ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

โชคลาภอันประเสริฐ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=40779
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  สาวิกาน้อย [ 15 ม.ค. 2012, 16:59 ]
หัวข้อกระทู้:  โชคลาภอันประเสริฐ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)

รูปภาพ

โชคลาภอันประเสริฐ

พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีโชค ดังมีคำถวายพระนามว่า “ภควา” ที่เรียกกันว่า “พระผู้มีพระภาคเจ้า” คนจึงมักขอโชคลาภจากพระองค์ ก็เช่นไปขอจากพระพุทธปฏิมา ที่นับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ หรือขอจากสาวกของพระองค์

คนที่เคยไปแหลมมลายู เล่าว่า ค่ำวันหนึ่งได้ไปที่วัดแห่งหนึ่ง มีพระพุทธปฏิมาอยู่มาก ได้เห็นคนไปส่องไฟตามพระพุทธรูปกันหลายคน ถามเจ้าอาวาสวัดนั้น ท่านตอบว่า เขาพากันส่องหาร่องรอยที่จะเป็นลายเลขบอกลาภกันอย่างนี้เสมอ

เขาไม่ประสงค์ธรรมคำสั่งสอน คิดดูแล้วก็น่าสลดใจ ถ้าความเข้าใจในศาสนาเป็นเช่นนั้นโดยมาก ก็จะทำให้ความนับถือปฏิบัติแปรรูปไป อย่างขาวเป็นดำ เพราะโชคในพระพุทธศาสนานั้น ก็คือ “ธรรม” นี้เอง

พระพุทธเจ้าทรงมีโชค ก็คือทรงมีธรรมในองค์บริบูรณ์บริสุทธิ์ นับตั้งแต่ได้ทรงบำเพ็ญความดีนานัปประการอันเรียกว่า พระบารมี มาแล้วเต็มเปี่ยม ได้ทรงประสบธรรมที่เป็นบรมสัจจะ (จริงอย่างยิ่ง) ทรงสิ้นกิเลสทั้งหมด บรรลุถึงความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง

เรียกว่าได้ทรงประสบอุดมโชคแล้ว ได้ทรงแจกความโชคดีคือ “ธรรม” นี้แก่โลก แต่คนโดยมากไม่เห็นธรรมว่าเป็นโชคลาภ มิได้ชอบใจธรรม หากไปชอบใจวัตถุต่างๆ เช่นที่เรียกว่า วัตถุกาม (สิ่งที่น่าใคร่พอใจ)

ทั้งนี้ ท่านว่าเพราะจิตใจของคนเราเลี้ยงสัตว์ต่างๆ ไว้ถึง ๖ ชนิด คือ งู จระเข้ นก ไก่ สุนัขจิ้งจก วานร เหล่านี้วิ่งพล่านไปหาที่อาศัยของมัน เทียบได้กับความวุ่นวายของคนทางอายตนะทั้ง ๖ ดังนี้

งู วิ่งไปหาจอมปลวก เทียบได้กับ ตาสอดส่ายหารูป
จระเข้ วิ่งไปหาน้ำ เทียบกับ หูสอดส่ายหาเสียง
นก บินโผไปสู่อากาศ เทียบกับ จมูกสูดหากลิ่น
ไก่ บินไปเข้าบ้าน เทียบกับ ลิ้นเลือกหารส
สุนัขจิ้งจอก วิ่งไปป่าช้า เทียบกับ การกระเสือกกระสนหาโผฏฐัพพะ สิ่งที่สัมผัสต้อง
วานร วิ่งขึ้นต้นไม้ เทียบกับ ใจซัดส่ายหาเรื่องคิดต่างๆ

จิตใจของคนจึงเป็นสวนสัตว์ที่ใหญ่โต ต้องเฝ้าแต่หาที่อยู่อาศัย หาอาหารมาเลี้ยงสัตว์เหล่านี้ไม่เว้นว่าง และสิ่งที่ต้องการที่สุดก็คืออาหารสัตว์ทั้งปวงนั้นเอง

สิ่งที่เข้าใจว่าโชคลาภ หรือแม้จะเรียก ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขอะไร ก็เป็นแค่อาหารสัตว์เท่านั้น จึงไม่เห็นค่าแห่งธรรมที่แท้จริง คือธรรมในพระพุทธศาสนา ดังที่มีแสดงว่า ในพระธรรมวินัยมีรัตนะมากมาย เช่น

รัตนะ คือ สติปัฏฐานสี่
รัตนะ คือ โพชฌงค์เจ็ด
รัตนะ คือ มรรคมีองค์แปด เป็นต้น


แต่จะทำอย่างไรได้ เหมือนวานรได้แก้ว ไก่ได้พลอย ไฉนจะเห็นค่าของแก้วของพลอย เช่นไก่ก็ต้องว่าสู้ข้าวเปลือกเม็ดหนึ่งไม่ได้

สัตว์ในใจคนเหล่านี้เป็นอุปมาธรรม หมายถึงกิเลสในใจนี้เอง เมื่อจิตใจยังหนาอยู่ด้วยความโลภ โกรธ หลง ก็ย่อมจะวุ่นวายหาอาหาร กับทั้งที่อยู่อาศัยให้แก่กิเลสเหล่านี้ โชคลาภก็คือการได้อาหารกิเลสมาปรนปรือกิเลสให้มากๆ นั่นเอง

ส่วนผู้ที่ได้สดับคำสอนของพระพุทธเจ้า และปฏิบัติขัดเกลาจิตใจตนเองอยู่ ย่อมจะกลับเห็นว่า ธรรมเป็นรัตนะที่เลิศล้ำ พระพุทธศาสนาเป็นบ่อรัตนะมหาศาล การได้พบธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นโชคลาภอันประเสริฐ และถ้ายังเลี้ยงสัตว์ต่างๆ ไว้เต็มจิตใจก็ยากที่จะแลเห็น แม้จะอยู่ใกล้ที่สุด

: ส่องโลกส่องธรรม
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก :b8:


:b8: นำมาจากบอร์ดเก่า โพสต์โดย คุณ I am สาธุนะคะ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=9791

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/