ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ก.อัว - กลัว กลัวอย่างธรรม 1 http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=41183 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 17 ก.พ. 2012, 16:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | ก.อัว - กลัว กลัวอย่างธรรม 1 |
![]() ![]() “จิตเมื่อมีธรรมเป็นเครื่องยึด จะไม่เสียหลัก และจะตั้งตัวได้ ในขณะทั้งที่กลัว ๆ นั่นแล จะกลายเป็นจิตที่อาจหาญขึ้นมา ในขณะนั้นอย่างอัศจรรย์” คราวท่านกลับจากอุบลฯ ทีแรกท่านมาจำพรรษาที่บ้านหนองลาด อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร มีพระเณรติดตามมาศึกษาปฏิบัติด้วยเป็นจำวนมากมาย ประชาชนหญิงชายพากันตื่นเต้นมาก ประหนึ่งท่านผู้มีบุญมาเกิด แต่มิได้ตื่นเต้นแบบมลคลตื่นข่าว หากแต่ตื่นเต้นเพื่อละชั่วทำดี ละการนับถือผีไหว้เจ้า กราบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์แทนเท่านั้น พอออกพรรษาแล้วท่านออกเที่ยวธุดงค์ไปเรื่อย ๆ มาทางจังหวัดอุดรธานี ไปอำเภอหนองบัวลำภูบ้าง อำเภอผือ และจำพรรษาที่บ้านค้อบ้าง ไปอำเภอท่าบ่อจำพรรษาที่นั่นในเขตจังหวัดหนองคายบ้าง พักอยู่สองจังหวัดนี้นานพอควร สถานที่ที่ท่านพักบำเพ็ญโดยมากมีแต่ป่าแต่เขาดังกล่าวแล้ว หมู่บ้านก็มีอยู่ห่าง ๆ กัน ในสมัยโน้นไม่แออัดด้วยผู้คนและบ้านเรือนเหมือนสมัยนี้ การอบรมสั่งสอนก็ง่าย ป่าก็เป็นป่าจริง ๆ เต็มไปด้วยหมู่ไม้ใหญ่ ๆ สูง ไม่มีใครทำลาย สัตว์ป่าก็ชุกชุม พอตกกลางคืนได้ยินแต่เสียงสัตว์ชนิดต่างๆ ร้องไปตามภาของเขา ฟังแล้วทำให้เพลิดเพลินไปตามด้วยความเมตตาและสนิทสนม เพราะเสียงสัตว์ไม่ค่อยเป็นข้าศึกต่อการบำเพ็ญสมณธรรม ผิดกับเสียงมนุษย์อยู่มาก ท่านว่า ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเราไม่เข้าใจความหมายของเสียงก็เป็นได้ ส่วนเสียงมนุษย์ไม่ว่าจะพูดสนทนากันธรรมดา ไม่ว่าจะขับลำทำเพลงกัน ไม่ว่าจะทะเลาะวิวาทกัน ไม่ว่าจะแสดงความสนุกรื่นเริงกัน เพียงแต่เริ่มแสดงออกก็เริ่มเข้าใจความหมายไปตามทุก ๆ คำ และทุก ๆ ระยะ จึงทำให้ไม่ค่อยสะดวกนักในเวลามีเสียงคนมากระทบขณะทำสมาธิภาวนา ยิ่งเป็นเสียง อิตถี สทโท ด้วยแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความทิ่มแทงมากขึ้น ถ้าสมาธิไม่ดีพอ มีหวังล้มละลายได้อย่างง่ายดาย แต่ต้องขออภัยจากท่านข้าวของเสียงนี้มาก ๆ แต่เขียนไปตามความไม่เป็นท่าของนักภาวนาต่างหาก เพื่อจะได้สติฮึดสู้บ้าง พอมีทางเอาตัวรอดได้ ไปหมอบยอมแพ้ราบอยู่ท่าเดียว ที่ท่านชอบพักอยู่ในป่าในเขาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทำนองนี้อยู่บ้าง เพื่อหลบภัยและเพื่อบำเพ็ญคุณงามความดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปไม่ล่าถอยจนถึงที่สุด อันเป็นจุดหมายปลายทางของผู้ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อธรรมขั้นนั้น ท่านพระอาจารย์มั่นท่านชอบอยู่ในป่าในเขาตลอดมาจนถึงวันมรณภาพ จึงได้ธรรมอันเป็นขวัญใจมาฝากพวกเราอย่างภูมิใจ ท่านเล่าว่า เวลาท่านกำลังบำเพ็ญ ถ้าเป็นโรคก็เป็นประเภทชีวิตไม่ยังเหลือค้างโลก ให้ใคร ๆ ได้เห็นต่อไป เพราะมีแต่การฝึกทรมานทั้งกายทั้งใจตลอดไป ไม่มีวันจะได้ลืมตาอ้าปากพูดอย่างสนุกรื่นเริงเหมือนท่านผู้อื่นบ้างเลย เพราะกิเลสกับใจมันไวต่อการติดพันกันจนมองไม่ทันเผลอตัวบ้างไม่ได้เลย เป็นได้เรื่องทันที แต่พอมันติดพันใจได้แล้ว แก้หรือถอนไม่ยอมออกอย่างง่าย ๆ มีแต่จะพันให้แน่นเข้าทุกที อันนี้แลที่จะทำให้เผลอตัวไม่ได้ ต้องจ้องต้องมองต้องคอยจองจำทำโทษมันอยู่เสมอ ไม่ยอมให้มีกำลังขึ้นมาได้ เดี๋ยวมันมัดเราเข้าอีกมีหวังจอดจมแน่ ทำถึงขนาดนั้นจึงพอมีความสุขและลืมตาได้บ้างเท่านั้น พอมีกำลังใจบ้างและได้รับความสะดวกกายสบายใจก็ได้วกมาสั่งสอนหมู่เพื่อน ต่อจากนั้นหมู่เพื่อนทั้งพระทั้งเณรทั้งฆราวาสไม่ทราบมาจากไหน ทางนั้นก็มา ทางนี้ก็มา มาไม่หยุด และมาทุกทิศทุกทาง บางครั้งจนไม่มีที่พักเพียงพอกัน เพราะมามากต่อมาก ทั้งน่าสงสาร ทั้งน่าเห็นใจ ท่านว่าบางครั้งก็ทำให้วิตกกับผู้อื่นเกี่ยวกับความปลอดภัย ซึ่งมีผู้หญิง และชีนุ่งขาวไปเยี่ยม เช่น คราวพักอยู่ในถ้ำบ้านนาหมี นายูง อำเภอบ้านเผือ จังหวัดอุดรธานี สมัยนั้นคนมีน้อยและสัตว์เสือก็ชุกชุมมาก ถ้ำและบริเวณที่ท่านพักอยู่ เสือโคร่งใหญ่ ซึ่งมีอยู่หลายตัวในแถวนั้นเคยเข้ามาบริเวณนั้นเสมอ ไม่เป็นที่ไว้ใจในชีวิตของผู้ไปเยี่ยมท่านและค้างคืนที่นั่น เวลาเขาไปเยี่ยม ท่านต้องสั่งให้ชาวบ้านหาไม้มาทำห้างสูงๆ จนพ้นจากปากเสือที่จะกระโดดขึ้นไปถึงที่ คนที่หลับนอนอยู่บนห้างนั้น เวลาค่ำคืนท่านห้ามไม่ให้ลงมาพื้นดินกลัวเสือจะโดดคาบเอาไปกิน แม้ปวดหนักปวดเบาก็ให้เตรียมภาชนะขั้นไปไว้ข้างบนด้วย เพื่อสะดวกแก่การขับถ่ายในเวลาค่ำคืน เพราะแถวนั้นเสือชุมมากและดุร้ายด้วย ผู้ที่ไปเยี่ยม ท่านไม่ให้พักอยู่หลายวัน ต้องรีบพากันกลับ เสือแถบนั้นไม่ค่อยกลัวคนนัก ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยแล้วมันยิ่งไม่กลัวเอาเลย หากพอทำอันตรายได้มันอาจทำ แม้ชาวบ้านก็พูดเหมือนกันว่า เสือพวกนี้ไม่ค่อยจะกลัวคนนัก บ้างครั้งเวลากลางคืนท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ โดยจุดเทียนไขใส่โคมไฟแขวนไว้ที่ทางจงกรม ยังเห็นเสือโคร่งใหญ่เดินตามหลังฝูงควาย ที่พากันเดินผ่านมาที่พักท่านอย่างองอาจ ไม่กลัวท่านซึ่งกำลังเดินจงกรมอยู่บ้างเลย ฝูงควายที่ถูกเสือรบกวนมาก ต้องพากันกลับเข้าบ้าน เสือยังกล้าเดินตามหลังฝูงควายมาได้ต่อหน้าต่อตาพระซึ่งก็เป็นคนผู้หนึ่งที่นั่น พระที่ไปศึกษาอบรมกับท่านต้องเป็นพระที่เตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว ทั้งความสละเป็นสละตายต่อการประกอบความเพียรในสถานที่ต่างๆ ซึ่งไม่เป็นที่แน่ใจและอาจมีภัยรอบด้าน ทั้งสละทิฎฐิมานะ ความถือตัวว่ามีราคาค่างวด ซึ่งอวดรู้อวดฉลาดอยู่ภายใน และสละทิฏฐิมานะต่อหมู่ต่อคณะ ประหนึ่งเป็นอวัยวะอันเดียวกัน จิตใจถึงจะมีความสงบสุข การประกอบความเพียรก็มี เกิดสมาธิได้เร็ว ไม่มีนิวรณ์เข้ามาขัดขวางถ่วงใจ ในที่ถูกบังคับให้อยู่ในวงจำกัด เช่น สถานที่กลัว ๆ อาหารมีน้อย ฝืดเคืองด้วยปัจจัย สติกำกับใจไม่ลดละ คิดอ่านเรื่องอะไรมีสติคอยสะกิดบังคับอยู่เสมอ ย่อมเข้าสู่ความสงบได้เร็วกว่าเท่าที่ควรจะเป็น เพราะข้างนอกมีภัย ข้างในก็มีสติคอยบังคับขู่เข็ญ จิตซึ่งเปรียบเหมือนนักโทษก็ย่อมตัวไม่คึกคะนอง นอกจากนั้น ยังมีอาจารย์คอยใส่ปัญหาเวลาจิตคิดออกนอกลู่นอกทางอีกด้วย จิตซึ่งถูกบังคับด้วยเครื่องทรมานอยู่ตลอดเวลาทั้งข้างนอกข้างใน ย่อมกลายเป็นจิตที่ดีขึ้นได้อย่างไม่คาดฝัน คือ กลางคืนซึ่งเป็นเวลากลัว ๆ เจ้าของก็บังกับให้ออกเดินจงกรมแข่งกับความกลัว ทางไหนจะแพ้จะชนะ ถ้าความกลัวแพ้ใจก็เกิดความอาจหาญขึ้นมาและรวมสงบลงได้ ถ้าใจแพ้สิ่งที่แสดงขึ้นมาในเวลานั้นก็คือความกลัวอย่างหนักนั่นเอง ฤทธิ์ของความกลัวคือ ทั้งหนาวทั้งร้อน ทั้งปวดหนักปวดเบา ทั้งเหมือนจะเป็นไข้ หายใจไม่สะดวกแบบคนจะตายเราดี ๆ นี่เอง เครื่องส่งเสริมความกลัวคือเสียงเสือกระหึ่ม ๆ อยู่ตามชายเข้าบ้าง ไหล่เขาบ้าง หลังเขาบ้าง พื้นราบบ้าง จะกระหึ่มอยู่ในทิศใดก็ตาม ใจจะไม่คำนึงทิศทางเลย แต่จะคำนึงอย่างเดียวว่าเสือจะตรงมากินพระองค์เดียว ที่กำลังเดินจงกรมด้วยความกลัวตัวสั่นไม่เป็นท่าอยู่นี้เท่านั้น แผ่นดินกว้างใหญ่ขนาดไหน ไม่ได้นึกว่าเสือเป็นสัตว์มีเท้าจะเที่ยวไปที่อื่น ๆ แต่คิดอย่างเดียวว่าเสือจะตรงมาที่ที่มีบริเวณแคบ ๆ เล็ก ๆ นิดเดียว ซึ่งพระขี้ขลาดกำลัดเดินวุ่นวายอยู่ด้วยความกลัวนี้แห่งเดียว การภาวนาไม่ทราบว่าไปถึงไหนมิได้คิดคำนึงเพราะลืมไปหมด ที่จดจ่อที่สุดก็คือ คำบริกรรมโดยไม่รู้สึกตัว ว่าได้บริกรรมว่า เสือจะมาที่นี่ เสือจะมาที่นี่ อย่างเดียวเท่านั้น จิตก็ยิ่งกำเริบด้วยความกลัวเพราะการส่งเสริมด้วยคำบริกรรมแบบโลกแตก ธรรมก็เตรียมจะแตกหากบังเอิญเสือเกิดหลงป่าเดินเปะปะมาที่นั้นจริงๆ ลักษณะนี้อย่างน้อยก็ยืนตัวแข็งไม่มีสติ มากกว่านั้นเป็นอะไรไปเลยไม่มีทางแก้ไข นี้คือการตั้งใจไว้ผิดธรรม ผลจะแสดงความเสียหายขึ้นมาตามขนาดที่ผู้นั้นพาให้เป็นไป ทางที่ถูกที่ท่านสอนให้ตั้งหลักใจไว้กับธรรมจะเป็นมรณานุสสติ หรือธรรมบทใดบทหนึ่งในขณะนั้น ไม่ให้ส่งจิตปรุงออกไปนำเอา อารมณ์ที่เป็นภัยเข้ามาหลอกตัวเอง เป็นกับตายก็ตั้งจิตไว้กับธรรม ที่เคยบริกรรมอยู่เท่านั้น จิตเมื่อมีธรรมเป็นเครื่องยึดจะไม่เสียหลัก และจะตั้งตัวได้ในขณะที่ทั้งกลัว ๆ นั้นแล จะกลายเป็นจิตที่อาจหาญขึ้นมา ในขณะนั้นอย่างอัศจรรย์ ที่บอกไม่ถูก ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | eragon_joe [ 17 ก.พ. 2012, 16:44 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ก.อัว - กลัว กลัวอย่างธรรม 1 |
จากหนังสือ ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต โดย พระธรรมวิทุทธิมงคล |
เจ้าของ: | น้องพลอย [ 01 มี.ค. 2012, 16:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ก.อัว - กลัว กลัวอย่างธรรม 1 |
![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |