ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา (พระธรรมเจดีย์-พระอาจารย์มั่น) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=42041 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 09 พ.ค. 2012, 22:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา (พระธรรมเจดีย์-พระอาจารย์มั่น) |
![]() ![]() ![]() ![]() หนังสือ...ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากบทสนทนาธรรม พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) : ถาม พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร : ตอบ ตามที่ได้มีการเผยแพร่และเข้าใจกันอย่างแพร่หลายแต่อย่างใด หากโดยแท้จริงแล้วผู้ประพันธ์หนังสือเล่มนี้คือนักปฏิบัติธรรมหญิง ผู้มีนามว่า “คุณหญิงดำรงธรรมสาร (ใหญ่ วิเศษศิริ)” >>> อ่านเหตุผลได้จากที่นี่ค่ะ http://www.dharma-gateway.com/ubasika/ky-yai/history/ky-yai-hist-02.htm http://www.dharma-gateway.com/ubasika/ky-yai/history/ky-yai-hist-01.htm --------- พระธรรมเจดีย์ (ถาม) : พระอาจารย์มั่น (ตอบ) ก. ถาม อนุสัยกับสังโยชน์ ใครจะละเอียดกว่ากัน ข. ตอบ อนุสัยละเอียดกว่าสังโยชน์ เพราะ สังโยชน์นั้นเวลาที่จะเกิดขึ้น อาศัยอายตนะภายในภายนอกกระทบกันเข้า แล้วเกิดวิญญาณ ๖ ชื่อว่าผัสสะ เมื่อผู้ใดไม่มีสติหรือไม่รู้ความจริง เช่นหูกับเสียงกระทบกันเข้า เกิดความรู้ขึ้น เสียงที่ดีก็ชอบ เกิดความยินดีพอใจ เสียงที่ไม่ดี ก็ไม่ชอบไม่ถูกใจ ที่โลกเรียกกันว่าพื้นเสีย เช่นนี้แหละชื่อว่า สังโยชน์ จึงหยาบกว่าอนุสัย เพราะอนุสัยนั้นย่อมตามนอนในเวทนาทั้ง ๓ เช่น สุขเวทนาเกิดขึ้น ผู้ที่ไม่รู้ความจริง หรือไม่มีสติ ราคานุสัยจึงตามนอน ทุขเวทนาเกิดขึ้น ปฏิฆานุสัยย่อมตามนอน อทุกขมสุขเวทนาเกิดขึ้น อวิชชานุสัยย่อมตามนอน เพราะฉะนั้นจึงละเอียดกว่าสังโยชน์ แลมีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ใน มาลุงโกยวาทสูตรว่า เด็กอ่อนที่นอนหงายอยู่ในผ้าอ้อม เพียงจะรู้จักว่านี่ตานี่รูป ก็ไม่มีในเด็กนั้น เพราะฉะนั้น สังโยชน์จึงไม่มีในเด็กที่นอนอยู่ในผ้าอ้อม แต่ว่าอนุสัยย่อมตามนอนในเด็กนั้นได้ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 09 พ.ค. 2012, 22:38 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา |
ก.ถาม - อนุสัยนั้นมีประจำอยู่เสมอหรือ หรือมีมาเป็นครั้งเป็นคราว ข.ตอบ - มีมาเป็นครั้งเป็นคราว ถ้ามีประจำอยู่เสมอแล้วก็คงจะละไม่ได้ เช่นราคานุสัยก็เพิ่งมาตามนอนในสุขเวทนา หรือปฏิฆานุสัยก็เพิ่งมาตามนอนทุกขเวทนา หรืออวิชชานุสัยก็เพิ่งมาตามนอนในอทุกขมสุขเวทนา ตามนอนได้แต่ผู้ที่ไม่รู้ความจริงหรือไม่มีสติ ถ้าเป็นผู้ที่รู้ความจริงหรือมีสติก็ไม่ตามนอนได้ เรื่องนี้ได้อธิบายไว้ในเวทนาขันธ์แล้ว ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 09 พ.ค. 2012, 22:48 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา |
ก.ถาม - แต่เดิมข้าพเจ้าเข้าใจว่า อนุสัยตามนอน อยู่ในสันดานเสมอทุกเมื่อไป เหมือนอย่างขี้ตะกอนที่นอนอยู่ก้นโอ่งน้ำ ถ้ายังไม่มีใครมาคน ก็ยังไม่ขุ่นขึ้น ถ้ามีใครมาคนก็ขุ่นขึ้นได้ เวลาที่ได้รับอารมณ์ที่ดี เกิดความกำหนัดยินดีพอใจขึ้น หรือได้รับอารมณ์ที่ไม่ดี ก็เกิดปฏิฆะหรือความโกรธขึ้น เข้าใจว่านี่แหละขุ่นขึ้นมา ความเข้าใจเก่าของข้าพเจ้ามิผิดไปหรือ ข.ตอบ - ก็ผิดนะซี เพราะเอานามไปเปรียบกับรูป คือ โอ่งก็เป็นรูปที่ไม่มีวิญญาณ น้ำก็เป็นรูปที่ไม่มีวิญญาณ แลขี้ตะกอนก้นโอ่งก็เป็นรูปไม่มีวิญญาณเหมือนกัน จึงขังกันอยู่ได้ ส่วนจิตเจตสิกของเรา เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปจะขังเอาอะไรไว้ได้ เพราะกิเลสเช่นอนุสัย หรือสังโยชน์ ก็อาศัยจิตเจตสิกเกิดขึ้นชั่วคราวหนึ่ง เมื่อจิตเจตสิกในคราวนั้นดับไปแล้ว อนุสัยหรือสังโยชน์จะตกค้างอยู่กับใคร ลองนึกดูเมื่อเรายังไม่เกิดความรัก ความรักนั้นอยู่ที่ไหน ก็มีขึ้นเมื่อเกิดความรักไม่ใช่หรือ หรือเมื่อความรักนั้นดับไปแล้ว ก็ไม่มีความรักไม่ใช่หรือ และความโกรเมื่อยังไม่เกิดขึ้น ก็ไม่มีเหมือนกัน มีขึ้นเมื่อเวลาที่โกรธ เมื่อความโกรธดับแล้ว ก็ไม่มีเหมือนกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียด เพราะไปติดสัญญาที่จำไว้นานแล้วว่า อนุสัยนอนอยู่เหมือนขี้ตะกอนที่นอนอยู่ก้นโอ่ง ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 09 พ.ค. 2012, 22:57 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา |
ก.ถาม - ก็อนุสัยกับสังโยชน์ไม่มีแล้ว บางคราว ทำไมจึงมีขึ้นอีกได้เล่า ข้าพเจ้าฉงนนัก แล้วยังอาสวะอีกอย่างหนึ่ง ที่ว่าดองสันดานนั้น เป็นอย่างไร ข.ตอบ - ถ้าพูดถึงอนุสัยหรืออาสวะแล้ว เราควรเอาความว่า ความเคยตัวเคยใจ ที่เรียกว่ากิเลส กับวาสนาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าละได้ทั้ง ๒ อย่าง ที่พระอรหันตสาวกละได้แต่กิเลสอย่างเดียว วาสนาละไม่ได้ เราควรจะเอาความว่าอาสวะหรืออนุสัยกิเลสเหล่านี้เป็นความเคยใจ เช่นได้รับอารมณ์ที่ดี เคยเกิดความกำหนัดพอใจ ได้รับอารมณ์ที่ไม่ดี เคยไม่ชอบไม่ถูกใจ เช่นนี้เป็นต้น เหล่านี้แหละควรรู้สึกว่าเป็นเหล่าอนุสัยหรืออาสวะ เพราะความคุ้นเคยของใจ ส่วนวาสนานั้น คือความคุ้นเคยของ กาย วาจาที่ติดต่อมาจาก ความเคยแห่งอนุสัย เช่น คนราคะจริตมีมรรยาทเรียบร้อย หรือเป็นคนโทสะจริมีมรรยาทไม่เรียบร้อย ส่วนราคะแลโทสะนั้นเป็นลักษณะของกิเลส กิริยามรรยาทที่เรียบร้อย แลไม่เรียบร้อยนั้นเป็น ลักษณะของวาสนานี่ก็ควรจะรู้ไว้ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 09 พ.ค. 2012, 23:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา |
ก.ถาม - ถ้าเช่นนั้นเราจะละความคุ้นเคยของใจ ในเวลาที่ได้รับอารมณ์ที่ดีหรือที่ไม่ดีจะควรประพฤติปฏิบัติอย่างไรดี ? ข.ตอบ - วิธีปฏิบัติที่จะละความคุ้นเคยอย่างเก่าคืออนุสัยแลสังโยชน์ ก็ต้องมาฝึกหัดให้คุ้นเคยในศีลแลสมถวิปัสสนาขึ้นใหม่ จะได้ถ่ายถอนความคุ้นเคยเก่า เช่น เหล่าอนุสัยหรือสังโยชน์ให้หมดไป จากสันดาน ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 09 พ.ค. 2012, 23:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา |
ก.ถาม - ส่วนอนุสัยกับสังโยชน์ ข้าพเจ้าเข้าใจดีแล้ว แต่ส่วนอาสวะนั้น คือ กามาสวะ ภาวสวะ อวิชชาสวะ ๓ อย่างนั้นเป็นเครื่องดองสันดาน ถ้าฟังดูตามชื่อก็ไม่น่าจะมีเวลาว่าง ดูเหมือนดองอยู่กับจิตเสมอไป หรือไม่ได้ดองอยู่เสมอ แต่ส่วนตัวข้าพเจ้าเข้าใจไว้แต่เดิมสำคัญว่าดองอยู่เสมอ ข้อนี้เป็นอย่างไร ขอท่านจงอธิบายให้ข้าพเจ้าเข้าใจ ? ข.ตอบ - ไม่รู้ว่าเอาอะไรมาซอกแซกถาม ได้ตอบไว้พร้อมกับ อนุสัยแลสังโยชน์แล้ว จะให้ตอบอีกก็ต้องอธิบายกันใหญ่ คำที่ว่าอาสวะเป็นเครื่องดองนั้น ก็ต้องหมายถึงรูปอีกนั้นแหละ เช่นกับเขาดองผักก็ต้องมีภาชนะ เช่นผักอย่างหนึ่ง หรือชามอย่างหนึ่ง แลน้ำอย่างหนึ่ง รวมกัน ๓ อย่าง สำหรับแช่กัน หรือของที่เขาทำเป็นแช่อิ่ม ก็ต้องมีขวดโหลหรือน้ำเชื่อมสำหรับแช่ของ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นรูปจึงแช่แลดองกันได้ ส่วนอาสวะนั้นอาศัยนามธรรมเกิดขึ้น นามธรรมก็เป็นสิ่งที่ไม่มีตัว อาสวะก็เป็นสิ่งที่ไม่มีตัว จะแช่แลดองกันอยู่อย่างไรได้ นั่นเป็นพระอุปมาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบัญญัติขึ้นไว้ว่า อาสวะเครื่องดองสันดาน คือกิเลสมีประเภท ๓ อย่าง เราก็เลยเข้าใจผิด ถือมั่นเป็นอภินิเวส เห็นเป็นแช่แลดอง เป็นของจริง ๆ จัง ๆ ไปได้ ความจริงคือไม่มีอะไร นามแลรูปเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป อะไรจะมาแช่แลดองกันอยู่ได้ เพราะฉะนั้นขอให้เปลี่ยนความเห็นเสียใหม่ ที่ว่าเป็นนั่นเป็นนี่เป็นจริงเป็นจังเสียให้ได้ ให้หมดทุกสิ่งที่ได้เข้าใจไว้แต่เก่า ๆ แล้วก็ตั้งใจศึกษาเสียใหม่ ให้ตรงกับความจริงซึ่งเป็นสัมมาปฏิบัติ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 09 พ.ค. 2012, 23:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา |
ก.ถาม - จะทำความเห็นอย่างไรจึงจะตรงกับความจริง ? - แล้วจะมาต่อให้ จร้าาาาาาาา - ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | วิริยะ [ 10 พ.ค. 2012, 08:00 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา |
พิมพ์ผิดตั้งหลายที่อ่ะ .. ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 10 พ.ค. 2012, 20:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา |
วิริยะ เขียน: พิมพ์ผิดตั้งหลายที่อ่ะ .. ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | วิริยะ [ 10 พ.ค. 2012, 21:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา (พระธรรมเจดีย์-พระอาจารย์มั่น) |
สู้ สู้ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 14 พ.ค. 2012, 12:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา |
eragon_joe เขียน: ก.ถาม - จะทำความเห็นอย่างไรจึงจะตรงกับความจริง ? - แล้วจะมาต่อให้ จร้าาาาาาาา - ![]() ![]() ![]() ข.ตอบ - ทำความเห็นว่าไม่มีอะไร มีแต่สมมติแลบัญญัติ ถ้าถอนสมมติแลบัญญัติออกเสียแล้วก็ไม่มีอะไร หาคำพูดไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ ธาตุ ๖ นามรูปเหล่านี้ก็เพื่อจะให้รู้เรื่องกันเท่านั้น ส่วนขันธ์แลอายตนะ ธาตุ นามรูปนี้ ผู้ปฏิบัติควรกำหนดรู้ว่าเป็นทุกข์ ส่วนอนุสัยหรือสังโยชน์ เสวะ โยคะ โอฆะ นิวรณ์ อุปกิเลสเหล่านี้เป็นสมุทัย อาศัยขันธ์ หรืออายตนะ หรือนามรูปเกิดขึ้น นั้นเป็นสมุทัยเป็นส่วนหนึ่งที่ควรละ มรรคมีองค์ ๘ ย่นเข้าก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นส่วนที่ควรเจริญ ความสิ้นไปแห่งกิเลส คืออนุสัยหรือสังโยชน์ ชื่อว่านิโรธ เป็นส่วนควรทำให้แจ้ง เหล่านี้แหละเป็นความจริง ความรู้ความเห็นใน ๔ อริยสัจนี้แหละคือเห็นความจริงละ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 14 พ.ค. 2012, 12:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา (พระธรรมเจดีย์-พระอาจารย์มั่น) |
ก.ถาม – สาธุ ข้าพเจ้าเข้าใจแจ่มแจ้งทีเดียว แต่เมื่ออาสวะไม่ได้ ดองอยู่เสมอ แล้วทำไมท่านจึงกล่าวว่าเวลาที่พระอรหันต์สำเร็จขึ้นใหม่ ๆ โดยมากตามที่ได้ฟังมาในแบบท่านรู้ว่าจิตของท่านพ้นแล้วจากกามาสวะ ภาวสวะ อวิชชาสวะ ข้าพเจ้าจึงเข้าใจว่าผู้ที่ยังไม่พ้นก็ต้องมีอาสวะประจำ อยู่กับจิตเป็นนิตย์ไป ไม่มีเวลาว่าง กว่าจะพ้นได้ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ ? ข.ตอบ – ถ้าขืนทำความเห็นอยู่อย่างนี้ ก็ไม่มีเวลาพ้นจริงด้วย เมื่ออาสวะอยู่ประจำพื้นเพของจิตแล้ว ก็ใครจะละได้เล่า พระอรหันต์ก็คงไม่มีในโลกได้เหมือนกัน นี่ความจริงมันไม่ใช่เช่นนี้ จิตนั้นส่วนหนึ่งเป็นประเภททุกขสัจ อาสวะส่วนหนึ่งเป็นประเภทสมุทัย อาศัยจิตเกิดขึ้นชั่วคราว เมื่อจิตคราวนั้นดับไปแล้ว อาสวะที่ประกอบกับจิต ในคราวนั้นก็ดับไปด้วย อาสวะที่เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ นั้น เพราะอาศัยการเพ่งโทษ ถ้าเราจักตั้งใจไม่เพ่งโทษใคร ๆ อาสวะก็จะเกิดได้ด้วยยากเหมือนกัน เมื่อบุคคลตามมองดู ซึ่งโทษของผู้อื่น เป็นบุคคลมีความหมายจะยกโทษเป็นนิตย์ อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญขึ้นแก่บุคคลนั้น บุคคลนั้นเป็นผู้ห่างไกลจากธรรม ที่สิ้นอาสวะ ถ้าฟังตามคาถาพระพุทธภาษิตก็จะทำให้เราชัดได้ว่า อาสวะนั้นมีมาในเวลาที่เพ่งโทษ เรายังไม่เพ่งโทษ อาสาวะก็ยังไม่มีมา หรือเมื่อจิตที่ประกอบด้วยอาสวะคราวนั้นดับไปแล้ว อาสวะก็ดับไปด้วย ก็เป็นอันไม่มีเหมือนกัน การที่เห็นว่าอาสวะมีอยู่เสมอจึงเป็นความเห็นผิด ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | วิริยะ [ 14 พ.ค. 2012, 19:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา (พระธรรมเจดีย์-พระอาจารย์มั่น) |
eragon_joe เขียน: อาสวะที่เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ นั้น เพราะอาศัยการเพ่งโทษ ถ้าเราจักตั้งใจไม่เพ่งโทษใคร ๆ อาสวะก็จะเกิดได้ด้วยยากเหมือนกัน เมื่อบุคคลตามมองดู ซึ่งโทษของผู้อื่น เป็นบุคคลมีความหมายจะยกโทษเป็นนิตย์ อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญขึ้นแก่บุคคลนั้น บุคคลนั้นเป็นผู้ห่างไกลจากธรรมที่สิ้นอาสวะ ถ้าฟังตามคาถาพระพุทธภาษิตก็จะทำให้เราชัดได้ว่า อาสวะนั้นมีมาในเวลาที่เพ่งโทษ เรายังไม่เพ่งโทษ อาสาวะก็ยังไม่มีมา หรือเมื่อจิตที่ประกอบด้วยอาสวะคราวนั้นดับไปแล้ว อาสวะก็ดับไปด้วย ก็เป็นอันไม่มีเหมือนกัน การที่เห็นว่าอาสวะมีอยู่เสมอจึงเป็นความเห็นผิด ![]() ![]() ![]() ขอโมทนาด้วยนะ ขอรับ สาธุ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 14 พ.ค. 2012, 23:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา (พระธรรมเจดีย์-พระอาจารย์มั่น) |
![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | วรานนท์ [ 15 พ.ค. 2012, 13:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา (พระธรรมเจดีย์-พระอาจารย์มั่น) |
![]() ![]() ![]() อนุโมทนาสาธุด้วยครับคุณeragon_joe ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |