ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ความทุกข์อันเป็นที่รัก โดย...ว.วชิรเมธี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=38479
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ชีวิตนี้น้อยนัก [ 09 มิ.ย. 2011, 15:52 ]
หัวข้อกระทู้:  ความทุกข์อันเป็นที่รัก โดย...ว.วชิรเมธี

ความทุกข์อันเป็นที่รัก

วันใดก็ตามที่เราตระหนักรู้ วันนั้นเราจะไม่กลัวความทุกข์อีกต่อไป ในเมื่อเราไม่กลัวความทุกข์เสียแล้ว ในโลกนี้จะยังมีอะไรให้เราต้องกลัวอีก

โดย...ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

ผู้เขียนชอบรับประทานทุเรียน แต่เพิ่งมาชอบได้ไม่นานนี่เอง ก่อนหน้านั้นไม่เคยคิดจะสนใจผลไม้ชนิดนี้ เพราะรู้ดีว่าเปลือกไม่สวย กลิ่นแรง แต่ต่อมาเมื่อมีเหตุให้ต้องรับประทานทุเรียนอยู่คราวหนึ่ง โลกทัศน์ที่ว่าทุเรียนไม่น่ารัก ไม่อร่อย ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทุกวันนี้ ถือว่าผู้เขียนญาติดีกับทุเรียนอย่างยิ่ง เห็นที่ไหน เป็นต้องยิ้มให้ เพราะตระหนักรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ลึกลงไปจากเปลือกผิวขรุขระและมีหนามแหลมนั้น ได้ซ่อนไว้ซึ่งโอชารสแสนวิเศษ

ทุเรียนก็คงเป็นเช่นเดียวกับความทุกข์มากมายในชีวิตของเรา ที่เมื่อความทุกข์เกิดขึ้นมาแล้ว เราพยายามจะหนีทุกข์ เกลียดทุกข์ กลัวทุกข์ แทบไม่เคยมีใครรู้สึกญาติดีกับความทุกข์เลย เพราะเมื่อความทุกข์คุกคามเข้ามาในชีวิตของเราแล้ว ความสุขก็อันตรธานไป แต่เมื่อไม่นานมานี่เอง หลังจากที่มีโอกาสได้กลับมาศึกษาหลักธรรมเรื่องอริยสัจอย่างลึกซึ้งอีกครั้งหนึ่งทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ผู้เขียนก็เริ่มมองเห็นความลึกซึ้งของความทุกข์ และเริ่มหยั่งโยงไปถึง “นัยแห่งคำ” ที่พระพุทธองค์ทรงใช้เมื่อตรัสถึงความทุกข์ในอริยสัจสี่ประการ

ในหลักธรรมเรื่องอริยสัจสี่ ทรงเรียกความทุกข์ว่า “ความทุกข์อันประเสริฐ” (ทุกฺขํ อริยสจฺจํ) ทำไมจึงตรัสว่า “ความทุกข์อันประเสริฐ” ก็เพราะแท้ที่จริงนั้น ความทุกข์คือเมล็ดพันธุ์ของความสุข ความทุกข์ซ่อนอยู่ในความสุข ความทุกข์สามารถเปลี่ยนแปรเป็นความสุข และความทุกข์เปิดเผยให้เราได้พบกับความสุขนั่นเอง

แรงบันดาลใจในการออกบวชของเจ้าชายสิทธัตถะก็เกิดมาจากความทุกข์ ทรงเป็นพระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ก็เพราะทรงค้นพบหนทางแห่งความดับทุกข์

ความทุกข์สามารถเปลี่ยนแปรเป็นความสุข หรือความทุกข์คือเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขมีตัวอย่างให้เห็นอยู่ทั่วไป แต่เรามักไม่ค่อยตระหนักรู้ วันใดก็ตามที่เราตระหนักรู้ วันนั้นเราจะไม่กลัวความทุกข์อีกต่อไป ในเมื่อเราไม่กลัวความทุกข์เสียแล้ว ในโลกนี้จะยังมีอะไรให้เราต้องกลัวอีก

“ที่ จ.เพชรบุรี มีสินค้าขึ้นชื่ออยู่ชนิดหนึ่ง คือ “ขนมหม้อแกง”

แต่ร้านขนมหม้อแกงไม่ได้มีร้านเดียว ทว่ามีมากมายหลายสิบร้าน หรืออาจจะหลายร้อยร้านก็ว่าได้ แต่ร้านที่ขึ้นชื่อที่สุด ก็คือร้านของ “แม่กิมไล้” แม่กิมไล้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของร้านขนมหม้อแกงพันล้าน ฝีมือทำขนมของแม่กิมไล้นั้นอร่อยหาตัวจับได้ยากและเป็นที่ยอมรับตั้งแต่ชาวบ้านจนถึงชาววัง

แต่กว่าที่แม่กิมไล้จะมีความสุข กลายเป็นเศรษฐินีมีเงินหลักร้อยล้านได้นั้น ย่อมไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่ๆ ความสุขที่แม่กิมไล้ได้รับในวันนี้ ในแง่หนึ่งก็คือ ความทุกข์ในวันวานที่แปรเปลี่ยนมาเป็นความสุขแล้วนั่นเอง

แม่กิมไล้เกิดในครอบครัวผู้มีอันจะกิน พ่อแม่ทำธุรกิจแพปลา แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งแม่กิมไล้กลับเลือกที่จะแต่งงานกับนายตำรวจยศนายสิบคนหนึ่งตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 เสียด้วยซ้ำ การเดินผ่าเหล่าผ่ากอของครอบครัวเช่นนี้ ทำให้ในวันแต่งงาน แม่กิมไล้ต้องเจ็บช้ำน้ำใจอย่างถึงที่สุด เพราะถูกพี่ชายปรามาสไว้ว่า

“น้ำหน้าอย่างมึง ไม่มีโอกาสได้หยิบเงินหมื่นหรอก เพราะคนอื่นดีๆ เป็นนายร้อยนายพันมีเยอะแยะมึงไม่เอา”

คำสบประมาทของพี่ชายนี้เป็นดั่งน้ำกรดที่สาดลงไปในใจของแม่กิมไล้ ก่อให้เกิดความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด เพราะวันนี้เป็นวันแต่งงาน แต่คำอวยพรที่ได้รับกลับชวนให้ปวดแสบปวดร้อนเป็นอย่างยิ่ง แม่กิมไล้จึงพูดสวนออกไปว่า

“เงินหมื่นจะไม่ขอจับ แต่จะขอหยิบเงินล้าน”

หลังจากวันนั้นแล้ว ชีวิตแต่งงานของแม่กิมไล้ก็ยังไม่พ้นห้วงทุกข์ ตรงกันข้าม กลับพบทุกข์หนักขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะชีวิตหมุนไปสู่ความยากจนข้นแค้นถึงขนาดต้องอยู่บ้านผุๆ พังๆ ชั้นแต่จะไกวเปลลูกแรงๆ ก็ยังทำไม่ได้ กลัวเสาจะพัง แต่ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน แม่กิมไล้ก็ไม่ยอมกลับไปบ้านเก่าให้เขาหยัน ยังคงมุมานะพยายามสู้ต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ

“บางวันฉันไม่มีเงินเลย มีไข่ลูกเดียวต้องนำมาผ่าซีกเป็น 4 ชิ้น แบ่งให้ลูกๆ แต่ละคนกิน มีอยู่วันหนึ่ง มีคนเอากล้วยมาให้หนึ่งเครือ ก็มานั่งคิดว่า จะเอากล้วยไปทำอะไร ในที่สุดก็นำเอากล้วยสุกมาทำข้าวต้มมัดขาย ส่วนที่งอมๆ ก็เอามาทำขนมกล้วย แล้วเอาใส่ตะกร้าหิ้วไปขาย คนกินก็ติดใจ ก็เลยยึดเป็นอาชีพเรื่อยมา จนมีลูกค้าประจำ”

เส้นทางของขนมหม้อแกงแม่กิมไล้ ซึ่งดำเนินมาจากคนขัดสนอย่างถึงที่สุด กลายเป็นมหาเศรษฐีระดับประเทศเกิดขึ้นมาจากเหตุบังเอิญแท้ๆ แต่ความอร่อยของขนมนั้นไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่ แต่มาจากฝีมือของแม่กิมไล้ล้วนๆ

หลังจากยึดอาชีพทำขนมสารพัดชนิดขาย จนในที่สุดมาลงตัวที่ขนมหม้อแกง แล้วกิจการของแม่กิมไล้ก็ดีวันดีคืน จนในที่สุดก็ต้องซื้อตึกที่หน้าพระนครคีรี (เขาวัง) ทำเป็นร้านและเปิดกิจการอย่างเป็นทางการ และนับแต่นั้นเป็นต้นมา แม่กิมไล้ก็ขายขนมหม้อแกงได้มากมายหลายร้อยถาดต่อวัน แต่ถ้าเป็นวันเสาร์อาทิตย์ก็จะทะลุถึงหลายพันถาดต่อวัน

ความสำเร็จของแม่กิมไล้ ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ แต่เป็นเพราะการรู้จัก “เปลี่ยนแปรความทุกข์ให้เป็นความสุข” โดยแท้

เราแต่ละคนต่างก็มีความทุกข์เป็นสมบัติส่วนตัวกันมากบ้างน้อยบ้าง แต่ถ้าเราไม่รู้จักว่า ความทุกข์ซ่อนเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขเอาไว้ เราก็อาจจะไม่มีกำลังใจในการรับมือกับความทุกข์ แต่หลังจากอ่านชีวิตของแม่กิมไล้แล้ว เชื่อเหลือเกินว่าหลายคนที่กำลังเผชิญความทุกข์อยู่ น่าจะรู้ดีว่า ความทุกข์นั้นไม่น่ากลัวเลยแม้สักนิด เพราะหลังการมาถึงของความทุกข์ ถ้าหากเรารู้จักรับมือกับความทุกข์นั้นให้ดีๆ ความสุขก็น่าจะรออยู่ตรงนั้นแล้ว

เจ้าของ:  สาวิกาน้อย [ 16 มิ.ย. 2011, 09:02 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความทุกข์อันเป็นที่รัก โดย...ว.วชิรเมธี

onion :b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  ฟ้าใสใส [ 19 ก.ค. 2011, 23:52 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความทุกข์อันเป็นที่รัก โดย...ว.วชิรเมธี

:b20: คนเรามักรักสุข เกลียดทุกข์

หนักก็หนักอยู่ตรงนั้นแหละ

ไม่ละความจริง ละบาปเสียทั้งหมด

ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจที่ทุจริต

ละเสียให้หมด

จะเหลือแต่ สุจริตธรรม

เป็นผลตั้งขึ้นในจิตใจ

แล้วจิตก็เบาสบาย
:b40:


หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

:b44: กราบอนุโมทนาบุญกับผู้เจริญในธรรมและกัลยาณมิตรทุกท่านนะเจ้าค่ะ :b8: :b8: :b8: :b20:

ไฟล์แนป:
ดอกบัว 201.jpg
ดอกบัว 201.jpg [ 4.34 KiB | เปิดดู 4010 ครั้ง ]

เจ้าของ:  bluebird [ 18 ส.ค. 2011, 15:57 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ความทุกข์อันเป็นที่รัก โดย...ว.วชิรเมธี

:b43: :b8: :b8: :b8: :b43:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/