ้าคุณอยู่ขณะที่คุณรอคอย...ความตายกระซิบที่หูของคุณ
และคุณรู้สึกถึงความเย็นยะเยียบอย่างที่คุณรู้สึกในวันนี้
ความตายกำลังเฝ้าดูคุณอยู่เสมอไป มันเฝ้าคุณไม่ห่างไปไหนจนกระทั่งวันนี้
มันจะยื่นมือของมันออกมาแตะที่ตัวของคุณ”

สำหรับดอน ฮวนแล้ว การรับรู้ถึงความตาย
ทำให้การรู้สึกว่าตัวเราเองมีความสำคัญนั้นเป็นสิ่งที่ไร้สาระ

“เราจะเห็นตัวเองมีความสำคัญได้อย่างไร
ในเมื่อเรารู้ว่าความตายกำลังล่าเราอยู่”


“สิ่งหนึ่งที่คุณต้องทำเมื่อคุณไม่มีน้ำอดน้ำทน...
คือ หันหน้าไปทางซ้ายมือแล้วขอคำแนะนำจากความตายของคุณ
ความคับแคบจำนวนมหึมาจะมลายไปหากความตายกวักมือเรียกคุณ
หรือเมื่อคุณมองเห็นมันแวบหนึ่ง
หรือแม้เพียงคุณมีความรู้สึกว่าสหายของคุณอยู่ที่นั่น กำลังเฝ้าดูคุณอยู่”

“ความตายคือผู้ที่มาแนะนำตักเตือนที่ฉลาดที่สุดเพียงผู้เดียวที่เรามี
คราวใดที่คุณเกิดความรู้สึกชนิดที่เป็นอยู่เสมอว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่อยู่กับร่องกับรอย หรือคุณกำลังถูกทำลายให้ย่อยยับลงไป
ก็จงหันไปหาความตายแล้วถามว่า มันจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ ?

ความตายจะบอกกับคุณว่าคุณคิดผิดไปแล้ว
ไม่มีอะไรเลยที่จะเกิดขึ้นเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาจริงๆ
ที่ยิ่งไปกว่าสัมผัสของความตาย ความตายของคุณจะบอกกับคุณอีกว่า
ฉันยังไม่ได้ยื่นมือมาสัมผัสคุณเลย”

ความสอดคล้องดังกล่าวสามารถพบได้ในพุทธศาสนา
ซึ่งได้มีการสอนให้มนุษย์เราตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
โดยการให้ระลึกถึงความตายอยู่เสมอ

ในหนังสือ “พุทธธรรม” ได้กล่าวถึงการคิดถึงความตายเอาไว้ในฐานะเป็นอุบาย
เพื่อการปลุกเร้าคุณธรรมดังนี้

“หลักการทั่วไปของวิธีคิดแบบนี้มีอยู่ว่า
ประสบการณ์คือสิ่งที่ได้ประสบหรือรับรู้อย่างเดียวกัน
บุคคลผู้ประสบหรือรับรู้ต่างกัน อาจมองเห็นและคิดนึกปรุงแต่งไปคนละอย่าง...
ของอย่างเดียวกันหรืออาการกิริยาเดียวกัน
คนหนึ่งมองเห็นแล้ว คิดปรุงแต่งไปในทางดีงาม เป็นประโยชน์ เป็นกุศล
แต่อีกคนหนึ่งเห็นแล้ว คิดปรุงแต่งไปในทางไม่ดีงาม เป็นโทษ เป็นอกุศล
แม้แต่บุคคลคนเดียวกัน มองเห็นของอย่างเดียวกัน
หรือประสบอารมณ์อย่างเดียวกัน แต่ต่างขณะ ต่างเวลา
ก็อาจคิดเห็นปรุงแต่งต่างออกไปครั้งละอย่าง คราวหนึ่งร้าย คราวหนึ่งดี”

“การคิดถึงความตาย ถ้ามีอโยนิโสมนสิการคือทำใจหรือคิดไม่ถูกวิธี
อกุศลธรรมก็จะเกิดขึ้นเช่น คิดถึงความตายแล้วสลดหดหู่
เกิดความเศร้าความเหี่ยวแห้งใจบ้าง
เกิดความหวั่นกลัวหวาดเสียวใจบ้าง
ตลอดจนเกิดความดีใจเมื่อนึกถึงความตายของคนที่เกลียดชังบ้างเป็นต้น”


“แต่ถ้ามีโยนิโสมนสิการ คือ ทำใจหรือคิดให้ถูกวิธี ก็จะเกิดกุศลธรรม
คือ เกิดความรู้สึกตื่นตัวเร้าใจ ไม่ประมาท เร่งขวนขวายปฏิบัติกิจหน้าที่
ทำสิ่งดีงามเป็นประโยชน์ ประพฤติปฏิบัติธรรม
ตลอดจนรู้เท่าทันความจริงที่เป็นคติธรรมดาของชีวิต”


ใน “ภัทเทกรัตตสูตร”
พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงการระลึกถึงความตาย
เพื่อเป็นการเร่งเร้าให้ลงมือกระทำ มีใจความว่า

“บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง
สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว
และสิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง

ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบัน
ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้
บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด
พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง
เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้นย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย
พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้
มีความเพียรไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลว่าผู้มีราตรีหนึ่งเจริญฯ”


ดังนั้น สำหรับผู้ยังคงอยู่แล้ว ความตายเปรียบเสมือนผู้มาตักเตือน
ให้เรามองเห็นความจริงของชีวิต และเร่งขวนขวายกระทำในสิ่งที่ควรกระทำ
เพราะเราไม่อาจรู้หรอกว่า วันพรุ่งนี้จะมีสำหรับเราไหม

“ความตายคือผู้ล่า และความตายอยู่ทางซ้ายมือของเราเสมอไป
เราคนใดคนหนึ่งที่อยู่ที่นี่ต้องขอคำแนะนำจากความตาย
และละความคับแคบไร้สาระทั้งหลายที่มนุษย์มีอยู่
โดยใช้ชีวิตราวกับว่าความตายจะไม่ยื่นมือมาสัมผัสที่ตัวของพวกเขานั้นเสีย”


:b51: :b51:

กระทู้บอร์ดเก่าโพสโดยคุณ med_med
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=12277

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร