วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 15:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2011, 11:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

• วิธีแก้คำหยาบที่ติดอยู่ในหัว •


ถาม - วันก่อนอ่านเจอคำด่ากันในอินเตอร์เน็ต
แล้วคำด่านั้นติดมาในหัว แกะอย่างไรก็ไม่ออก

พอดีเป็นจังหวะที่เอื้อให้คำนั้นเข้ามาประทับแน่นในใจด้วยน่ะค่ะ
และเดือดร้อนที่สุดก็ตอนมองใครต่อใครหรือแม้แต่ครูบาอาจารย์ในรูปภาพ
ก็เหมือนพลอยคิดอกุศลเพราะคำนั้นไปด้วย ปกติไม่ใช่คนพูดหยาบคาย
อยากทราบวิธีแก้จริงๆ เป็นทุกข์จนมึนหัวทุกที แม้สวดมนต์ไหว้พระ
ขนาดขอขมาพระรัตนตรัยวันละหลายรอบก็ไม่หายขาด



ตอบ - โลกเรากำลังเต็มไปด้วยเชื้อร้ายครับ
ทั้งโรคระบาดทางกายและโรคระบาดทางวิญญาณ
และนับวันวิธีการแพร่เชื้อก็ยิ่งง่ายขึ้นทุกที


อินเตอร์เน็ตจัดเป็นแหล่งแพร่เชื้อร้ายทางวิญญาณชั้นดี
ขอเพียงได้เหลี่ยมได้มุมเหมาะ ก็เหมือนจะมีเชื้อระบาดเข้ามาสู่ใจเรารวดเร็วในพริบตา
แต่กว่าจะบำบัดรักษาหายได้ก็อาจต้องใช้เวลายืดเยื้อยาวนานนัก
แถมก่อนเชื่อมต่อเข้าสู่มิติโกลาหลบนอินเตอร์เน็ต
ไม่มีป้ายบอกเตือนเสียด้วยว่าให้ ‘ระวังเชื้อร้าย !!’

กรณีนี้ทางที่จะแก้นั้น ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่าที่คำหยาบไม่หายไปจากหัวเรา
รวมทั้งที่มันมาปรากฏบ่อยๆ ไม่ใช่เพราะจิตใจฝักใฝ่ถ้อยคำอันเป็นของต่ำ
แต่เพราะความทรมานใจกลัวบาปเล่นงานต่างหาก
สรุปคือความกังวลตัวเดียวนั่นเองครับเป็นเหตุ
ความกังวลนั่นแหละอาหารชั้นดีที่เลี้ยงดูคำพูดหยาบๆ ไว้ไม่ให้ตายไปจากหัวเรา
เพราะฉะนั้นถ้ากำจัดความกังวลได้ ทำใจไม่ให้รู้สึกผิดเสียได้
ในที่สุดมันก็ล่องหนหายตัวอย่างเด็ดขาดไปเอง จะนานช้าแค่ไหนก็ช่างเถอะ

ผมมีอุบายวิธีแก้ให้สองข้อ

๑) คุณต้องบอกตัวเองว่านี่ไม่ใช่ความจงใจด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเรา
เมื่อไม่ได้จงใจ ไม่ได้เจตนา ก็เท่ากับขาดประธานในการก่อบาป
เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่าเจตนาคือกรรม กรรมคือเจตนา
เมื่อไม่ได้เริ่มต้นที่เจตนา แม้เป็นกรรมก็มีกำลังอ่อน
และจะไม่ก่อให้เกิดการติดนิสัยในทางชั่วร้ายกับเราแต่อย่างใด ขอให้สบายใจได้

๒) คราวหลังคิดทีก็ไหว้ที แล้วนึกเงียบๆ หรือเปล่งวาจาออกเสียงชัดถ้อยชัดคำยิ่งดี
ว่าใจจริงของเราคือไหว้อย่างนี้ ไม่ได้ยินดีตามเสียงด่าในหัวเลย
แต่ละครั้งคุณจะรู้สึกแน่ใจ มั่นใจในตัวเองว่าเป็นฝ่ายดี ไม่ใช่ฝ่ายร้าย
เมื่อนั้นก็จะสบายใจยิ่งๆ ขึ้น พอสบายใจร้อยครั้ง พันครั้ง
ในที่สุดก็จะค่อยๆ ลบความกังวลไปเอง พอความกังวลหายไปอย่างเด็ดขาด
ในที่สุดคำหยาบก็จะหายไปจากหัวด้วย หรือถึงแม้จะมีแวบๆ เข้ามาบ้าง
ก็จะไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกผิดอีกต่อไปแล้วครับ


(มีต่อ)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2011, 11:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


• วิบากของผู้ที่แกล้งพูดนุ่มนวลสร้างภาพผู้ดีมีศีลธรรม •


ถาม - คนที่ไม่สงบจริง
แต่แกล้งพูดให้นุ่มนวลเหมือนพ่อพระหรือแม่พระนั้น
จะมีผลกรรมอย่างไรครับ ?



ตอบ - ก็มีจิตเป็นมายา เป็นกรรมอย่างหนึ่งเหมือนนักแสดงครับ
แต่นักแสดงเพียงตั้งใจหลอกคนดูตามกติกา (คือคนดูตกลงเต็มใจให้หลอก)
ส่วนพ่อพระแม่พระเก๊ๆ นั้น หลอกทั้งคนดู
ตลอดจนกระทั่งหลอกทั้งตัวเองเป็นเวลายาวนาน
กระทั่งปักใจเชื่อว่าตนเป็นเช่นนั้นจริงๆ
โดยไม่รู้เท่าทันว่าที่แท้ยังมีระเบิดโทสะซุกซ่อนอยู่มากมายก่ายกอง
พร้อมจะตูมตามขึ้นมาเสมอเมื่อเกิดการสั่งสมแรงดันมากพอ

การขัดเกลาให้ตนเป็นผู้มีความเยือกเย็นอย่างแท้จริง
กับการเสแสร้งแกล้งทำเป็นผู้เยือกเย็นนั้น ผลจะต่างกันลิบลับ
เมตตาจะทำให้เราเจตนาพูดนุ่มนวลเพื่ออนุเคราะห์คนฟังให้สบายใจ
แต่มายาจะทำให้เราเจตนาพูดนุ่มนวลเพื่อลวงให้คนอื่นนิยม

ของพวกนี้ผิดกันนิดเดียว และบางทีก็ไม่ใช่รู้ตัวกันง่ายๆ นะครับ
หากหลอกตัวเองจนแม้ตัวเองนึกยังนึกว่าดีจริงแล้ว
ก็ยากมากที่จะชี้ว่าตรงไหนเรียกมายา ตรงไหนเรียกใจจริง

หลังจากหลอกตัวเองว่าตนเป็นพ่อพระแม่พระเสียงนุ่มไประยะหนึ่ง
ผลกรรมที่เห็นได้ชัดทันตาคือจะมีจิตที่เคลิบเคลิ้ม หลงตัวว่าดีแล้ว
ทั้งที่ใจในส่วนลึกรู้อยู่ว่ายังไม่ดีจริง ยังเต็มไปด้วยโทสะ จึงเกิดความขัดแย้ง
บางทีปฏิเสธตนเองจนเหนื่อย คิดบอกว่าไม่คิด พูดบอกว่าไม่พูด ทำบอกว่าไม่ทำ
ขอให้เป็นเรื่องร้ายๆ เถอะ ฉันต้องไม่มีแน่ๆ ทำไปทำมาเลยเกลียดตัวเอง
มีความกระสับกระส่าย มีความไม่พอใจเป็นอาจิณ


เท่าที่ผมเห็น บางคนดูภายนอกสงบลึกซึ้งอยู่ทั้งวัน
แต่พอได้ฤกษ์เหมาะ พูดจากันอยู่ดีๆ ก็ออกอาการหงุดหงิดโดยไม่มีสาเหตุ
หรือเรื่องไม่มี ก็สร้างเรื่องเพื่อแสดงความโกรธ
หรือแสดงวาจาเชือดเฉือนคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูดีกว่าใครๆ

โทษของการเป็นผู้มีมายานั้น ต่อให้แนบเนียนสมจริงปานใด
หรือกระทั่งทำประโยชน์ให้ใครต่อใครมากมายเพียงไหน
ในที่สุดจะย้อนกลับมาเล่นงานเจ้าตัว คือกระทำจิตให้บิดเบี้ยว
ไม่อาจเห็นอะไรแจ่มแจ้งตามจริงตลอดสาย
การต้องประคับประคองให้ตนเองอยู่ในระดับที่สูงส่งนั้น
นับว่าต้องใช้แรงมาก ต้องเหนื่อยมาก ต้องสะสมแรงกดดันมาก
ยิ่งหลอกสายตาคนไว้มากเท่าไหร่ ยาวนานเพียงใด
ความเก็บกดก็จะทวีแรงอัดไว้มากขึ้นเท่านั้น


เมื่อใดคุยเป็นส่วนตัวกับคนสนิทหรือผู้น้อยแบบที่ไม่ต้องระวังตัว
จึงออกอาการชัดเป็นพิเศษ พูดง่ายๆ นิยมเพ่งโทษผู้อื่น
จ้องจะหาทางระบายความเครียดเอากับคนไม่มีทางสู้
หรือคนไม่มีทางไปป่าวร้องให้ตนเองเสียหาย

อีกประการหนึ่ง สำหรับพ่อพระแม่พระปลอมๆ นั้น
ในอนาคตเมื่อมีโอกาสเกิดใหม่เป็นมนุษย์อีก
หน้าตาจะออกแนวไม่ใสซื่อ ดูไม่จริงใจ
ถึงแม้ศีลจะปั้นให้รูปร่างหน้าตาดูดีอยู่บ้าง
ก็จะสวยหล่อแบบเบี้ยวๆ ขาดๆ เกินๆ ดูสวยไม่เสร็จ หล่อไม่เสร็จ
เลี่ยนๆ เอียนๆ อย่างที่คนเห็นอธิบายไม่ถูก
นี่ก็เพราะตอนก่อวจีกรรมดีๆ นั้นไม่ดีจริง ใจมีอาการขาดๆ เกินๆ นั่นเอง


อย่างนี้มิแปลว่าควรพูดจาโผงผางขวานผ่าซากแบบไม่แคร์ใครกระนั้นหรือ ?
ไม่ใช่อย่างนั้นครับ เพื่อความสุขความเย็นใจในปัจจุบัน
และเพื่อมีหน้าตาผิวพรรณงามในอนาคต ทุกคนควรฝึกตนให้นุ่มนวลเป็นกันทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม ที่ก้าวแรกควรเป็นเจตนาใช้คำที่ไม่ระคายโสต
อย่าเพิ่งพยายามดัดท่าที หรือตกแต่งน้ำเสียงให้ละมุนละไมเกินเหตุ
พูดแบบเป็นตัวของตัวเอง พูดแบบไม่รู้สึกว่าต้องใส่หน้ากากไปซื้อใจคนอื่น
พูดแบบไม่ต้องเหนื่อยสร้างภาพที่ไม่มีอยู่ในตน
คุณจะพบว่าเพียงด้วยใจที่คิดงดเว้นถ้อยคำอันระคายโสตนั้น
จะสวนทางกับตัวตนด้านร้าย ยิ่งพูดจะยิ่งลิดรอนอำนาจของโทสะลงเอง
ยิ่งฝึกหัดเลือกใช้คำดีๆ มากขึ้นเพียงใด
ใจคุณจะยิ่งนุ่มนวลอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น

เช่นแทนที่จะพูดลุ่นๆ ด้วยอำนาจความ เคยชินว่า ‘เฮ้ย ! ทำไมชุ่ยอย่างนี้วะ ?’
ก็อาจลดลงมาเป็น ‘นี่ ! ช่วยระวังหน่อยเถอะ’
อาการทางใจของทั้งคนพูดและคนฟังจะแตกต่างกันลิบลับ
ยิ่งถ้าลดลงมาอีกเป็น ‘คุณครับ/คุณคะ ช่วยระวังนิดหนึ่งเถอะนะ’
ผลก็จะยิ่งต่างไปอีก แม้ไม่ดัดเสียงหรือแต่งสีหน้าให้ดูดี
ไฟโทสะที่เกิดแล้วในใจคุณก็จะลดลง ไฟโทสะที่ยังไม่เกิดในใจคนอื่นก็จะไม่เกิด

ใจที่เยือกเย็นลงอย่างเป็นธรรมชาตินั้น
จะปรุงแต่งให้กิริยาของคุณนุ่มนวลลงอย่างเป็นธรรมชาติไปด้วย
คุณจะรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง ไม่เหน็ดเหนื่อยกับกิริยาวาจาที่นุ่มนวลเลย
ตรงข้ามจะยิ่งพึงใจในรูปแบบชีวิตใหม่ ไม่ฝืดฝืน
ไม่ต้องออกแรงบังคับตัวเองแต่อย่างใด
ถึงเดิมทีเคยสะใจกับการเป็นผู้ร้ายทางวาจา
ต่อมาจึงได้ข้อเปรียบเทียบว่าการเป็นพระเอกนางเอกทางการเลือกใช้คำนั้น
หยาบประณีตแตกต่างห่างชั้นกันเพียงใด

ใครบอกว่าฝึกเมตตาไม่เป็น เจริญเมตตาไม่ได้ผลเสียที
ลองนับหนึ่งด้วยการใช้วิธีควบคุมการพูดจาในชีวิตประจำวันนี่แหละครับ
คุณจะรู้ชัดอยู่ข้างใน ว่านุ่มนวลแบบเมตตาจริงกับนุ่มนวลแบบแอบแฝงนั้น
แตกต่างกันอย่างไร น่าพึงใจกว่ากันขนาดไหน
และถ้าหากต้องเกิดใหม่เป็นมนุษย์ คุณจะสวยหล่อน่าชม ไม่ขาดไม่เกิน
เรียกว่างดงามชวนชมอย่างเป็นธรรมชาติ มองดูไม่รู้เบื่อเลยทีเดียว


(มีต่อ)

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2011, 11:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ทำไมแค่อนุโมทนากับบุญของผู้อื่นก็ได้บุญแล้ว •


ถาม - บางทีพอได้ยินว่าแค่ยินดี หรืออนุโมทนากับบุญของคนอื่น
ก็เป็นผู้ได้ส่วนของบุญแล้ว อย่างนี้อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมมันง่ายนัก



ตอบ - ต้องเปรียบเทียบกับฝ่ายตรงข้ามแล้วจะเข้าใจครับ
คือมีอยู่มากที่เห็นคนอื่นทำบุญแล้วเกิดความหมั่นไส้ หรือเกิดความขบขัน
เห็นเป็นเรื่องงมงาย เสียแรง เสียเวลา เสียทรัพย์เปล่า
อย่างนี้นอกจากไม่มีจิตอนุโมทนา ยังมีความคิด คำพูด
หรือการกระทำในเชิงเบียดเบียนตามมา

เช่นอย่างเบาสุดคือคิดค่อนขอดไปต่างๆ นานา
อย่างกลางคือพูดกระทบกระเทียบเหน็บแนมบั่นทอนกำลังใจคนทำบุญ
อย่างหนักสุดคือเข้ากระทำการกีดขวางหรือหน่วงเหนี่ยวไว้ไม่ให้ผู้อื่นทำบุญสำเร็จ


คงมองง่ายขึ้นแล้วนะครับ คนเราอยู่ดีไม่ว่าดีก็ทำบาปได้สารพัด
แต่จะต้องอาศัยความเข้าใจ หรืออาศัยทุนเดิมเป็นกุศลจิตที่หนักแน่นพอ
จึงสามารถยินดีตามในกระแสบุญของคนอื่นได้ไหว
พูดง่ายๆ ถ้าทุนเก่าไม่พอก็ต่อบุญใหม่ไม่ได้
ชาตินี้คุณต้องเป็นผู้ทำบุญมาพอสมควร จนเข้าใจได้ว่าบุญน่ายินดีอย่างไร
จึงจะสามารถคล้อยตามกระแสความสว่างอบอุ่นของกุศลจิตผู้อื่นไหว

หากไม่เชื่อเรื่องอานิสงส์อันลี้ลับของการอนุโมทนาบุญ
ก็ขอให้เชื่อสิ่งที่เห็นประจักษ์ชัดง่ายสุด นั่นคือทันทีที่อนุโมทนา
คุณจะเกิดความเบาโล่งสบายหัวอก เหมือนจิตสว่างขึ้น อบอุ่นขึ้น
และโน้มน้อมไปสู่การคิดอ่านทำบุญทำกุศลด้วยกาย วาจา ใจด้วยตนเองบ้าง


แต่ถ้าอนุโมทนาแบบแห้งๆ อนุโมทนาไปสงสัยไป อย่างนี้คุณจะไม่เห็นผลทันใจ
แล้วก็อาจจะถึงขั้นทำกุศลไม่ครบองค์ คือใจขาดโสมนัส
ขาดความหนักแน่น ขาดความสว่างเป็นกุศลจิตเต็มดวงครับ



คัดลอกเนื้อหาจาก...
http://dungtrin.com/index.php?option=co ... Itemid=278

รูปภาพประกอบจาก...fb. Settawut Chuchartpong

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2011, 13:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: :b43: :b8: :b8: :b8: :b43: :b43:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2011, 14:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


_/l\_ _/l\_ _/l\_


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2011, 16:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2011, 18:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2011, 10:52
โพสต์: 256

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b41: :b8: :b8: :b8: :b45:

.....................................................
ทำดี ดีแล้ว เป็นพร
ทำดี ดีแล้ว เป็นพร ไม่ต้อง อ้อนวอน ขอพร กะใคร ให้กวน
พรที่ ให้กัน ผันผวน เป็นเหมือน ลมหวน อวลไป อวลมา อย่าหลง
พรทำ ดีเอง มั่นคง วันคืน ยืนยง ซื่อตรง ต่อผู้ รู้ทำ
อยากรวย ด้วยพร เพียรบำ - เพ็ญบุญ กุศลนำ ให้ถูก ให้พอ ต่อตน
ทุกคน เกิดมา เป็นคน ชั่วดี มีจน เป็นผล แห่งกรรม ทำเอง
ถือธรรม เชื่อกรรม ยำเยง บาปชั่ว กลัวเกรง ทำแต่ กรรมดี ทวีพรฯ

ท่านพุทธทาสภิกขุ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 72 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร