ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

โรคทางกายและโรคทางใจ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=42799
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  lc_kukko [ 28 ก.ค. 2012, 17:01 ]
หัวข้อกระทู้:  โรคทางกายและโรคทางใจ

ไม่มีโรคภัย = ได้ลาภประเสริฐยิ่ง

โรค เมื่อแยกโดยประเภทแล้วมีอยู่ ๒ ชนิด ได้แก่
โรคทางกาย คือ ความเจ็บป่วยต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกกายเรา
โรคทางใจ คือ อาการที่จิตใจเกิดความแปรปรวนไปตามอำนาจของกิเลส ดังในคัมภีร์สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต โรคสูตร ว่า

“คนที่ไม่มีโรคทางกายตั้งแต่มีอายุ ๑ ปี จนถึงเกิน ๑๐๐ ปี ยังพอหาได้
แต่คนที่ไม่มีโรคทางใจแม้เพียงครู่เดียวหาได้ยาก เว้นแต่ท่านผู้หมดกิเลส คือพระอรหันต์”

สมมติฐานที่ทำให้เกิดโรคทางกาย
โรคทางกาย อาจเกิดขึ้นได้ด้วยสมมติฐาน ๘ ประการ ดังในคัมภีร์พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค สิวกสูตร ว่า

“ความเจ็บป่วยอาจมีสาเหตุจาก ดีเป็นเหตุ, เสมหะเป็นเหตุ, ลมเป็นเหตุ, มีทั้งดี ลม เสมหะเป็นเหตุ, ฤดูกาลแปรปรวน, บริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ, ถูกทำร้าย, ผลกรรม”

จำได้ว่า มีคุณลุงท่านหนึ่ง อ่านหนังสือโพชฌังคปริตรโทรศัพท์มาถาม พร้อมแนะนำว่า น่าจะบอกตัวอย่างโรคที่เกิดจากสาเหตุทั้ง ๘ นั้นด้วย แต่จากข้อจำกัดความรู้ทางแพทย์ ขออธิบายเท่าที่ค้นข้อมูลได้ ดังนี้

๑. โรคที่เกิดจากดี ดี เป็นอวัยวะภายในของคนและสัตว์ บรรจุน้ำสีเขียวข้นหลั่งจากตับ ทำหน้าที่ย่อยอาหาร โรคที่เกิดจากดีเป็นเหตุ เช่น ดีซ่าน, นิ่วในถุงน้ำดี, ท่อน้ำดีอักเสบ, ตับอ่อนอักเสบ, มะเร็งตับ, มะเร็งในท่อน้ำดี เป็นต้น

คัมภีร์ปรมัตถโชติกา อรรถกถาขุททกนิกาย กล่าวว่า
“ดี มี ๒ ชนิด คือ ดีนอกถุงน้ำดี ดีในถุงน้ำดี เมื่อดีนอกถุงน้ำดีกำเริบ ทำให้ตาเหลือง เวียนศีรษะ ตัวสั่น คันตามเนื้อตัว เป็นต้น แต่เมื่อดีในถุงน้ำดีกำเริบ ทำให้สัตว์เป็นบ้า อาจทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ พูดในสิ่งไม่ควรพูด คิดในสิ่งที่ไม่ควรคิดได้ ภาษาพระท่านเรียกว่า คนดีกำเริบ”

๒. โรคที่เกิดจากเสมหะ เสมหะ หมายถึง น้ำเมือกที่ออกจากลำคอ ทรวงอก และลำไส้ เกิดจากการระคายเคือง หรืออักเสบของระบบทางเดินหายใจและปอด ทำให้ร่างกายผลิตน้ำคัดหลั่งที่มีลักษณะเป็นน้ำเมือกเหลวใส ถ้าหลั่งออกทางจมูกเรียกว่า น้ำมูก ออกทางปากเรียกว่า เสลด เสมหะ ที่ขังในระบบทางเดินหายใจ ทำเป็นโรคหวัดชนิดต่างๆ ไซนัสอักเสบ มีอาการไอ จาม ถ้าขังในปอด ทำให้ร่างกายมีออกซิเจนต่ำ เกิดการอ่อนเพลียหน้ามืด เป็นต้น

คัมภีร์ปรมัตถโชติกา อรรถกถาขุททกนิกาย กล่าวว่า
“ในร่างกายคน มีเสมหะประมาณหนึ่งบาตร มีสีขาวเหมือนน้ำในผลมะเดื่อ ตั้งอยู่ในท้อง และโดยปกติพื้นท้องจะมีกลิ่นเหม็นคล้ายซากศพ แต่เมื่อมีเสมหะพอกพูนหนาขึ้นจะช่วยปิดกลิ่นเหม็นไม่ให้ฟุ้งออกทางปากจากการเรอ เหมือนไม้กระดานที่ใช้ปิดส้วม”

๓. โรคที่เกิดจากลม ลม เป็นหนึ่งในธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ประชุมกันเป็นกาย ธาตุลมในร่างกาย เช่น ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมพัดไปตามตัว ลมหายใจ เป็นต้น เมื่อธาตุลมในร่างกายแปรปรวน ไม่ทำงานเป็นปกติ ทำให้เกิดโรคได้ เช่น วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด คลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น

๔. โรคที่เกิดจากดี เสมหะ ลม โรคชนิดนี้ภาษาพระ เรียกว่า อาพาธสันนิบาต คือ โรคที่เกิดจากการประชุมกันของสมมติฐานทั้ง ๓ นั้น ภาษาทางการแพทย์ เรียกว่า ไข้สันนิบาต ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการเป็นไข้ ชักกระตุก และบ่นเพ้อ เป็นต้น

๕. โรคที่เกิดจากฤดูกาลแปรปรวน ฤดูกาล ในที่นี้หมายถึง สภาวะดินฟ้าอากาศ เกิดความเปลี่ยนแปลง เช่น หนาวจัด ร้อนจัด เป็นต้น ก็เป็นเหตุให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน ทำให้ไม่สบายได้

๖. โรคที่เกิดจากบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ หมายถึง โรคที่เกิดจากการจับจดอยู่กับอิริยาบถ ๔ คือ เดิน ยืน นั่ง นอน อย่างใดอย่างหนึ่งนานจนเกินไป เป็นสาเหตุให้เกิดโรคได้ เช่น นั่งนานๆ ก็ทำให้ปวดหลัง หรือเป็นโรคริดสีดวงทวาร เป็นต้น

๗. โรคที่เกิดจากการถูกทำร้าย หมายถึง โรคที่เกิดจากกระทำของคน สัตว์ ทำให้ได้รับบาดเจ็บ เช่น ถูกแทง ถูกสุนัขกัด เป็นต้น

๘. โรคที่เกิดจากผลกรรม หมายถึง โรคที่เกิดจากการทำทุจริตทางกาย วาจา ใจ ทั้งในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ โดยมากมักเกิดจากการผิดศีล เช่น ฆ่าสัตว์ ชาตินี้จึงเป็นโรคร้ายที่รักษาไม่หาย เบียดเบียนสัตว์ ชาตินี้ทำให้ป่วยเรื้อรัง ๓ วันดี ๔ วันไข้ เป็นต้น

โรคจากสมมติฐาน ๗ ประการแรก อาจรักษาได้ด้วยยา แต่ถ้ามีเหตุจากกรรมเก่า ไม่อาจรักษาด้วยยาอย่างเดียว ต้องรักษาทางใจ ด้วยการสวดมนต์ ทำสมาธิภาวนา รวมถึงใช้ยาธรรมโอสถ คือ เปลี่ยนพฤติกรรมในปัจจุบัน ให้เป็นคนทำดี พูดดี คิดดี เข้าช่วยอีกทางหนึ่ง เช่น พระนางโรหิณีน้องสาวพระอนุรุทธะ เป็นโรคเรื้อนจากกรรมเก่า พระพี่ชายจึงแนะนำให้สร้างหอฉัน ปูลาดอาสนะ จัดน้ำดื่มถวายพระ เมื่อนางปฏิบัติตามทำให้หายจากโรคเรื้อน

สมมติฐานที่ทำให้เกิดโรคทางใจ

โรคทางใจ มีสมมติฐานเกิดจากกิเลส โดยเฉพาะกิเลสที่เป็นตัวการใหญ่ คือ ความโลภ โกรธ หลง เพราะเมื่อกิเลส ๓ ตัวนี้เกิดขึ้นทำให้ผู้นั้นมีความตริตรึกนึกคิดไปในทางชั่วทั้งสิ้น ภาษาพระเรียกว่า อกุศลวิตก เช่น ความโลภเกิดขึ้น ก็คิดอยากได้เป็นของตน มีความโกรธเกิดขึ้น ก็คิดจองล้างจองผลาญ มีความหลงเกิดขึ้น ก็คิดไปในทางเบียดเบียนผู้อื่น เป็นต้น

คนที่เป็นโรคทางใจ อันเกิดจากกิเลสรุมเร้าจิต เรียกอีกอย่างว่า เป็นโรคภูมิแพ้ทางใจ คนที่เป็นโรคนี้ จะมีปฏิกิริยาต่อสิ่งที่มากระทบประสาทสัมผัสผิดปกติไปจากคนส่วนใหญ่รู้สึกกัน เช่น ตาเห็นของสวยงาม คนทั่วไปคิดว่าเป็นธรรมดา ทว่าคนเป็นโรคนี้ไม่คิดอย่างนั้น กลับเกิดความหวั่นไหวในจิต คิดอยากได้มาครอบครองจนเกินขอบเขต เป็นเหตุให้ทำทุจริตเพื่อให้ได้สิ่งนั้น เป็นต้น

โรคภูมิแพ้ทางกาย แพทย์วินิจฉัยว่า เกิดจากภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่อง โรคภูมิแพ้ทางใจ พระพุทธเจ้าวินิจฉัยว่า เกิดจากภูมิคุ้มกันกิเลสบกพร่อง โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่รักษาได้ คือ โรคภูมิแพ้ทางกาย ก็อาศัยยาตามแพทย์สั่ง หรืออยู่ในที่อากาศดีก็มีโอกาสหายขาด แต่โรคภูมิแพ้ทางใจ ต้องอาศัยธรรมโอสถของพระพุทธองค์ มาประพฤติปฏิบัติขัดเกลาจริตอัธยาศัย ให้กิเลสค่อยๆ เบาบาง จนกระทั่งจางหายจากใจในที่สุด
เครดิต : หนังสือ "พิชิตกรรมร้าย หายป่วย"

ส่งเสริมคุณธรรม พัฒนาชีวิต นึกถึงธรรมะ คิดถึงหนังสือธรรมะ

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/