ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
การตื่นขึ้นของศรัทธาเนื่องในชาตกาล ๑๐๐ ปีของพันธ์ อินทผิว http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=38675 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 20 มิ.ย. 2011, 17:09 ] |
หัวข้อกระทู้: | การตื่นขึ้นของศรัทธาเนื่องในชาตกาล ๑๐๐ ปีของพันธ์ อินทผิว |
การตื่นขึ้นของศรัทธา เนื่องในชาตกาล ๑๐๐ ปีของพันธ์ อินทผิว อาจารย์โกวิท เอนกชัย (ท่านเขมานันทะ) ![]() หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (พันธ์ อินทผิว) ขอนอบน้อมแด่สาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย สำหรับคนขยันมีวิริยะภาพนั้น วันทุกวันเสมอกันในกิจภาวนา มันพิเศษตรงที่ว่าบุคคลใดถือกำเนิดมาแล้วก่อเกิดประโยชน์สุขสันติสุขแก่มวลมนุษย์ ครั้งท่านจากไปโลกได้อะไรสูญเสียอะไร วันเช่นนั้นถือว่าเป็นวันดีเพราะเป็นวันแห่งการเตือนสติและเพิ่มกำลังใจในการเจริญภาวนา อีกทั้งผู้ภาวนานั้น ถึงตาจะบอด หูจะหนวก ขาจะเสีย ซึ่งถือว่าเป็นลักษณะอาภัพ แต่สภาพเช่นนี้หาได้เป็นอุปสรรคของการภาวนาแต่อย่างใด ถึงหูหนวก ตาบอด เป็นใบ้ แต่ย่อมไม่อาจกางกั้นไม่ให้รู้สึกตัวได้ ดังที่พระศาสดาสัมมาสัมพุทธะทรงตรัสว่า “เราสอนธรรมแก่ผู้ที่รู้สึกตัวได้” นับว่าเป็นวาสนาสำหรับชาวเราอดีตสยามประเทศที่เกิดเป็นไทและพบพระพุทธศาสนา ในดินแดนที่ร่องรอยแห่งความรู้สึกตัวถูกระบุถึงแม้ในชีวิตประจำวัน คือ วลี “รู้สึกตัว” (สวสํเวทนา) และมันได้ถูกพิสูจน์ความถูกต้องผ่านวาทะของพันธ์ อินทผิว ในฐานะศิษย์ร่วมสำนัก ผมจะขอกล่าวธรรมิกถาโดยตั้งเป็นคำถามความในใจต่อศิษยานุศิษย์ กระทั่งผู้ร่วมเป็นสักขีพยานในวาระ ๑๐๐ ปีชาตกาลของ พระพันธ์ อินทผิว หรือที่ใครๆ รู้จักท่านในนาม หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ดังนี้ว่า เราเริ่มภาวนาแบบเล่นๆ ที่พระพันธ์ อินทผิว สอนไว้ เป็นแล้วหรือยัง ท่านสอนวิปัสสนาแบบเคลื่อนไหว ยกมือเป็นจังหวะและดูความคิด จับความรู้สึกตัวสดๆ การเปลี่ยนแปลงอันเป็นเพียงอาการไหวตัวของวัตถุภายในอย่างแนบแน่น การสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่แผ่วเบาอันนี้มีความสำคัญใหญ่หลวง มันคือการเปลี่ยนแปลงโลก ทั้งของปัจเจกและโลกโดยรวม เมื่อการไหวตัวของคลื่นใต้น้ำสมทบกับคลื่นที่ผิวน้ำเป็นเอกภาพ สังสารจักรก็ถูกลบลางเลือน เราอยู่ในโลกของความมีความเป็น จึงไม่อาจเข้าใจโลกแห่งความไม่มีไม่เป็น และเพราะเราอยู่ในโลกของวัตถุที่หนาทึบ เราจึงเข้าใจทะลุปรุโปร่งในโลกของความเบาบางไม่ได้ โลกของความมีบังเกิดแล้วก็บดบังโลกของความไม่มีสิ้น แทบจะกล่าวได้ว่า ในการปฏิบัติกิจภาวนานั้น เราไม่ต้องทำอะไรเลยเพียงอนุญาตให้กระแสคลื่นความคิดไหลไป เมื่อมันสงบหรือปั่นป่วนด้วยคลื่นอารมณ์ก็ให้เป็นเรื่องของมัน เราไม่มีภาระอะไร ประสบการณ์ของความปั่นป่วนรวนเรนั้นเองจะบอกเล่าสภาพทุกข์ยากของชีวิตอย่าง ตรงไปตรงมา แล้วเราก็จะเจริญขึ้นในอริยสัจจ์ธรรม ไม่เป็นไปโดยประการอื่น เราจะเห็นมันต่อเมื่อเราได้ฐานเป็นพลังแห่งความสดใหม่ คือความรู้สึกตัวเบาบางแต่ว่าชัดเจนพอให้รู้ได้ของชีวิต มีอะไรบางอย่างในจิตใจของมนุษย์เรา ที่เหมือนนกมีปีกไว้บินและร่อนอย่างอิสระ ทว่าปีกคู่นั้นถูกจำกัดขอบเขตจนความสามารถในการบินหมดเรี่ยวแรง ความรู้สึกตัวที่แผ่ไปในอนันต์คือปีกแห่งอิสรภาพไม่รู้สิ้นสุด การเคลื่อนไหวทางปัญญานั้นอ่อนไหวว่องไวยิ่ง นับวันมันทำความเข้าใจอะไรได้อย่างรวดเร็วจึงถูกเรียกชื่อว่าเป็นปรีชาญาณ หรือญาณของปัญญา โดยปราศจากความคิดกางกั้น เราจะถวายกิจภาวนาเป็นเครื่องสักการะด้วยใจจริงไม่ใช่การกระทำตามทาง พิธีกรรมเพื่อให้ดูเป็นงานเอิกเกริก เราต้องปลุกใจให้ตื่นตระหนัก ผ่านการโพลงตัวอย่างระมัดระวังที่จะไม่ยึดถือผลเป็นความสงบนิ่งอย่างนักพรต อุทกะและอาฬาระ ผู้เรืองปัญญาทว่าขาดความเฉลียวใจ (ขาดการเอะใจ) หัวใจของนักภาวนาต้องไม่ดายนิ่งอยู่กับที่ มันเป็นเช่นนั้นมาหลายเวลาเกินไป ก้าวต่อไปข้างหน้าหรือถอยหลังทำให้เรารู้จักตัวเองได้ดีกว่าสงบนิ่ง อันเราไม่เขยื้อนศรัทธาในภาคภาวนา เราอย่ามัวเดินจงกรมอย่างเลื่อนลอยหรือเอาเป็นเอาตาย แต่เราได้ก้าวข้ามพ้นการเดินและกิริยาทั้งหมดของชีวิตอย่างผ่อนคลาย จุดหมายปลายทางไม่ใช่ถึงได้โดยความอยากของเราหรือของใครๆ แต่เราต้องการความรู้แจ้งประจักษ์โดยไม่เกี่ยวข้องกับพระนิพพาน แต่ปรารถนาพระโพธิญาณเพื่อช่วยค้ำจุนโลกตามทางปรารถนาอันแรงกล้าของพันธ์ อินทผิว แรงดลใจของพระพันธ์ อินทผิว ภายหลังแต่บวชแล้วปรากฏต่อศิษย์ทั้งพระและคฤหัสถ์อย่างต่อเนื่อง กล่าวได้ว่าเป็นพลังตามปกป้องศรัทธาต่อกิจภาวนาอยู่อย่างเงียบๆ เนื่องแต่สภาพรู้สึกตัวเป็นสิ่งเบาบางราวกับซ่อนตัว ครั้นเวลาได้มาถึง จึงเปิดเผยธรรมชาติของความเบาบางนั้นให้ประจักษ์ในทันใด ดั่งนักโบราณคดีหลงค้นพลิกแผ่นดินเพื่อหาแผ่นดินที่คิดว่าหายไป หลายครั้งที่ผมเห็นอาการเสมือนว่าร้อนรนในการเร่งเดินทางไปให้ทันการติดอารมณ์ของศิษย์ ความกระวนกระวายต่อผลได้ของศิษย์ผู้เพียรภาวนาโดยไม่เยื่อใยต่อสุขภาพของตัวเอง รวมทั้งการตามเจือจุนความเป็นอยู่และคำแนะนำเคล็ดการภาวนาเฉพาะราย ดูเหมือนว่างานปลุกดวงจิตผู้คนให้ตื่นของพันธ์ อินทผิว จะเป็นเกมส์การละเล่นสำหรับท่านและผู้ดูที่ดูออกดูเป็นแลเห็นอย่างง่ายดาย พันธ์ อินทผิว ได้อุทิศตนตามวิถีทางธรรม คือเป็นกัลยาณมิตรของผู้ใฝ่ธรรมเสมอมา ตราบกระทั่งวันเวลาล่วงเลยอายุสังขาร ๑๐๐ ปีเต็ม ควรที่พวกเราจะเฉลิมฉลองชาตกาลนี้ด้วยปฏิบัติบูชาอันเป็นยอดสุดแห่งการบูชา อันพระพุทธเจ้าสรรเสริญ ผมขอร่วมอนุโมทนาต่อกุศลสำนึกนี้ของท่านทั้งหลายด้วยใจจริง ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยดลบันดาลให้สันติธรรมแผ่กำจายทั่วประเทศและทั่วโลก ขอความรู้สึกตัวล้วนๆ จงปรากฎเป็นพรประเสริฐ ขอลมเย็นๆ พัดต้องกายผู้ภาวนา และรู้สึกได้ทันใดในการไหวตัวของอินทรีย์ อันเป็นผลของการฝึกปรือการภาวนาแบบเคลื่อนไหว กล่าวคือ ก่อนที่ความคิดจะฉุดคร่าสติไปตามทางของมัน เราชิงลงมือทันที ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ทุกท่านเทอญ โกวิท เอนกชัย (เขมานันทะ) ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ![]() อาจารย์โกวิท เอนกชัย (ท่านเขมานันทะ) ![]() ![]() ![]() ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=44291 ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=24878 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |