ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
รวมโอวาทธรรม (หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=43108 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 29 ส.ค. 2012, 08:48 ] |
หัวข้อกระทู้: | รวมโอวาทธรรม (หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ) |
![]() ![]() ![]() ใจเราก็เหมือนกัน ถ้าเราวางใจเสียได้ ไม่ไปยึดว่าเป็นของเรา ไม่ไปยึดว่าสิ่งนั้นจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะต้องได้มาอย่างนั้น จะต้องได้มาอย่างนี้ จิตเราก็สบาย ![]() เมื่อไม่มีตัวตนเราก็ต้องใช้วิธีจับจิต แบบไม่มีตัวตนก็คือ ใช้การภาวนา เอาจิตเข้าไปไว้ตรงใดตรงหนึ่งให้จิตเป็นหนึ่ง เมื่อจิตใจจดจ่ออยู่เป็นหนึ่งก็ปรากฏความคิดขึ้นมา คิดไปเรื่องโน้นเราก็ตั้งสติ คิดไปเรื่องนี้เราก็รู้สติว่าเราคิดอะไร พอเรารู้ทันหนักเข้าๆ มันก็รวมเป็นใจว่าง ใจว่าง ใจสว่างนั่นคือ ตัวรู้ทันจิต ทำให้เกิดปัญญาญาณรอบรู้เท่าทันจิตตัวเองเกิดความสุขสงบขึ้นมา ![]() ![]() ที่ทุกข์ที่สุขนี่ เราไปคิดเอาเองจนเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต จนกลายเป็นยึดมั่นถือมั่น ว่าจากเราไปไม่ได้ ทั้งๆที่ทุกสิ่งทุกอย่างมันจากกันได้หมด ไม่มีอะไรติดอยู่ในตัวเราเลย จะมีก็ “ทาน ศีล ภาวนา” ที่จะติดอยู่ในใจเราได้ สิ่งนี้แหละที่จะส่งเราไปถึงพระนิพพาน นอกจากนั้นไม่มีเลย ไปไม่ถึงนิพพาน เป็นของหล่นอยู่กับโลกหมด กลายเป็นของที่ถูกคนอื่นนำไปใช้ต่อ ![]() เรียนรู้กรรมฐาน ก็คือ เรียนรู้เรื่องของตัวเองตามความเป็นจริงแล้ว ก็ไปรู้เรื่องธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม แยกกายแยกใจตัวเอง การที่เราเรียนรู้แยกกายแยกใจ ทำให้จิตของเราสบายไม่ข้อง ไม่ไปวิตกกังวล จึงว่าเราต้องมาคิดถึงเรื่อง ความเกิด แก่เจ็บ ตาย ถ้าเราไม่คิดถึงเรื่องความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เลยเราก็คงไม่เป็นสุขพอเราคิดแล้วเรื่องราวต่างๆ มันก็ปล่อยวางได้ ดีใจเสียใจเราก็ปลงได้ เรื่องของการปฏิบัติมันก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากเรื่องพิจารณาตัวเอง ถ้าเรามาดูเรื่องอย่างนี้มันก็ไม่ยากอะไร ก็ไม่ใช่ของลำบากอะไร แล้วพอมาเห็นเรื่องของตัวเรา เราก็สงบมีความรู้มีปัญญาเกิดขึ้น ควบคุมใจตัวเองได้ก็เป็นของดีที่สุด ![]() ![]() ความจริงแล้วมนุษย์แค่พึ่งพาอาศัยตนเองนิดหน่อยๆ พอแล้ว แต่ทุกวันนี้เราอยู่ด้วยความหลอกกัน ต้องเอาอะไรมาปกปิดตกแต่งให้ทุกคนยอมรับเรา และมนุษย์ที่ยอมรับเราก็มนุษย์ที่หลงตัวทั้งนั้นเลย ที่ไม่รู้จักความจริงทั้งนั้นเลย ก็มายกย่องเราว่าถูกต้อง คุณอยู่อย่างนี้ดีแล้ว คุณรวย คุณเก่ง แล้วเราก็ได้รับการยกย่องจากคนที่ไม่รู้ความจริงของมนุษย์ สังคมจึงถูกหลอกอยู่อย่างนี้กันทุกวัน เราก็ต้องดิ้นรนตามเขาใช่ไหม ? จึงเหนื่อยเหน็ด แต่ถ้าเราอยู่ด้วยความจริงแล้ว เมืองไทยเราจะอยู่อย่างสมถะ อยู่ได้อย่างไม่จนเลย เหมือนอย่างที่ในหลวงท่านสอน เราเคยอยู่กันมาได้ เรามีอะไรก็แลกเปลี่ยนกันกิน มีน้อยก็ใช้น้อย มีมากก็ใช้มาก อยู่อย่างสมถะ อยู่อย่างนี้เราก็อยู่กันได้นี่ อยู่มาตั้งหลายร้อยปีแล้ว แต่ทำไมทุกวันนี้อยู่ไม่ได้ แสดงว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยพื้นฐานความจริง ฉะนั้นขอให้เราอยู่ด้วยความจริงแล้วเราจะสบายใจ ![]() พระพุทธเจ้าจึงสอนให้มีตัวรู้ คือนาม ธรรม ให้มีตัวรู้คือสติ ให้มีตัวรู้คือสมาธิ ให้มีตัวรู้คือ ปัญญาให้ไปไตร่ตรองพิจารณาทุกข์สุขที่ใจของเรา เราจะได้เห็นตัวเราจะได้เข้าใจถ่องแท้ของแก่นธรรม ในตัวเรา รู้เรื่อง จิต เจตสิก รูป นิพพาน รู้ความเกิด ความดับของจิตว่าไม่มีอะไรทุกข์เกินจิต ไม่มีอะไรสุข เกินจิต เมื่อเรารู้จักจิตใจของเราแล้ว เราก็จะเข้าใจตัวเราเอง พระโสดาบันจึงไม่สงสัยในศาสนาทุกศาสนา ไม่สงสัย ในบุญบาป ไม่สงสัยในกรรมเวร ไม่สงสัยในกรรมดี กรรมชั่วของตัวเองและของคนอื่น มีความมั่นใจในการสร้างแต่ความดี มั่นคงในการให้ทาน มั่นคงในการรักษาศีล มั่นคงในการเจริญภาวนา ไม่ขี้เกียจขี้คร้าน ไม่ท้อถอยไม่ตัดพ้อต่อว่าใครดีใครชั่วใครจะมาทำร้าย ร้าย ใครจะมานินทา ใครจะมาสรรเสริญ ใครจะมากลั่นแกล้ง ใครจะทำอย่างไรก็ไม่หวั่น เพราะเชื่อในการทำความดีของตนเอง มีความมั่นใจเหมือนเพชร ย่อมแข็งแกร่ง ย่อมเป็นหนึ่ง ![]() โอ ! ขันธ์ ๕ นี่ทุกข์วุ่นวายจริงๆ แบกทุกข์อยู่นั่นเอง มันแก่ มันเจ็บ มันตาย มันพลัดพรากก็เพราะขันธ์ ๕ นี่เอง จึงต้องเสียใจ ต้องร้องไห้ ต้องโลภ ต้องโกรธ ต้องหลง ก็เลยรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันมีทุกข์เพราะมีขันธ์ ๕ ก็ปล่อยวางเป็น ก็สบายเพราะมีปัญญา ใครจะทำอะไรก็ไม่ไปด่ากับใคร ไม่ไปทะเลาะกับใคร ปลงใจได้อุเบกขาได้ วางเฉยได้ ก็เป็นคนใจเย็น ![]() ![]() เห็นใครทำดีเราก็ว่าดี เห็นใครทำไม่ดี เราก็เฉย เราทำดีแล้วดีเข้าตัวเราหมด ก็จะมีความสุข ไม่ใช่ว่าเห็นอะไรก็ไม่ดีฟังก็ไม่ดี มันก็เข้าตัวเองหมด ร้อนเข้าตัวเองหมด เห็นคนนั้นก็ไม่ดีเห็นคนนั้นก็ไม่ดีเห็นคนนี้ก็ไม่ดี ได้ยินได้ฟังก็เอาแต่เรื่องไม่ดีอย่างเดียว คนที่ได้ยินก็ร้อนใจ เราต้องเอาแต่สิ่งที่ดีใครทำอะไรก็กรรมของเขา เราทำกรรมดีก็กรรมของเรา พอเราทำจิตใจได้ก็จะไม่มีทุกข์ เราต้องหาที่พึ่งให้ถูกต้อง อย่าไปหาที่พึ่งที่ผิดๆ นั่งสมาธิก็ต้องการดับ ดับอะไร ? ดับความวุ่นวายใจ ดับความคิดมาก ดับความร้อนใจมาก ดับความมีปัญหามาก คนพูดมาก คนคิดมาก คนวุ่ยวายมาก มีตัวตนมาก คือ ตัวเรา เราคือตัววุ่นวาย ต้องพยายามแก้ตัวเรา ไม่ให้วุ่นวาย คราวนี้บ้านช่องเรือนชานก็อยู่เป็นสุข กินก็สบาย นอนก็สบาย ตั้งแต่หยุดโกรธได้ ไม่มองใครในแง่ร้ายนี่สบาย ใครจะลำบากใจเราก็ไม่ลำบากใจ มันอยู่ที่ใจเราไม่เดือดร้อนนี่เอง ![]() ![]() หากทำใจเฉยไม่ได้ เมื่ออะไรเข้ามาทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ พอยึดแล้ว หลงทำตามก็เป็นทุกข์ทั้งหมด เพราะมันไปคิดว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา แต่ถ้าคิดแล้วมันเฉย กระทบแล้วมันปล่อย มันก็เบากายเบาใจ เพราะใจเสียไม่มี มีแต่ใจเฉย ใจเฉยน่ะใจดี ![]() หลักปฏิบัติก็คือ ตามเฝ้าดู เฝ้าพิจารณากายกับใจ นามกับรูป รูปกับนาม ยกจิตขึ้นสู่พระไตรลักษณะญาณ เห็นความเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปอยู่ทุกขณะจิต ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา มันเป็นเพียงแค่ความคิดนึกเท่านั้น แต่ถ้าเราทำตาม...มันเป็นตัวตนใหญ่เลย มันแค่นึกแล้วก็หาย ไม่มีตัวตน คิดว่าจะไปเอาโน่นเอานี่ เราไม่ไปตามมันก็ดับ แต่ถ้าเราหลงไปตาม มันเอาเรื่องใหญ่ๆเข้ามาเลยนะ ![]() ![]() ![]() ![]() เราต้องเลิกคิด แล้วหาที่พึ่งที่เกาะทางใจ ด้วยการมาภาวนา พอมาปฏิบัติเราจะเห็นทางแก้หัวใจอยู่ตรงนี้เอง จุดเดียวเท่านั้นเองเหมือนไฟหลายดวงมีสวิตซ์อันเดียว พอกดสวิตซ์อันเดียวดับมืดหรือสว่างหมด ใจเราก็เช่นกัน ถ้าไม่สงบ...ใจมันก็มืด ปัญหาต่างๆ ก็ตามมากลุ้มรุมหัวใจ ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรมันว้าวุ่นไปหมด จับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ถ้าใจเราสงบก็สว่าง ปัญหาร้อยแปดก็ดับหมด ![]() ไม่ดีนั้นเป็นบาป ดีนั้นเป็นบุญ คนที่จะมีความสุขได้ คนนั้นต้องมีบุญ บุญคือความดีใจ ไม่โกรธ ไม่อิจฉาริษยาใคร ไม่ปองร้าย ไม่มองใครในแง่ร้าย มองว่าเราคือเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เราก็ทำใจให้เมตตาสงสารทุกคน ถ้าทำใจดีได้ มันก็เป็นสุขที่ใจ (มีต่อ) |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 29 ส.ค. 2012, 19:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: โอวาทธรรม : หลวงพ่อสนอง กตปุญฺโญ |
![]() ![]() ช่วงสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ เดินทางไปที่พักสงฆ์เกาะปู่เทพ จังหวัดตาก เพื่อไปคารวะศพของท่านอาจารย์สัมพันธ์ อดีตพระอุปัฎฐากองค์สำคัญองค์หนึ่งของพระเดชพระคุณหลวงปู่สังวาลย์ เขมโก หลวงพ่อท่านเคยกล่าวไว้นานแล้วว่า ท่านสัมพันธ์เป็นคนกตัญญู สภาพศพเป็นรอยฟกช้ำดำเขียว พระคุณเจ้าท่านเล่าว่า ก่อนจะมรณภาพอาจารย์สัมพันธ์ได้เข้าห้องกรรมฐาน และปิดห้องห้ามใครเข้าไปรบกวนโดยเด็ดขาด จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปดู เวลาผ่านไป ๖-๗ วัน จึงเปิดประตูเข้าไปพบว่า ท่านมรณภาพแล้ว ท่านรู้วาระมาก่อนว่าจะสิ้นแล้ว หลวงพ่อได้สนทนากับคณะสงฆ์ที่วัดโดยเล่าว่า “ตอนไปอยู่ถ้ำแกลบ มีหลวงปู่สังวาลย์, หลวงปู่สงฆ์, หลวงปู่มาลัย มีนักกรรมฐานมากมายพวกหนึ่งเขาเรียกว่า เซียน พอรู้ว่าจะตาย เขาก็ก่อเจดีย์เอาไว้ก่อน เมื่อเวลาจะตายก็เข้าไปนั่งสมาธิข้างใน ครั้นตายแล้วก็ให้คนปิดปากทางเข้าเลย ท่านสัมพันธ์ท่านก็สิ้นแบบนักกรรมฐาน เป็นตัวอย่างให้แก่ลูกศิษย์ลูกหา” “จะมีสักกี่คนที่ตายแบบนักกรรมฐาน...” ![]() ถ้าทำใจไม่ได้ก็ต้องเป็นทุกข์ทุกคน การเกิด การแก่ การเจ็บ การตายจึงเป็นทุกข์อย่างมาก ใครก็หลีกเลี่ยงธรรมอันนี้ไม่พ้น ถ้าไม่ตายตอนหนุ่มตอนสาวก็ต้องตายตอนแก่ ก็ต้องทุกข์เหมือนกัน เพราะเราหนีไม่พ้น ต้องผมหงอก ฟันหัก หนังเหี่ยว เรี่ยวแรงไม่มี เดินก็เหนื่อย นั่งก็เหนื่อย นอนก็เหนื่อย เดินก็เจ็บ นั่งก็เจ็บ นอนก็เจ็บ ทุกข์กับความแก่นี่ไม่ใช่ทุกข์วันเดียว ทุกข์เป็นปีๆ ทุกข์หลายๆ ปี บางคนมีโรคประจำกาย ตายก็ไม่ตาย ทรมานต่อสังขารร่างกาย ทรมานจิตใจตลอดวันตลอดคืน ไม่มีใครเห็นทุกข์แบบนี้ เพราะคนเรามันหลง ไม่ยอมรับความจริง ถ้าเราไม่ยอมรับความจริงว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ ขันธ์ ๕ จะต้องมีทุกข์อย่างนี้ เราก็จะสบายใจสามารถปลงได้ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ครั้งหนึ่งที่ห้องรับรอง สถานีโทรทัศน์พุทธภูมิ หลวงพ่อสนองท่านได้เล่าให้โยมฟังเกี่ยวกับเรื่องสมัยก่อนที่ท่านจะบวชเป็นพระว่า ท่านเป็นคนไม่ค่อยชอบอยู่บ้าน มีเพื่อนมากและชอบเที่ยวไปเรื่อยๆ ซึ่งแม่ของท่านก็จะเป็นห่วงมาก ด้วยความที่แม่ของหลวงพ่อท่านไม่อยากให้ลูกชายมีครอบครัว แม่ของหลวงพ่อจะสอนในทำนองโน้มน้าวให้ลูกชายทุกคนบวชอยู่เสมอๆ ว่า “ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่เขาจริงใจกับเราหรอก...” และก็สอนต่างๆ นานา เพื่อให้ลูกชายของท่านละทางโลก จนในที่สุดหลวงพ่อสนองก็ได้มาบวช แล้วมาเข้าห้องกรรมฐานที่ป่าช้าวัดหนองไผ่ จ.สุพรรณบุรี โยมแม่ก็ตามมาส่งอาหารทุกวัน ไปอยู่วัดเขาถ้ำหมี จ.สุพรรณบุรี โยมแม่ก็ตามไปอยู่ด้วย ไปอยู่ถ้ำกะเปาะ จ.ชุมพร แสนที่จะลำบาก โยมแม่ก็ตามไป จนสุดท้ายโยมแม่หรือแม่ชีแม้นก็มาตามมาอยู่และดับสังขารที่วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี นั่นเอง หลวงพ่อพูดในตอนท้ายว่า “ความรักของแม่ที่มีให้กับท่านนั้น เป็นความรักที่มากมาย และบริสุทธิ์เกินที่จะเปรียบได้” ซึ่งถ้าใครได้ฟังหลวงพ่อเล่าเรื่องโยมแม่ที่รักลูกนั้นคงจะยาวนานมาก เพราะตัวหลวงพ่อเองนั้น “ท่านก็ไม่เคยลืมพระคุณที่โยมแม่มีให้กับท่านมาตลอดตราบชั่วชีวิตนี้ และตลอดไป” ![]() คนพวกนี้ใจพิการ ก็เหมือนพิการทั้งหมด ปิดหู ปิดตา ไม่รับแสงสว่าง คนที่ไม่สนใจธรรมะนั้นน่าสงสารทุกคน เวลามีทุกข์จิตใจ ก็จะวุ่นวาย ถึงเจ็บก็รักษายาก เพราะใจเจ็บใจป่วย คือเจ็บปวดทรมานเมื่อตนไม่สมหวัง จิตใจมีแต่ความรู้สึกว่าชีวิตนี้ทุกข์ทรมานปลงไม่ตก มีบ้านใหญ่โตก็อาศัยแค่หลับนอน มีเสื้อผ้าหรูก็แค่สวมใส่ธรรมดาพอตายแล้วก็ไม่เหลืออะไร ที่เอาไปได้ก็คือใจ เราควรแสวงหาชีวิตให้สุขสงบ ทำใจไม่เป็นทาส ถ้าเราอยู่ใต้มันมันก็จะทับเราจม แต่ถ้ามีปัญญาทำบุญทุกวันก็ทำใจได้ เพราะต้องเตรียมตัว เกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพราก เกิดได้ก็ดับได้ ทำให้จิตใจมีที่พึ่งทางใจไว้ ![]() ![]() ![]() ![]() เมื่อรู้อย่างนั้นแล้ว เราก็พยายามฝึกใจเราให้เสียสละ ใครมีทุกข์เราก็ให้เขามีสุข เขาทุกข์ใจก็ปลอบใจ เขาดีใจแล้วก็ไม่ทำลายน้ำใจเขาให้เสียใจ เป็นผู้เสียสละทั้งกายวาจาใจ ต่อไปก็จะแก้นิสัยตัวเอง ให้กลายเป็นคนไม่เห็นแก่ตัว เป็นคนมีเมตตา เป็นที่รักของทุกคนเลย ถึงรูปของเราไม่งามแต่ใจเรางาม คนก็รักน้ำใจเรา ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ถ้าตัวโลภมันก็ปรุง ตัวโกรธ ตัวหลง ตัวรักชัง มันก็ปรุงอันนั้นไม่ใช่ตาปรุงแต่งนะ วิญญาณเป็นตัวสื่อส่งไปสู่กระแสจิต จิตเจตสิกเป็นตัวปรุงว่าดี-ไม่ดี ชอบ-ไม่ชอบ รัก-ชัง แต่ที่จริงอยู่แค่ตานี่ไม่มีอะไร พระพุทธเจ้าพระอรหันต์อยู่แค่ตา เห็นสักแต่ว่าเห็น เมื่อหูได้ยินเสียง จมูกก็ได้กลิ่น ลิ้นรู้รส กายรู้สิ่งถูกต้องกาย ใจรู้เรื่องในใจ ![]() แต่ทุกวันนี้ทุกคนกำลังวิ่งหนีทุกข์ ทุกคนแสวงหาแต่ความสุข ที่จริงแล้วทุกคนต้องวิ่งกลับไปหาทุกข์คือต้องไปหาปัญญา ถ้าใครดูจิตตัวเองได้จนเห็นความโกรธ ความเกลียด ความรัก ความชัง ความอิจฉาริษยา เห็นตัวตน เห็นจิต ตัวนี้เป็นวิปัสสนาญาณ (มีต่อ) |
เจ้าของ: | ouie [ 30 ส.ค. 2012, 14:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เกร็ดธรรมคำสอนสุดยอด : หลวงพ่อสนอง กตปุญฺโญ |
ขอบคุณบทความดีๆๆค่ะ อ่านแล้วเข้าใจง่าย และสงบ สบายใจ สาธุเจ้าค่ะ ![]() |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 02 ก.ย. 2012, 13:38 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: โอวาทธรรม : หลวงพ่อสนอง กตปุญฺโญ |
![]() ![]() เราคิดไปข้างหน้าท่าเดียว เราต้องศึกษาจิตให้เกิดปัญญา ถ้าทุกข์มากยิ่งฉลาดมาก คนไหนสบายมากคนนั้นก็โง่มาก ทุกข์ทำให้เกิดปัญญา...ข้อสอบที่ยากดีกว่า ข้อสอบง่าย ถ้าสอบผ่านก็แสดงว่าเรามีความรู้มีปัญญาเข้มแข็ง ![]() บางคนน้อมเข้ามาเห็นตัวเองเลยว่า ตัวเองนั่งอย่างไร เดินอย่างไร กินอย่างไร คิดนึกอย่างไร เห็นตัวเองนั่นบรรลุเลย เหมือนอย่างที่พวกเรานั่งกรรมฐานนี่ พอเราเห็นหน้าตัวเองก็สงบทันที เราเห็นลมหายใจก็สบายทันที พระพุทธเจ้าจึงบอกให้ดูตัวเองนี่ง่าย ดูผม ดูขน ดูเล็บ ดูฟัน ดูหนัง กรรมฐานคือการดูนั่นเอง ไม่ใช่หลับหูหลับตาไม่ดูอะไร หลับตาแต่ดู...ดูทางใน ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ทำสติจำใบหน้า จำจมูกของเรา รูปร่าง หน้าตา นุ่งห่มผ้าสีใด ใส่เสื้อสีใด ระลึกรู้รูปนั่งของเรา รู้จักตัวเอง พิจารณากายนั่งสงบ พิจาณาใจ พยายามระลึกรู้ สงบกายสงบได้ ใจก็พยายามสงบตาม ทำความรู้ไว้ที่ตัวเราว่านั่งอย่างไรหายใจอย่างไร ให้ทำสติระลึกรู้รูปกายของเรา มีอาการ ๓๒ มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อตัวของเราเป็นอย่างไร แล้วพิจารณาเนื้อตัวของเรา มีผมก็ดี ขนก็ดี เล็บก็ดี ฟันก็ดี หนังก็ดี ซึ่งเป็นเรื่องทำใจของเราให้อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วจิตจะได้ปล่อยวางความกังวล ความเป็นทุกข์ใจได้ ![]() แต่พวกนี้นะพอเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย อาตมาไปเจอแล้ว เขาบอกว่าไม่มีที่พึ่งเลย ขนาดเป็นดอกเตอร์นะ จบจากเมืองนอกมา เป็นถึงศาสตราจารย์ เขาบอกว่าเขากลัวมากเลย ตอนที่เขาเป็นมะเร็งนะ เขากลัวมาก กลัวทุกอย่าง จิตใจเขาไม่มีที่พึ่งเลย เขาเกิดมาไม่เคยกลัวอย่างนี้เลย ที่อยู่ในตัวเขานี่เป็นพิษภัยหมดเลย เราจึงรู้ว่าเขาไม่ได้เก่งจริงเลย อย่างที่เขาประกาศตัวว่าเขารู้แล้ว เขาทุกข์จริงๆ ผลที่สุดนี่ต้องเอาเทปสวดมนต์-ภาวนาไปให้ฟัง ความกลัวจึงเบาขึ้นหน่อย แต่ก็ยังไม่หายกลัว ที่เขาเรียนรู้ระดับดอกเตอร์นี่ เขาพึ่งอะไรตัวเองไม่ได้เลยนะ เขามีทุกสิ่งทุกอย่างแต่เขากลับกลัว หมดเลยนะ มีเงินก็กลัว มีครอบครัว มีอะไรๆ ก็กลัวหมดเลย กลัวว่าจะต้องพรากจากสิ่งนี้ไป มีตัวเองก็กลัวตัวเองอีก เพราะตัวเองเจ็บมาก พอนึกถึงตัวเองเมื่อไรก็กลัวตัวเอง เพราะมีโรคร้ายมากเลย จะหนีตัวเองก็หนีไม่พ้น จะอยู่ก็อยู่ไม่ได้ กลายเป็นว่าตัวเองที่ฆ่าตัวเอง ตัวเองที่ทรมานตัวเอง ไม่มีอะไรจะทุกข์เท่ากับตัวเองเลย ทีนี้โอ้โอ ! ไปไหนได้ล่ะ ความรู้ก็ช่วยไม่ได้ เงินก็ช่วยไม่ได้ นั่นแหละคนเราที่พระพุทธเจ้าบอกว่ามีทุกข์มากก็ตรงนี้เอง ที่ไม่มีที่พึ่งทางใจ ตัวเองก็น่ากลัวอีก เจ็บอีก ปวดอีก ทรมานอีก เงินก็น่ากลัวอีก เราใช้ไม่ได้อีกแล้ว นึกจะกินก็กินไม่ได้อีก น่ากลัวหมดทุกอย่าง พอนึกถึงอะไรแล้วมันผิดหวังหมดเลย มีอย่างเดียวคือความตาย ตายยิ่งน่ากลัวใหญ่ แต่ก็ต้องตายอีก ผลที่่สุดแกก็ต้องตาย ตายด้วยความกลัว พระพุทธเจ้าท่านรู้นะว่าเราหนีความจริงไม่พ้น ใครเก่งอย่างไรก็หนีไม่พ้น ไม่ต้องไปประกาศตัวว่าฉันไม่ต้องทำอะไร ต้องทำนะ ต้องสร้างบารมี ต้องสวดมนต์ ต้องภาวนา ต้องเจริญสติให้มาก ทำปัญญาให้มาก ทำสมาธิให้มาก เวลามีทุกข์จะได้มีกำลังใจกำจัดทุกข์ได้ ![]() ![]() ทีนี้ถ้าเราทำไปๆ แล้วพลังใจนี้ก็จะไปเจอสิ่งที่ดีงาม เมื่อเจอสิ่งที่ไม่ดีงามก็วางใจได้ว่าเราเตรียมใจไว้พร้อมแล้ว คนไหนยังไม่พอต้องสะสม ต้องสร้างบารมี ทำวันเดียวไม่พอหรอก กินข้าวคำเดียวไม่พออิ่ม ต้องกินข้าวหลายๆ คำ ทำบุญวันเดียวไม่อิ่มใจหรอก ต้องพยายามทำหลายๆ วันจนอิ่มใจแล้วจึงใช้ได้ ![]() ![]() แต่พอสำรวมมากขึ้น มีสติมากขึ้น อิริยาบถละเอียดมากขึ้น เข้ามามองดูตัวเองมากขึ้น เราก็จะเห็นจิตพวกนี้มากขึ้น พอเห็นมากๆ มันก็ดับไปๆ ดับแล้วก็หาย หนักเข้าๆ มันก็วนเข้ามา มาเหลือ “จิตดวงเดียว” มาเหลือเพียงเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็เฉย...เกิดแล้วก็เฉย จิตของเราก็จะสว่าง จิตของเราก็ว่าง เรียนเรื่องจิตก็คือเรียนอย่างนี้ ![]() ![]() ![]() ในโลกนี้มีแต่ของสมมุติทั้งหมด ชื่อเสียงของเราก็สมมุติ ฉะนั้น ถ้าเรารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมา มันไม่จีรังยั่งยืน เราก็ควรจะรู้ชัดว่า อะไรล่ะ ? ที่่จะเอาไปได้ แม้แต่ร่างกายก็เป็นของติ๊ต่าง เป็นของไม่จีรังยั่งยืน อยู่ไปไม่ถึง ๑๐๐ ปี ก็สลายไปหมด แล้วอะไรล่ะ ! ที่ไม่สลาย ที่เรากำลังทำอยู่นี่แหละ คือของที่ไม่สลายไปจากใจเรา “ที่เราทำใจสงบ ทานที่เราให้ไว้ในใจเรา ศีลที่เรารู้จักสงบ สมาธิที่เราตั้งมั่นไว้แล้วด้วยดี ปัญญาที่เรารู้แจ้งเห็นจริง รู้แล้วว่าผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เลือด เนื้อ กายใจเรานี่ เป็นของสมมุติทั้งหมด” เมื่อเรารู้สัจธรรมอย่างนี้แล้วเราก็จะไม่หลง เราก็จะเอาความดีที่ใจของเราไปได้ จะต้องแสวงหาสิ่งที่อยู่เหนือสมมุติ คือ “วิมุตติ” หลุดพ้นจากการยึดติดบ้านเรือน ลูกหลาน เงินทอง ติดอารมณ์ ความโกรธนี่มันก็เป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นมา ถ้าเรายึดถือมันก็โกรธ ถ้าเราไม่ยึดถือมันก็ดับไป ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() คนเราเมื่อไม่มีที่พึ่งทางใจ ก็ต้องทุกข์อยู่คนเดียว ทุกข์แล้วใครก็ช่วยไม่ได้ กายร้อนยังมีคนเอาน้ำมันมาให้อาบหิวยังมีคนเอาข้าวมาให้กิน ไม่มีเงินยังไปหาเงินมาได้ ยังมีคนเอาเงินมาให้เราได้ ทุกข์ภายนอกนี่คนยื่นยังมาช่วยแบ่งเบาได้บ้าง แต่ทุกข์ภายในนี่เราจะทำยังไง ? คนเราทุกวันนี้พยายามจะหาที่พึ่ง มีบ้านอยู่ มีเงินใช้ มีรถขับ มีทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างที่คิดว่านั่นแหละ คือความสุข ความสบาย ส่วนคนที่ยังไม่มียิ่งคิดมากใหญ่เลย บ้านเรายังไม่มียังเช่าเขาอยู่ เงินเดือนเรายังไม่พอกินพอใช้ รถก็ยังไม่มีขับ ยังไม่มีครอบครัวเป็นหลักเป็นแหล่ง ยิ่งคิดยิ่งเป็นทุกข์ เพราะคิดว่ามีบ้าน มีเรือน มีรถมีรา มีเงินมีทองแล้วคงจะเป็นสุข คิดว่ามีแล้วจะสบาย แต่คนที่มีแล้วเป็นยังไง ? มีบ้านอยู่แล้ว มีเงินใช้แล้ว มีเงินเดือนพอแล้ว มีลูกมีหลานแล้ว มีรถมีรายี่ห้อดีๆ ขับแล้ว แต่เอ๊ะ ! ยังไม่เห็นสบายเลยนี่ ยังมีเรื่องนี้เรื่องโน้นเข้ามาวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่มีอยู่แล้วใจก็ยังไม่สงบยังทรมานใจ แสดงว่าเรายังไม่มีธรรมะ ยังไม่มีศีล ยังไม่มีสมาธิ ยังไม่มีปัญญา ยังไม่สละทาน ยังตระหนี่ ยังเป็นคนโลภมากอยู่ ยังคิดว่าอะไรๆ เป็นของเราอยู่ คนที่คิดว่าอะไรๆ เป็นของเรานี่ คือคนมีทุกข์มาก นี่ลูกของเรา นี่หลานของเรา นี่บ้านของเรา นี่รถของเรา นี่เงินของเรา ของเราเต็มไปหมดเลย มีมากกลับเป็นทุกข์มากอีกแล้ว แต่คนที่คิดว่าเราพอแล้ว เราไม่ได้โลภโมโทสันแล้ว ได้อย่างไรก็เอาอย่างนั้น ก็มีแค่นั้น จนก็แค่นั้น ก็ไม่เห็นโกรธพ้นทุกข์ได้สักคนเดียว เราต้องหาความพอดีที่่ใจ ทำยังไงให้ใจเราสงบไปวันหนึ่งๆ บ้าง พอเราสงบใจได้ นี่เอง คนรวยนี่่เอง คนที่มีที่พึ่งทางใจ (มีต่อ) |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 19 ก.ย. 2012, 18:00 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: โอวาทธรรม : หลวงพ่อสนอง กตปุญฺโญ |
![]() ![]() กิเลสนั่นต่างหากที่ทำลายจิตใจเรา ไม่ใช่คนอื่นทำลายเรา แต่คนไปเข้าใจว่าสังคมทุกวันนี้ไม่ดีเลย มีแต่คนไม่ดี มีแต่คนกะล่อน มีแต่คนกินเหล้าเมายา มีแต่คนไม่เรียบร้อย มีแต่ผู้ชายผู้หญิงไม่ดี ผู้ชายก็คบไม่ได้ ผู้หญิงก็คบไม่ได้ สังคมสมัยนี้ไม่ดีเลย เราไปมองสังคมไม่ดี ความเป็นจริงนั่นไอ้ตัวที่่เราคิดนั่นมันไม่ดีต่างหาก ความเกลียด ความโกรธ ความไม่พอใจในตัวเรานั่นแหละคือตัวสังคมที่ไม่ดีในใจเรา เราไม่สามารถทำใจเราให้มีเมตตาต่อคนที่เขาไม่ดี เราอภัยให้เขาไม่ได้ ทุกข์ไม่มีใครทำให้เรา คนที่เกิดมาในโลกนี้ไม่ใช่ใครทำให้เราเลย ตัวเราทำตัวเราเอง อย่าไปโทษว่าคนโน้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี ![]() พระพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า...ความคิดนี้เป็นตัวปรุงแต่งทำให้คนเรามีความสุขที่แท้จริงไม่ได้ ท่านจึงได้สอนจึงได้แนะวิธีปฏิบัติสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ให้เป็นที่อยู่ของจิต เพราะเมื่อก่อนไม่มีใครค้นหาจิตพบ แต่พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ท่านค้นพบความดับของจิตใจหรือนิโรธได้ ท่านก็มาสอนสาวกให้รู้จักดับทุกข์ ความจริงแล้วเราไม่รู้จักจิตของเรานั่นเอง เราค้นหาความดีของตัวเราไม่พบ เราค้นหาความสุขสงบในตัวเราไม่พบ บางคนต้องไปเที่ยวไปกินไปเล่น ที่สุดแล้วก็ไม่เจอความสุข บุคคลที่มีหลักการภาวนาเข้าสมาธิโดยการกำหนดลมหายใจจนจิตละเอียดไม่ฟุ้งซ่านแล้วหลับไป ด้วยความสงบ อันนี้คือความสุขอีกแบบหนึ่งที่ลึกขึ้นไป ชาวโลกที่ค้นพบเพียงแค่นั้นเอง เมื่อทุกข์เกิดขึ้น เช่นเป็นหนี้เขา มีเรื่องราวผิดหวังในความรัก มีปัญหาการงานก็ทำให้นอนไม่หลับ ที่เคยนอนหลับแต่กลับนอนไม่หลับ กลับกลายเป็นทุกข์ เพราะดับความคิดตัวเองไม่ได้ ดับการปรุงแต่งไม่ได้เพราะไม่เคยประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่เคยภาวนา ไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญาที่่จะไปรู้ว่า...มันดับตรงไหน มันเกิดตรงไหน เมื่อก่อนมีปัญหาอะไรมา ก็แก้ได้ด้วยการนอนหลับตื่่นขึ้นมาก็ทำงานต่อ พอปัญหาสะสมมากขึ้นๆ ทำให้นอนไม่หลับ นั่นคือปัญหาชีวิตหา ความสุขไม่ได้เลยในชีวิตนี้ ![]() คนเราจะหาที่พึ่งแต่ภายนอกไม่ได้ บางคนทุกข์ขึ้นมาก็ไปหาหมอดู ไปหาพระรดน้ำมนต์ หาคนทำพิธีสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา คือ ต่อใจตนเองให้ปิติ “ทาน” ทำให้เราปีติ ทำทานมากๆ แล้วจะสะเดาะเคราะห์ได้ “ศีล” รักษาศีลแล้วจะสะเดาะเคราะห์ให้ได้ ทำใจให้ปีติในศีล มั่นใจในศีลตนเองว่ามีศีลตลอด “สมาธิ” ทำใจให้ไม่โกรธ ทำใจให้เย็น ทำให้มีองค์ภาวนา ทำให้ฌานเกิดขึ้น ทำให้จิตตั้งมั่นเกิดขึ้น นั่นแหละ ! จะสะเดาะเคราะห์จ่อชะตาได้ “ปัญญา” ทำปัญญาให้รู้ว่าขันธ์ ๕ ทั้งหลาย เกิดแก่เจ็บตายเป็นของมีทุกข์ทั้งนั้น เราแบกขันธ์ ๕ แบกไปแบกมา หนักไปหนักมา ต้องพากิน พาเดิน พานั่ง พานอน พาถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ เราลำบากอยู่ตลอดคืนตลอดวัน ร่างกายนี่เป็นของหนัก นั่งนานก็หนัก นอนนานก็หนัก กินนานก็หนัก หายใจมากก็หนัก คิดมากก็หนัก อยู่นานก็หนัก อายุมากก็หนักมากขึ้น นี่คือทุกข์ เมื่อเรามีปัญญามองเห็นอย่างนี้แล้ว เราก็ต้องหาทางพ้นทุกข์อันนี้ การที่เราจะพ้นทุกข์ได้ก็ต้องแสวงหาธรรมะคือพระนิพพาน นั่งให้เบา นอนให้เบา กินให้เบา ไม่ต้องคิดอะไรมาก นี่เราเรียกว่าหาทางดับทุกข์ มีที่พึ่งทางใจ เมื่อเรามาประพฤติอย่างนี้แล้วเราจึงจะมีที่พึ่ง อาตมาไปเยี่ยมหลวงพ่อรูปหนึ่งที่สุพรรณบุรี โยมมานั่งเฝ้ากันตั้งแต่เช้าจนถึง ๓ ทุ่ม ๔ ทุ่ม จะไปหาเลขดีๆ กับพระ อยากจะให้พระบอกหวย อยากจะรวยทั้งๆ ที่มีอาชีพที่ดีแล้ว บางคนเป็นช่างเสริมสวย เป็นแม่ค้าแม่ขาย โธ่ ! เอาเงินพวกนั้นมาทำบุญดีกว่า ไปเล่นหวยใต้ดินบนดินให้เสียเงินเปล่า บางจังหวัดเล่นกันทั้งจังหวัดเลยนะ อาตมาไปธุดงค์เริ่มเดินไปตั้งแต่ อ.เดิมบางนางบวช สิงห์บุรี อ่างทอง ไปจนถึงภาคอีสานจนไปยันภาคใต้ งมงายกันจังเลย เห็นพระธุดงค์ไม่ได้ขอแต่หวยอย่างเดียว อาตมาก็สลดสังเวชว่า โถ ! คนไทยนี่งมงายจังเลนะ เอาหวยใต้ดินบนดินเป็นที่พึ่งกันจนหมดทั้งประเทศเลย คนไทยนี่เป็นคนจนทั้งนั้น อาตมาพิจารณาแล้วคนไทยเรา ไม่มีที่พึ่งทางใจเลยไปหาพระ ![]() ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามีวิธีกำจัดทุกข์ได้ กำจัดภัยได้ แต่เราไม่ได้สนใจทำเอง เวลาคิดมากขึ้นมาก็ไปเที่ยวไปเล่นไปหาวิธีออกอย่างอื่น อาจจะคลายเครียดไปได้พักหนึ่ง แต่พอกลับมาอยู่เฉยๆ ก็เอาอดีตมาคิดอีก เอาอนาคตมากังวลอีก ก็ไม่มีใครพ้นทุกข์ได้ ก็ต้องกลับมาปรุงแต่งมากขึ้นๆ บางคนที่เคยเป็นคนเข้มแข็งเป็นคนมีความอดทน พอปลดเกษียณก็กลายเป็นคนจู้จี้ ขี้บ่น ขี้โมโห เอาแต่อารมณ์ตัวเอง อยู่บ้านก็ไม่มีความสุข เพราะเขาไม่มีความสงบทางใจ ไม่รู้จักจิตที่สงบ จะกลายเป็นบุคคลที่เข้าสังคมไม่ได้ เป็นบุคคลที่ลูกหลานบางคนต้องเอาพ่อแม่ไปไว้บ้านคนชรา แต่คนที่มีธรรม คนที่จิตใจ ไม่ฟุ้งซ่าน มีแต่สติ มีแต่สมาธิ มีแต่ความเย็นกายเย็นใจ ลูกหลานก็รัก เพื่อนก็รัก ทุกคนก็อยากจะอยู่ใกล้กับคนที่ใจเย็นใจสงบ อันนี้เราต้องเข้าใจนะว่า...ชีวิตคนเรามีค่าไม่ใช่มีค่าตรงที่มีงานทำ มีเงินใช้ มีลาภ มียศ สิ่งเหล่านี้ยังมีค่าตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่ แต่มันจะหมดค่าตอนที่เราไม่มีธรรมนะซิ ดังนั้น เราจะต้องทำจิตใจของเราให้มีค่า ทำชีวิตของเราให้สมบูรณ์ เพราะธรรมนี้เป็นของเอาไปได้ พระพุทธเจ้าจึงทรงบอกว่าทำบุญกุศลครั้งหนึ่งจะทำบุญอะไรก็สุดแล้วแต่จะเป็นทาน เป็นศีล เป็นสมาธิ ภาวนา ชั่วช้างสะบัดหู ชั่วงูแลบลิ้น จะให้ทานเพียงข้าวทัพพีหนึ่ง น้ำแก้วหนึ่ง ยังมีค่ามากกว่าสมบัติในโลกนี้อีก แต่คนที่ไม่มีปัญญาก็จะเถียงในใจว่า...เป็นไปไม่ได้ ใครๆ ก็อยากได้แก้วแหวนเงินทองมากมาย ส่วนคนที่มีปัญญาก็จะบอกว่า “สมบัติในโลกนี้ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ เงินสักบาทหนึ่งสักสลึงหนึ่งก็เอาไปไม่ได้ เอาใส่ปากก็ยังเอาไม่ได้ เว้นแต่บุญกุศล เพียงข้าวทัพพีหนึ่ง หรือสมาธิชั่วครู่หนึ่ง กลับมีอานิสงส์ไปยังชาติหน้าได้” ![]() ![]() “อ้อ ! ที่นั่งปวดนั่งเมื่อยทนแทบตาย สิ่งที่ได้คือการทำให้ใจอดทน กลายเป็นคนถูกกระทบแล้วไม่หวั่นไหว ไม่ว่าเจ็บปวดอะไร ทนได้หมด” แต่ถ้านั่งแล้ว โอ๊ย ! ปวด โอ๊ย ! เมื่อย ขยับไปขยับมา ใจคอหงุดหงิด ใครว่าอะไรโกรธหมด มันทำไม่ได้เลย นั่งไม่ได้ ก็โกรธนะซิ พลิกไปพลิกมา ผลที่สุดใจมันก็เลยโลเล เหลวไหล นั่งขยับไปขยับมา กลายเป็นคนหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน ขี้โกรธอยู่นั่นเอง ฉะนั้น คนที่นั่งทนอยู่ได้ กลายเป็นคนไม่โกรธไป ไม่ใช่สมาธิหัวตอนะ แต่เป็นสมาธิแบบมีปัญญา ถ้าสมาธิแบบคนโง่ก็ “สงบจริง หมดกิเลสแล้ว สบายจริงๆ” แต่พอใครว่า “คนนี้มันนั่งหลับตา ไม่ได้อะไรหรอก” ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แหม ! โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ โกรธเต็มที่เลย ผลที่สุดนั่งตั้งนานไม่ได้อะไรเลย ![]() ใจเราก็เหมือนกัน เมื่อก่อนไม่มีหรอก สติ สมาธิ ปัญญาที่จะรู้ธรรมเห็นธรรม ก็ต้องสร้าง สร้างด้วยการเข้ามาสู่หลักสติปัฏฐาน ๔ หรือองค์มรรค ๘ มีความเห็นว่าทำใจอย่างนี้ นี่จะดับทุกข์ได้ ดำริอย่างนี้จะไปถูกต้อง ดำริออกไปจากบาปอกุศล สำรวมกายวาจาใจอย่างนี้สงบ พยายามปฏิบัติเข้ามาสู่จุดนี้ พอเข้าสู่จุดนี้แล้วก็สงบจริงๆ ความเพียรเกิดขึ้น สติเกิดขึ้น มากขึ้น ใจก็สงบมากขึ้น สมาธิก็ตามมา ปัญญาก็เกิดเห็นความเป็นจริง แล้วก็เอาธรรมะอันนี้ไปแก้ใจตัวเองได้ เรียกว่าสร้างขึ้นมา เมื่อมีหลักในใจ มีศีล สมาธิ ปัญญาแล้วก็ไม่มีทุกข์ในใจ อะไรเข้ามากระทบก็ไม่มีทุกข์ ![]() สังฆทานนี่แต่ก่อนมีที่ดินแค่ที่หลวงพ่อโตเท่านั้นนะ แค่ตรงดอกบัวเท่านั้นเอง พอฝนตกทางนี้ก็วิ่งไปทางโน้น พอฝนสาดก็ไปทางข้างหลังหลวงพ่อโต พอฝนหยุดก็มาทางหน้าหลวงพ่อโต หนักเข้าไปไม่รู้ไปทางไหนก็นอนกรนตรงหน้าหลวงพ่อโต ผู้เขียนไม่กล้านอนแต่พระรูปอื่นท่านนอน พอตื่นขึ้นมาน้ำไปครึ่งตัว พอได้ที่มาก็ปลูกต้นไม้ทั้งนั้น แต่ก่อนเป็นสวนส้ม ข้างหลังเป็นสวนทุเรียน นี่ดินกำมือหนึ่ง อานิสงส์ของการทำบุญที่ดิน ทุกคนเวียนตายเวียนเกิดมากันมากไม่ใช่ชาติเดียวเท่านี้ อันนี้มาอานิสงส์เก่า อานิสงส์ชาติก่อนมาให้ถึงชาตินี้ด้วยด้วย ชีวิตคนเรามีทั้งสบาย มีทั้งลำบากนะ ชีวิตของใครไม่สวยหรูไปหมด ถ้าเล่าเรื่องของพระพุทธเจ้านี่ลำบากทุกชาติเลย แต่บารมียิ่งใหญ่ทุกชาติ พวกเราต้องรักในหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์ ต้องมีความจงรักภักดีไม่คิดคดทรยศจะชิงบัลลังก์ แล้วช่วยกันถ่ายทอดต่อๆ กันไป เราต้องอยู่ข้างคนฉลาดไม่โกง เงินซื้อเราไม่ได้ เราอยู่ข้างใคร ข้างชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่เขาบอกว่า “มึงไม่ฉลาดหรอกมึงโง่ (ขออนุญาตใช้ภาษาพ่อขุนรามฯ) แต่ก็โง่ซื่อ กูก็อยู่ข้างฉลาดไม่โกง ถึงยังไงกูโง่ซื่อ ก็รักในหลวง ศาสน์ กษัตริย์ ก็ไม่คิดคดทรยศ มึงก็ซื้อกูด้วยเงินไม่ได้ ถึงมึงจะเอามาให้กู ร้อยล้านพันล้านก็ซื้อกูไม่ได้ ให้โกรธเกลียดในหลวงกูก็ไม่เกลียด ให้ทำลายชาติไม่ทำลาย ให้ทำลายศาสนาไม่ทำลาย เพราะกูโง่และซื่อ ซื้อด้วยเงินไม่ได้ เงินไม่มีความหมาย ถ้าตราบใดกูฉลาดก็จะช่วยคนได้มากกว่านี้อีก แต่ตอนนี้กูโง่ซื่อก็เอาแต่พวกกู ได้น้อย แต่ก็ฉลาดซื่อ เมื่อไรกูจะช่วยคนได้ทั้งโลกเลย” ถ้าเกิดพวกเราเกิดมาโง่โกงละ พวกเราจะช่วยกษัตริย์ได้ไหม เขาก็ซื้อพวกเราไปเป็นพวกเขาน่ะสิ เพราะพวกเราโง่ โกงนะ อยากได้เงินเขาใช่ไหมล่ะ ใครบอกโน่นดีนี่ไม่ดี กษัตริย์ไม่ดี พวกเราเชื่อเค้าหมดเลยก็กลายเป็นพวกเราโง่ โกง เราก็จบเลย แล้วไปโดนพวกฉลาดโกงหลอก เอาเงินมาซื้อเราเอาลาภยศมาล่อ เราไม่รักใครเราก็รักตัวเราเอง เราไม่รักชาติ เราไม่รักศาสน์ กษัตริย์ เพราะเรารักเงิน เพราะเราไปคบกับพวกฉลาดโกง เราเลยเป็นพวกโง่โกง...โง่มา ๕๐๐ ชาติแล้ว ชาตินี้อาจเป็นชาติสุดท้ายแล้วกระมัง แล้วก็ฉลาดโกงมา ๕๐๐ ชาติแล้ว พวกฉลาดโกง จะแพ้บุญใคร ฉลาดโกงจะแพ้บุญคนฉลาดซื่อ คนโง่โกงจะแพ้คนฉลาดซื่อ รวมแล้วคนฉลาดโกง กับโง่โกง จะแพ้คนฉลาดซื่อ กับโง่ซื่อ ผู้เขียนไม่ได้ต้องการต่อว่าใคร...ว่ากิเลส คนดีมีศีลธรรม แต่กิเลสไม่ดี เหมือนเราโกรธ เราอยากโกรธไหม ไม่ใช่เราอยากโกรธ กิเลสมันโกรธ พอเราหายโกรธแล้วเราก็คิดได้ว่าโกรธไปทำไมนะ ที่จริงแล้วเราไม่ใช่คนขี้โกรธ แต่กิเลสมันโกรธ นี่คือเราต้องฉลาดโดยสัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ ![]() เรามาด้วยศีล ๕ แต่เรากลับไปด้วยศีล ๘ เราก็จะไปสูงกว่าเดิม บางคนบอกว่าแล้วเมื่อเราแก่ตัวเราจะทำอย่างไร เมื่อเราไม่มีลูกหลาน เราก็ต้องทำบุญไว้ บุญจะสามารถช่วยเราได้ ธรรมจะเลี้ยงเราเอง คนไม่มีบุญนะทำสมบัติรวยแสนรวย บางคนไม่เคยทำบุญ ทำรวยอย่างเดียว ไปเที่ยวไหว้เจ้า เดินขึ้นเขาไปไหว้เจ้า พอเดินลงมาก็หลงทาง คนรวยพลัดกับลูกหลานก็ตามไม่เจอ ที่่สุดแล้วก็ไปเจอนอนตาย เหลือแค่กระดูก เพราะหลงป่า คนเศรษฐีตายอย่างอดอยาก เพราะไม่ได้ทำบุญในชาตินี้ บางคนนั้นรวยแต่ไม่มีสมาธิ ทำมาหากินจนรวยทั้งผัวทั้งเมีย แต่กลายเป็นคนไม่มีสมาธิ กลายเป็นคนจู้จี้ขี้บ่น พออายุ ๖๐-๗๐ ปี ก็หลง กินก็ไม่รู้ จำวันเดือนปีไม่ได้ ในที่สุดลูกหลานรวยแล้ว ได้สมบัติพ่อแม่แล้ว เอาพ่อแม่ไว้ไม่ได้แล้ว เพราะรกสกปรก ก็ต้องเอาพ่อแม่ไปที่บ้านพักคนชรา พอตายแล้วทางเจ้าหน้าที่ก็โทรมาบอกว่าแม่ตายแล้ว พ่อตายแล้ว จัดพิธีศพให้ใหญ่โต คนทั้งหลายก็มากันเต็ม ไม่ได้เพราะกตัญญูหรอก แต่มาเพราะกตัญญูเงิน แต่ความจริงแล้วเอาแม่ไปปล่อยที่บ้านพักคนชรา บ้านพักคนชราพระเจ้าอยู่หัวเป็นผู้ดำริ พระองค์ดำริเพราะทรงทราบว่าต่อไปคนไทยจะเหมือนกับคนต่างประเทศ ที่ไม่เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ท่านก็เลยทำบ้านพักชราที่บางแค เพื่่อคนชรา เพื่อลูกหลานที่ลืมพ่อแม่จะได้เอามาไว้ คราวนี้ก็มีเกือบทุกจังหวัดที่มีบ้านพักคนชรา ถามคนชราบางคนว่าทำไมไม่มาอยู่วัด ตอบว่าก็ไม่รู้จะอยู่วัดไหน บางคนก็หลง บางคนก็ดูลักษณะผิวพรรณ หน้าตาแล้ว เป็นคนที่่มีเงินมีความรู้ แต่ก็พูดไม่หยุดซะแล้ว ใครพูดก็ไม่ฟัง พูดอย่างเดียว บางคนก็นอนเรื่่อยเลย นอนเปลือยเลย บางคนดูแล้วหาเงินจนรวย หาเงินจนหลง พอลูกเรียนสูงๆ แล้วกับมาเห็น พ่อแม่หลงมันก็ไม่เอาแล้ว ก็ไปฝากดีกว่า บางคนวันเสาร์-อาทิตย์มาเยี่ยม หลังๆ งานยุ่งไม่มีเวลา ไปเมืองนอกเมืองนา ไม่มาเลย นานเข้าลูกหลานก็ไม่รู้จักเลย คนกตัญญูก็ไปบ่อย พอธุรกิจมัดตัวก็จะไม่มา พอพ่อแม่ตายก็ไปเอาศพ นี่แหละ คือคนที่ไม่ทำบุญ คือ คนที่ไม่เข้าวัดไม่เห็นคุณค่าของวัด มัวแต่ไหว้เจ้า ยึดติดพิธีกรรม เพราะไม่มีสมาธิก็ทำให้หลงเลย เพราะว่าไม่เข้าวัด ไม่มีสมาธิ ไม่มีสติปัฏฐาน ๔ ไม่รู้จักจิตตนเอง แต่ถ้าคนไทยเป็นอย่างนี้เยอะๆ เราจะพึ่งใคร ตัวเราทำตัวเราเองนะ จึงทำให้คนอื่นเบื่อตัวเรา ลูกหลานก็ทิ้งเรา เพราะเราไม่มีสติ ทำให้เวลาเราพูดก็หยุดไม่ได้ โมโหก็บ่นดุด่าว่ากล่าว นานๆ เข้าก็กลายเป็นคนสมองฝ่อเลอะเลือน ถ้าลูกหลานกตัญญูก็โชคดีไป สมัยก่อนเค้าไม่ทิ้งพ่อแม่หรอก สมองเลอะเลือน ก็เลี้ยงเช็ดทำความสะอาด นี่่เขาภูมิใจมาก เขาถือว่าได้เลี้ยงพ่อแม่กับมือจนเขาตาย สมัยนี้เขาเลี้ยงพ่อแม่เขาไม่ได้ แม้แต่ลูกตัวเองยังต้องจ้างเขาเลี้ยง เช็ดเองไม่เป็น นี่แหละที่เขาวัดกันที่บุญ บุญนี้เราต้องฝึก เข้ามาฝึกสมาธิต้องควบคุมจิตตัวเองให้ได้ การที่่เราพูดละเมอเพ้อพกแบบขาดสติก็มาจากการที่่่เราไม่รู้จิตตัวเอง ขาดสติก็กลายเป็นคนหลง ที่เมืองนอกมีเยอะ พออายุ ๖๐ ปีไปแล้ว ถ้าหลงเขาก็ส่งไปที่่บ้านพักคนชรา โรงพยาบาลเมืองนอกจะห้ามคนเข้าไปเฝ้า โรงพยาบาลเมืองไทยนี่อบอุ่น มีลูกมีหลานพากันไปเยี่ยมไปเฝ้า แต่เมืองนอกเขาห้าม เพราะเอาเชื้อโรคไปให้เขา แค่ไปเยี่ยมหรือโทรศัพท์หาพ่อแม่เท่านั้นแหละ มันว้าเหว่มากเลยนะ ศาสนาพุทธเขาสอนให้เรารู้จักกตัญญูตอบแทน บุคคลหาได้ยากมีอยู่ ๒ อย่าง คือบุคคลที่รู้คุณคน และคิดจะตอบแทนบุญคุณคน คือบุคคลที่หาได้ยากในโลกนี้ คนฉลาดก็หาได้ คนรวยก็หาได้ คนสวยก็หาได้ คนหล่อก็หาได้ คนมียศใหญ่ๆ ก็หาได้ แต่คน ๒ อย่างนี้หาไม่ค่อยได้แล้วในโลกนี้ ในโลกนี้คนกตัญญูที่พอคนเขาให้อะไรแล้ว ก็รู้จักที่จะตอบแทนบุญคุณ รู้จักบุญคุณคน เดี๋ยวนี้คนเป็นแม่ก็สอนลูกไม่เป็น สอนลูกให้บริโภคนิยม ไม่ได้สอนให้ธรรมะนิยมเมื่่อสอนบริโภคนิยมก็เอาเงินให้ เอาเสื้อผ้าให้ เอาของดีๆ ให้ ให้เรียนดีๆ ในที่สุดก็บริโภคนิยม ไม่รู้จักบุญคุณพ่อแม่ พอโตแล้วมันก็ไม่สนใจเรา มันก็ไปสนใจเพื่อนฝูงมากกว่า สนใจวัตถุนิยมมากกว่า อะไรที่่ดีเหมาะ อะไรที่ชักจูงเขาว่าดีก็ไป ถ้าเอาธรรมะนิยมคนก็จะรู้คุณคน เขาก็จะรู้ว่านี่แม่เลี้ยงเรามา หาที่กินที่อยู่ให้เรา เลี้ยงเรามา หาที่เรียนให้เรา หาเสื้อผ้าดีๆ ให้เรา เพราะพ่อแม่เป็นผู้ให้เราเกิดมา จะให้เกิดโดยวิธีใดก็แล้วแต่ก็ถือว่าเป็นคนที่มีบุญคุณแก่เรา เป็นคนที่ทำให้เราเกิดมา ถ้าไม่มีพ่อแม่เราโตมาเมื่อได้เรียนหนังสือ ตรงนี้เราคิดไม่ได้ แม่คิดไม่ได้แล้วลูกจะคิดได้อย่างไร พ่อแม่ไม่คิดลูกไม่คิด พอไม่คิดก็กลายเป็นความรักที่่หลง รักลูกแล้วหลงไม่ได้เตือนอะไร พอลูกโตมาก็หลง เจอเพื่่อนก็หลงเพื่อนไป ไม่คิดที่จะกลับมาหาพ่อแม่ คนที่เสียใจก็คือพ่อแม่เพราะเลี้ยงลูกด้วยวัตถุนิยม ไม่ได้เอาธรรมะนิยมเลี้ยง ทุกวันนี้บ้านไหนที่ลูกไม่เถียงพ่อแม่หายาก ยิ่งเด็กติดเกมส์ไม่ต้องห่วง ก้าวร้าวเลย เด็กติดเกมส์ติดอินเตอร์เน็ตก้าวร้าวทุกคน พอพ่อแม่ว่าก็จะฉุนเฉียวทันที จะเถียงทันที กลายเป็นเด็กที่หาง่าย เด็กคนที่ไม่กตัญญู คนที่่ไม่รู้จักบุญคุณคน และไม่คิดที่จะตอบแทนคุณคน เผลอๆ จะเนรคุณคน นี่คือหาได้ง่ายในโลกนี้ ![]() ทำไมคนหนุ่มคนสาวจึงไม่ไป ? เพราะพวกเขายังไม่เห็นธรรมะ ยังไม่เคยเจ็บ ยังไม่เคยแก่ ยังไม่นึกถึงความตาย เพราะอายุของเขายังน้อยอยู่ จึงประมาทไม่อยากเข้าวัด ก็เลยไม่ค่อยพบคนหนุ่มคนสาวเข้าวัดปฏิบัติธรรม เจอแต่คนแก่ไปวัดกันมาก ถ้าคนหนุ่มสาวทั้งหลายเห็นว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของเขาด้วย พวกเขาก็จะเข้าวัด จะไม่ประมาท และอยากจะรู้เห็นธรรม อยากจะไปให้พ้นทุกข์ ให้พ้นแก่ พ้นเจ็บ พ้นตาย หนุ่มสาวบางคนที่เห็นภัยในความเจ็บ ความแก่ ความตาย ก็จะเร่งเพียรพยายามในการทำบุญทำกุศลเท่ากับคนแก่หรือมากกว่าเสียอีก แต่คนแก่บางคนก็หลง เพราะความหลงมาครอบงำไม่ได้คิดถึงความแก่ ความเจ็บ ความตาย ทั้งๆ ที่อายุมาก ๘๐, ๙๐ แล้ว ก็ยังไม่คิดถึงเรื่องเหล่านี้ แม้แต่ใกล้จะหมดลมแล้ว คนแก่บางคนก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะตาย นี่คนแก่พวกนี้ยังมองไม่เห็นภัย ทั้งๆ ที่ภัยนี้อยู่ในตัวเองแล้ว ก็เอาอะไรไปไม่ได้ “ธรรมะ” นี้เป็นเครื่องเตือนใจให้มีดวงตาเห็นธรรม เพื่อความไม่หลง เพื่อความไม่ประมาท คนที่ได้มาปฏิบัติธรรมส่วนมากก็คือ รู้แล้วว่าเราไม่มีอะไรเป็นของเรา เรามีกุศล มีทาน ศีล ภาวนาเท่านั้น ที่จะเป็นสมบัติของเรา ที่จะให้ความสงบสุขแก่เรา ที่จะให้เป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวแก่ชีวิตเราทั้งปัจจุบันและอนาคต ไม่มีที่พึ่งอื่นเลยนอกจากการทำความดี การเพียรทำกรรมฐานนี่เป็นยอดบุญ กรรมฐานเป็นตัวทำให้สำเร็จทุกอย่าง ให้ถึงมนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติ นิพพานสมบัติ แม้เรายังไม่แก่ก็ให้ใจคิดเหมือนคนแก่ เพราะคนเราจะต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องพลัดพรากจากของรักไม่วันใดก็วันหนึ่งแน่นอน เมื่อคิดอย่างนี้แล้วเราก็จะรีบลงมือประพฤติปฏิบัติธรรมโดยความไม่ประมาท ทุกคนก็จะเรียกร้องหาบุญกุศลของตน ทำมากขึ้นๆ จนอิ่มใจ จนสุขใจ ทำแล้วไม่ได้เฉพาะแก่ตนเองเท่านั้นนะ ทำแล้วได้แก่ครอบครัวแก่พี่น้องแก่เพื่อนมากมาย แถมจะให้คนอื่นรู้เห็นอย่างเช่นตัวเอง ได้อย่างเช่นตัวเอง เพราะรู้แล้วว่าปฏิบัติธรรมมันมีความสุข มีใจเย็นมีใจสบาย มันเข้าถึงความสงบที่สุด (มีต่อ) |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 28 ก.ย. 2012, 16:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: โอวาทธรรม : หลวงพ่อสนอง กตปุญฺโญ |
![]() ![]() พิจารณากายของเรามีอาการ ๓๒ กายนั่งก็เอาความรู้สึกมาไว้ที่กายนั่ง กายเดินก็เอาความรู้สึกมาไว้ที่ความเคลื่อนไหวก้าวไปก้าวมา กายนอนก็พิจารณาอาการนอนของกาย กายทำอะไรเราก็พิจารณา กายกิน กายเดิน กายนั่ง กายนอน เอาจิตจับไว้กับกาย ความรู้สึกก็ตามอยู่กับกายตลอดเวลา หลับตาลืมตาโยกโคลง จิตก็อยู่กับกาย จิตก็มีสติ เมื่อมีสติติดต่อไปนานๆ ก็เป็นสมาธิขึ้นมาทันที ตรงที่เป็นสมาธินี่เราจึงรู้ว่า อานิสงส์ของการทำความรู้กับกายนี้ทำให้จิตของเราสงบ เมื่อเห็นกายมากๆ ขึ้นมาก็เห็นทุกข์ของกาย เห็นทุกข์ของใจ จิตก็เกิดขึ้น เวลาเราคิดอะไรเราก็ทันจิตตัวเอง เรียกว่า รู้จิตเห็นจิต จิตมีเวทนา สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้ รู้สุขรู้ทุกข์เขาเรียกว่า รู้เวทนา เวทนานี่มีทั้งภายในและภายนอก เวทนาภายนอก ก็คือ เวทนาทางกาย เช่น กายเป็นสุขเป็นทุกข์ กายร้อนกายหิวกายกระหาย กายปวดเมื่อย ส่วนเวทนาภายใน คือ เวทนาทางใจ จิตเป็นสุขก็สุขเวทนา จิตเป็นทุกข์ก็ทุกขเวทนา จิตวางเฉยก็เป็นอุเบกขาเวทนา พระพุทธองค์ท่านให้พิจารณาหมดเลย ถ้าเราจะศึกษาให้เกิดปัญญาก็พิจารณาอย่างนี้ปฏิบัติจึงจะเกิดปัญญา เห็นเวทนาภายในบ้าง เห็นเวทนาภายนอกบ้าง เกิดแล้วก็ดับ ไม่มีอะไรตั้งอยู่ได้สักอย่างเดียว เสียงก็ดี รูปก็ดี ความคิดนึกก็ดี ก็มีเรื่องเกิดๆ ดับๆ อยู่ในจิตของเรา เมื่อพิจารณามากๆ ก็รู้จิตเห็นจิตมากขึ้น รู้ธรรมเห็นธรรมมากขึ้น จิตภายในคิดเรื่องปรุงแต่งคิดนึกต่างๆ เห็นจิตภายนอกก็ท่องเที่ยวไปในเรื่องราวต่างๆ เรียกว่า รู้ทันจิตตัวเอง คิดไปถึงไหนก็รู้ถึงนั่น ดับที่จิตเกิดที่จิตก็รู้จิตภายใน ก็เห็นธรรม ธรรมที่เสื่อมไปบ้าง ธรรมที่เจริญบ้าง เรียกว่าธรรมารมณ์ที่เกิดกระทบใจ ธรรมเทศนาที่เกิดขึ้นในใจก็เกิดขึ้น เห็นสุขเห็นทุกข์ เห็นบุญเห็นบาป เห็นความเปลี่ยนแปลงไม่แน่ไม่เที่ยง พิจารณาธรรมในจิตที่เกิดขึ้นได้รู้ได้เห็น ปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ก็ทำให้เรารู้เรื่องมรรคองค์ ๘ รู้เรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้าว่ามีจริง พุทธศาสนานี่พอปฏิบัติแล้วจะเห็น อ๋อ...นี่เรื่องจริง พระพุทธเจ้าได้ผ่านพบสิ่งนี้จริงจึงได้สอนไว้ ถึงเราจะไม่เจอองค์พระพุทธเจ้า แต่เราก็เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง เพราะธรรมอันนี้ปฏิบัติแล้วก็พบธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ ทำแล้วก็เกิดเทศนาขึ้นในใจเรา ไม่ใช่นั่งไม่รู้อะไร นั่งแล้วกลับรู้ ยิ่งนั่งยิ่งรู้ ยิ่งนั่งยิ่งเห็น ยิ่งปฏิบัติยิ่งเพลิดเพลิน มีความสุขสงบ มันไม่ใช่เป็นคนเดิม พอเป็นอย่างนี้ก็เกิดความปีติพอใจที่ตนเองได้เข้ามาปฏิบัติ เห็นมรรคเห็นผลในใจเรา มีศรัทธาเชื่อมั่นแน่นอนไม่สงสัย การปฏิบัติธรรมก็ต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง จะไปให้ใครมาบอกเราว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ก็ไม่เหมือนเราเห็นเองรู้เอง ![]() การไม่รู้ทัน คือ การเสียท่ามัน เสียท่าใจดวงนี้เสียแล้วว่า “เผลอตัวไป” เผลอตัวไปโกรธซะแล้ว เผลอตัวไปไม่พอใจซะแล้ว ก็ต้องรู้ให้ทัน นี่แหละการสร้างสติตัวเอง ![]() ![]() จิตของเราก็เช่นกัน เราก็ตามดูความคิดของเรา คิดอะไรก็ตามดูไปเถอะให้มันจบสิ้นให้ได้ ถ้าไม่ตามดูเราจะไม่รู้เรื่อง บุญบาป เรื่องนรก สวรรค์ นิพพาน ที่จิตได้ บางคนไม่รู้เลยเลิกเลย พอนั่งคิดโน่นคิดคิดนี่ “เลิกดีกว่านอนดีกว่าเมื่อยแล้ว ไม่เอา...” กลัวจิตตัวเองคิดไม่หยุด แต่หารู้ไม่ว่านั่นแหละธรรมะเกิดแล้ว การที่ตามดูจิตตัวเองได้ จะใช้ได้แล้ว แต่ว่าคนเราไปกลัวความคิดตัวเองเลยเลิก นึกว่าไม่สงบ นึกว่านั่งแล้วไม่ได้อะไร นั่นแหละได้แล้ว ถ้าคนไหนรู้ใจตัวเองนั่นแหละใช้ได้ ให้ตามดูใจตัวเองคิดนึกไปเรื่อยไปเลยทั้งวันทั้งคืน จะเว้นก็เวลาหลับ ตื่นขึ้นมาก็ตามดูจิต ภาวนาเรื่อยๆ ตามดูหนักเข้าๆ เราก็จะรู้ทันทีเลย คล้ายว่าตามจิตจน จนน่ะ พอจิตมันจนท่าแล้วมันจะหยุด จะทำให้เรารู้เรื่องต่างๆ ภายในจิตหมด ฉะนั้น การดูจิตนี้คือถูกต้อง ไม่ต้องไปสงสัย ![]() ถ้านักปกครองทั้งหลาย จะเป็นนายกคนไหนก็ดี เป็นประธานาธิบดีก็ดี เป็นรัฐมนตรีฝ่ายไหนก็ช่าง ขอให้ปกครองโดยธรรม เพราะคนไทยเราเป็นญาติกันทุกคน พระพุทธเจ้าท่านจึงเอาคนในชมพูทวีปมาเป็นญาติกันหมด ขอทานก็เอามาบวชได้ คนจัณฑาลก็เอามาบวชได้ โจรห้าร้อยก็เอามาบวชได้ ไม่มีคนไหนที่พระองค์ทรงรังเกียจ ที่พระองค์ทรงไม่ให้บวช คือ คนที่เป็นบัณเฑาะก์ เป็นกระเทย สองเพศบวชไม่ได้ คนจิตใจวิปริต ได้หน้าลืมหลัง เป็นคนที่หลงๆ ลืมๆ หรือเป็นคนที่ขาดสติสัมปชัญญะ บวชไม่ได้ คนเป็นใบ้ เป็นบ้าบวชไม่ได้ คนพิการบวชไม่ได้ หูหนวกตาบอดทั้งหมดบวชไม่ได้ แขนขากุดพิการบวชไม่ได้ เป็นขี้เน่าเข้าดอก ขี้ทูตขี้เรื้อนบวชไม่ได้ โรคเอดส์นี่ก็บวชไม่ได้นะ แล้วบุคคลที่ไม่ได้เป็นมนุษย์ก็บวชไม่ได้ เช่น พญานาคปลอมมาบวช หรือเทวดาปลอมมาบวช นี่ก็บวชไม่ได้นะ ต้องเป็นบุรุษที่สมบูรณ์ ดำเกินไปก็บวชไม่ได้ ขาวเกินไปคนเห็นแล้วตกใจ ตัวอะไรเนี่ย ก็บวชไม่ได้ สูงยังกะเปรตนี่ก็บวชไม่ได้ เตี้ยเกินไปก็บวชไม่ได้ นี่่เรายังไม่เตี้ยมาก (หัวเราะ) เตี้ยม่อต้อผิดมนุษย์มนาก็บวชไม่ได้ พระองค์ทรงเลือกมหาบุรุษ เมื่อบวชแล้วทุกคนก็เป็นมหาบุรุษ ฉะนั้น คนที่บวชพระนี่ คือมหาบุรุษ บุคคลที่เป็นบุรุษอาชาไนย ถ้าเป็นช้างก็เป็นช้างอาชาไนย ม้าอาชาไนย คือบุคคลที่สู้ตายได้ ไม่กลัวตาย อยู่ป่าช้าได้ อยู่ถ้ำได้ อยู่ดงเสือ ดงโจรได้ อยู่ที่อันตรายได้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ได้หมด นี่คือมหาบุรุษ ฉะนั้น สาวกของพระพุทธเจ้าเหมือนแม่ทัพธรรมหรือเหมือนนักรบ รบกับกิเลสนะ ไม่ใช่ไปรบตบตีกับใครนะ (หัวเราะ) นักรบคือ ฆ่าความคิดที่น่ากลัวในใจ ใครที่น่ากลัวที่สุดคือตัวเรา คนที่น่าเกลียดน่ากลัวที่สุดคือตัวเรา คนที่น่ารักน่าชมก็คือตัวเรา คนอื่นว่าตัวเองน่าเกลียด แต่เราชมตัวเองว่าน่ารัก น่าเกลียดนะ ฉะนั้น บุคคลที่พระองค์ยกย่อง ก็คือมหาบุรุษที่ไม่กลัวตาย ไม่กลัวความแก่ไม่กลัวความเจ็บ ![]() แม้แต่ความรักที่สาบานว่าจะรักกันจนตายมันก็ยังทิ้งกันได้ มันเกิดได้ยังตายจากกันได้ ไม่มีอะไรเป็นของเที่ยงเลย แล้วจะไปยึดมั่นถือมั่นว่าทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามสัญญานั้นไม่มีหรอก จึงว่าเราเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ศึกษาชีวิตให้มันเป็นธรรมะเสีย เกิดคนเดียว ตายคนเดียว กินคนเดียว นอนคนเดียว ทุกข์คนเดียว ถ้าเรายังช่วยใจตัวเองให้สงบไม่ได้ ก็ช่วยคนอื่นไม่ได้ เราจึงต้องช่วยตัวเองก่อน เมื่อช่วยตัวเองได้ก็ช่วยคนอื่นได้ ![]() ![]() ![]() ![]() สุขคือการสำรวมกายก็กายของเรามีมีอยู่แล้วนี่ เราก็ทำได้สิไม่ต้องไปหากายคนอื่นหรอก กายคนอื่นก็สุขคนอื่น กายเราก็สุขที่กายเรา การมาบวชเรียนมาประพฤติปฎิบัติจึงได้ รู้จิตตัวเองมากขึ้น ไม่ติดอดีต ไม่ติดอนาคต พยายามอยู่กับปัจจุบันให้มากเมื่อสำรวมกาย วาจา ใจเป็นหนึ่งเดียวได้ก็เป็นศีล สมาธิ ปัญญา และนี่ก็เป็นความสุขของเรา ไม่ต้องไปหาพระพุทธเจ้าที่ไหนเลย เราหาพระพุทธเจ้าที่ใจเรา การที่เราได้มาพบประชุมร่วมกัน ก็เพื่อจะได้เห็นทัศนวิสัยที่ดีต่อกันว่า สาขาที่ท่านไปอยู่ไม่รู้ว่าท่านเป็นยังไงเมื่อกลับมา ตอนนี้รู้สึกว่าพวกท่านเปลี่ยนแปลง สงบขึ้น สำรวมขึ้น พวกท่านเป็นพระที่รู้จักการประพฤติปฏิบัติมากขึ้น หรือบางท่านก็มาแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่ดีต่อกันว่า “ผมไปอยู่ป่าช้าบุ่งมะแลง ผมได้เจอผี ผมได้เอาผีมาเป็นครูได้เอามาทำความเพียร ได้ใช้ชีวิตตรงนี้ดีมาก” แต่ละฐานะความเป็นอยู่มา สรุปแล้วทุกคนก็ได้ในสิ่งที่แตกต่างกัน รวมแล้วคือได้ไปประพฤติปฏิบัติสำรวมกาย วาจา ใจ กลับมาตรงนี้ เราได้สิ่งที่ดีกลับมาแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่ดีๆ ต่อกัน ครูบาอาจารย์ที่เราอยู่ท่านก็เสียสละเวลาเพื่อเรา ตอนไม่มีเราท่านก็อยู่อย่างสบาย ไม่ต้องห่วงกังวลจะบิณฑบาตได้น้อยได้มาก ท่านก็ไม่เดือดร้อน กุฎิจะพออยู่หรือไม่ ฝนฟ้าจะตกจะรั่วท่านก็ไม่เดือดร้อนอะไร เมื่อไม่มีเรา แต่เมื่อเราไปแล้วเนี่ยท่านก็ต้องขนขวาย ท่านต้องเสียสละเพื่อเราที่ทำๆ ไปนั้นไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่อหมู่คณะ อย่างวัดสังฆทานเราเนี่ย ถ้าเราจะทำเพื่อตัวเองไม่ต้องทำอะไรเลยปลูกกุฎิหลังเดียวก็สบายใช่ไหม ? ไม่ต้องสร้างศาลาใหญ่อย่างนี้เลยก็อยู่คนเดียวสร้างให้เหนื่อยทำไม อยู่ไหนก็ได้ แต่ที่ต้องทำนี่ เพราะอะไร ? เรามาเป็นครูบาอาจารย์จึงรู้ เป็นลูกศิษย์เนี่ยเราไม่รู้ เรานึกว่าไม่เห็นจะต้องทำอะไร ใช่ ! ถ้าอยู่คนเดียวไม่ต้องทำอะไรเลย มีกุฎิหลังเก่าๆ สักหลังอยู่ชายน้ำ ตามถ้ำหรืออยู่ป่าช้า ไม่ต้องทำอะไรนั่นแหละเป็นความสุขไม่ต้องช่วยใครไม่ต้องห่วงใยใคร ไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด ไม่ต้องบอกบุญไม่ต้องสังคมกับญาติโยมสบายไหมล่ะอยู่คนเดียว แต่เป็นครูบาอาจารย์เป็นหมู่คณะ ทำอย่างนั้นไม่ได้แล้ว เพราะอะไร เพราะไม่ใช่ปากเดียวท้องเดียวต้องสงเคราะห์หมู่คณะ เพื่อให้คนอื่นเขาได้ใช้ประโยชน์ตรงนั้นให้ได้สะดวกสบายทางจิตใจ ทางกายให้มากขึ้นก็เลยเป็นวัตถุถาวร ที่ทำปีเดียวพังทำสองปีพัง ทำไม่ไหวมุงจากใช้ได้ปีสองปีมันก็รั่วอีกแล้ว เอ...ทำไงดี ก็ต้องไปหาวัตถุถาวรมากลายเป็นก่อสร้างเพื่อส่วนรวม ถ้าอยากจะสบายทำเพื่อตนเอง ตอนนี้เราได้โอกาสแล้วเรา เป็นพระบวชใหม่ก็ต้องทำตัวให้ถูกว่าอยู่คนเดียวสบายอย่างไร เมื่ออยู่คนเดียวสบายแล้ว สังคมที่เขาแบ่งเบาภาระปัญหาไปจากเราทำยังไงจะตอบแทนสังคมนั้นให้เขาสบายเหมือนเราบ้าง เราจะเอาอะไร กลับคืนให้เขาได้บ้าง ในเมื่อเรามาอาศัยอยู่กับท่าน ท่านต้องรับภาระอะไร ท่านต้องกวาดวัด ท่านต้องทำความสะอาด ท่านต้องบิณฑบาตทำโน้นทำนี่ นี่เป็นภาระของสังคม เราก็จะต้องย้อนกลับไปทำอะไรให้ท่านบ้าง ท่านแบกภาระเราแล้วก็ไม่ได้แบกเราคนเดียว พระ ๑๐ องค์ท่านก็แบกภาระ ๑๐ องค์ เมื่อพวกเราไปอยู่กับท่าน เราต้องเสียสละ อะไรที่ท่านเดือดร้อน เราก็พยายามช่วยให้ท่านสบายให้ท่านเป็นสุขบ้าง ตอบแทนบุญคุณตรงนี้ ![]() ![]() ![]() facebook Watsanghathan วัดสังฆทาน http://www.facebook.com/sanghathan ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=20372 ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=44299 ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=43080 |
เจ้าของ: | น้องพลอย [ 16 ก.พ. 2019, 14:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: รวมโอวาทธรรม (หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ) |
![]() ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |