ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ระวังความคิดเรื่องอยู่เหนือคิด http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=34827 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | หนวดเต่า [ 04 ต.ค. 2010, 16:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | ระวังความคิดเรื่องอยู่เหนือคิด |
ระวังความคิดเรื่องอยู่เหนือคิด เขมานันทะ วันที่พระพุทธเจ้านั่งที่ริมน้ำ หลังจากฉันอาหารของนางสุชาดาแล้ว ท่านได้ลอยถาดเสี่ยงบารมี เรื่องบอกว่า ถาดลอยทวนน้ำไปสู่ต้นน้ำ นั่นหมายความว่า ตลอดเวลาหกปีที่พระพุทธเจ้าทำความเพียรค้นหาความจริงนั้น ท่านเข้าไปในความคิดเรื่อยๆ ตามอารมณ์ไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าเริ่มคิดออกว่าต้องย้อนไปสู่ก่อนหน้าที่จะคิด ความคิดเป็นกระแสไหลไปเหมือนน้ำ ท่านกระทำตัวเองต่างๆนานาไปตามความคิด ในวันสุดท้ายของการแสวงหาโพธิญาณนั้นเอง ท่านเริ่มปฏิบัติการทวนกระแส แม้พวกเราก็เริ่มต้นทวนกระแส อาศัยความตื่นตัว ตื่นตา ตื่นใจ คิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็อย่าไปสนใจมัน เรากลับมาสนใจความรู้สึกสดๆ เพราะความรู้สึกสดๆ นี้ไม่ได้อยู่ในความคิด ดังนั้นเมื่อเราตื่นตัว ตื่นกาย ตื่นใจมาก เราจะค้นพบอิสระ อิสระจากอำนาจความไม่รู้นั่นเอง แต่ถ้าเราเข้าใจผิดคิดว่าเราต้องหยุดความคิดให้ได้ อย่างนั้นเราต้องเป็นทาสของความคิดในการที่จะหยุดความคิด เรายิ่งมีภาระหนักในการคิดและพบความวุ่นวายมึนงง ดังนั้นเราต้องไม่หยุดความคิด เราปล่อยให้มันคิด แต่เราเป็นตัวนี้ ตัวซึ่งไม่ได้คิด ดังนั้นชีวิตของเราจะปรากฏใหม่ คือแทนที่จะเป็นทาสของความคิด กลับเป็นความรู้สึกตัวอยู่เหนือคความคิด คล้ายๆ เรือซึ่งอาศัยน้ำสำหรับแล่นไป ถ้าเรือจมลงในกระแสน้ำ ก็เป็นอันว่าแล่นไปไม่ได้ เมื่อเราพลิกลำขึ้นมาเหนือผิวน้ำ เรือนั้นเองอาศัยน้ำแล้วแล่นทวนไปได้ เราอาศัยความคิดเพื่อเข้ามากระตุ้นให้ตื่นตัว แต่เราต้องไม่เข้าไปในความคิด โดยการเร้าสร้างจังหวะอย่างนี้ ไม่ช้าไม่นานเราจะค้นพบว่าความคิดที่หมักหมมอยู่มากมายนั้นสลับซับซ้อนและทำให้พฤติกรรมของเราไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่มีระเบียบในตัวเอง เดี๋ยวเราเกลียด เดี๋ยวเรารัก เดี๋ยวเราโลภ เดี๋ยวเรากลัว เดี๋ยวเรารำคาญ เดี๋ยวเราติดสิ่งนี้ เดี๋ยวเราติดสิ่งนั้น เรามาทำความรู้สึกอยู่ที่ตัว ไม่ใช่ทำความรู้สึกตัวที่คนอื่น ตามธรรมดาแล้วเราจะสนใจคนอื่น คือสนใจว่าคนอื่นคิดอะไรกับเรา เราเที่ยวรู้สึกต่อความคิดนึกของคนอื่น อันนี้เป็นจุดอ่อนของนักภาวนาหรือบุคคลทั่วไป ที่จริงต้องมารู้สึกตัวที่เราดังนี้ มือที่ขยับยกขึ้นให้เรารู้ มันรู้โดยสัญชาตญาณ เวลาเราเคลื่อนมือ เราอย่าไปจ้องมัน ให้รู้จากจังหวะ มันจะเข้าไปตัดกระแสความคิด คลื่นสมองของเราจะถูกจจัดระเบียบใหม่ การเคลื่อนมือสร้างจังหวะเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นเราเดินจงกรมบ้าง เคลื่อนไหวเพื่อให้ตื่นตาตื่นใจ ถ้าเราค้นพบสมาธิโดยไม่ตื่นตาตื่นใจ อันนั้นเป็นโมหะ สมมติว่าเรานั่งอย่างนี้เป็นสิบๆ ปี แต่ก่อนเราค้นพบความสุขมาก แต่มันไม่ตื่นตา ไม่ตื่นใจและไม่เห็นอาการ โดยเฉพาะความคิด ดังนั้นจึงค้นไม่พบความดีที่ตัวและไม่พบความงามใดๆเลย ภายใต้สภาพที่ตื่นตาตื่นใจเช่นนี้ เป็นการเปิดเผยถึงความเงียบสงัดของหัวใจ ดังนั้นเมื่อดูหน้าคนจะไม่มีความคิดแทรกซ้อน หรือดูพระอาทิตย์ตกดิน รู้สึกเหมือนเป็นสิ่งเดียวกับใจตนเพราะเราไม่มีช่องว่างระหว่างชีวิตกับสิ่งต่างๆ เราไม่อธิบายมัน ความงามอันนั้นจึงสุดจะพรรณนาได้ ตอนที่เราเดินทางโดยรถยนต์จากกรุงเทพฯ ผมนั่งดูต้นไม้สองข้างทางแล้วบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด และอยากให้ทุกคนได้รู้สึก ตามธรรมดาเรารู้สึกไม่ได้ เพราะเรามัวแต่คิดและวิพากษ์วิจารณ์โดยเฉพาะมานั่งด้วยกัน คุยกันเรื่องการเมือง ผมรำคาญนิดหน่อยเพราะเมื่อเราดูอะไรตรงๆ คำว่า “ดูตรงๆ”นี้หมายถึงว่า เราไม่มีความคิดเข้ามาแทรก เราไม่คิดเรื่องดีเรื่องชั่ว เราไม่วิจารณ์อะไรเลย ดังนั้นในการมองล้วนๆ จริงๆ ฟังล้วนๆ รู้สึกล้วนๆ การรู้สึกตัวล้วนๆ เป็นการปฏิบัติธรรมชั้นเลิศ คงเคยได้ยินเรื่องพาหิยทารุจีริยะ พระพุทธเจ้าสอนพาหิยะว่า เมื่อเห็นสักแต่เห็น นี้แหละคือความหมายของคำว่าล้วนๆ ก็เห็นล้วนๆเท่านั้นเอง ได้ยินล้วนๆ รู้สึกได้ล้วนๆ ความคิดนั้นเป็นการวิจารณ์เป็นการตอบโต้กับสิ่งที่เราเห็น มนุษย์เราค่อยๆสูญเสียความกระฉับกระเฉงไปทีละน้อย เคลื่อนไปสู่โลกของความคิด และแปลงโลกนี้ทั้งโลกให้เป็นความหมายที่จะต้องตีความ เราจะพบว่า ในการตีความนั้นสมองของเราเมื่อยล้ามาก พลังชีวิตของเราอ่อน ดังนั้นต้องจับหลักเกณฑ์ที่เป็นรากฐานสำคัญให้ได้ พยายามให้ตื่นตาตื่นใจ เมื่อง่วงก็เดินให้เร็วขึ้น หรือลูบตัว อย่าปล่อยให้ความง่วงเข้ามาครอบงำ เมื่อความง่วงเข้ามาแล้วแก้ยาก ให้เอาความรู้สึกจากการเคลื่อนไหว จะเรียกว่าเอาสติเข้าดูก็ได้ เคลื่อนเข้าไปเดี๋ยวจะรู้สึก อย่าให้พูดอยู่ข้างใน อย่าให้มันพูดวิจารณ์การกระทำของตัวเอง เช่นพูดว่ายกมือขึ้น เคลื่อนให้เป็นจังหวะ ถ้าสามารถเคลื่อนมือได้อย่างต่อเนื่อง ตื่นตาตื่นใจ และในจิตรู้สึกเรื่อยๆ มันก็เริ่มเป็นสมาธิเรื่อยๆ อาการตื่นตาตื่นใจนั้นแสดงว่ากระแสของความคิดเริ่มบางเบาและสั้นเข้า แต่พอเราเผลอนิดเดียว ความคิดเข้ามาเดี๋ยวมันจะสงสัยบ้างว่า จะยกไปทำไม จะมีประโยชน์อะไร เรื่องของความคิดทั้งนั้นที่เข้ามาควบคุมชีวิตเรา ดังนั้นการเคลื่อนมือสร้างจังหวะจึงเป็นอุบายอย่างง่ายๆ ตอนใหม่ๆอาจรำคาญหน่อย เพราะไม่คุ้น แต่พอเริ่มคุ้นดีจะค้นพบว่าสมาธิเป็นของได้เปล่า แทบไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ใช่ว่าเราจะยกมือทั้งวันทั้งคืนเป็นเพียงบุพภาคของมัน เป็นอุบายที่จะกำจัดควาง่วง ความซึมเซา ในสมัยที่ผมปฏิบัติใหม่ๆผมลังเลมากที่จะยกมือ เพราะพอยกมือขึ้นก็สงสัย มันขัดกันระหว่างกิริยาทางกายกับความคิด มันไม่ลงรอยกัน ต่อมาผมทำไปนานเข้า รู้สึกได้ว่า เมื่อเราทำได้อย่างคล่องมือและเบาๆ จิตใจเราเริ่มเรื่อยๆ จินตนาการของเราเริ่มไม่รู้สิ้นสุด แล้วความเงียบชนิดหนึ่งก็แผ่กระจายจากเนื้อในของใจ ความเงียบที่แผ่กระจายจากเนื้อในใจของเรานี่เอง เป็นที่มาของสุนทรียภาพทั้งหมด ฟังดนตรีรู้สึกสนิทเข้าไปในหัวใจ ทุกครั้งที่ฟังดนตรีธรรมชาติ รู้สึกตื่นตาตื่นใจ ลองพยายาม อย่าเบื่ออย่าหน่ายเสียก่อน พอเคลื่อนให้รู้ เคลื่อนก็รู้ แต่อย่าพูดว่ารู้ รู้เห็นอยู่เวลาเคลื่อน แต่อย่าจ้องด้วยตา ให้เอาความรู้สึกเป็นฐาน วิธีนี้เป็นสมาธิได้เร็วมาก ทุกครั้งที่เคลื่อนมือจิตเป็นสมาธิท่ามกลางความตื่นตาตื่นใจ เราจะล่วงรู้ถึงพลานามัยของชีวิต ตามปกติชีวิตของเรามักถดถอย เรากลัว เราลังเล เราหวั่นไหวไม่แน่ใจในทุกสิ่ง พอสมาธิเกิดจากการเคลื่อนไหวเช่นนี้ เราจะเรียนรู้เอาพลานามัยในการดำรงชีวิตอยู่ ในการนั่ง เราจะรู้สึกถึงพลานามัยของการนั่ง มีความภาคภูมิ ไม่ใช่ภูมิใจว่าเราได้ดิบได้ดีอะไร คือนั่งเต็มภูมิของมัน เวลายืนเราก็ยืนอย่างเต็มภาคภูมิ ชีวิตด้อยค่าไปเพราะว่าเราคิดเปรียบเทียบ วิตกถึงอนาคตมากเกินไป เราไม่เป็นตัวของเราเอง ดังนั้นเมื่อไรที่เรารู้สึกตัวได้ดี เราจะค้นพบว่าเรามีความสง่าอยู่ในตัวเองจะนั่งหรือเดินก็พอใจตัวเอง ภาคภูมิในธรรมชาติแท้ในตัวเอง แต่ไม่ใช่หลงตัวเอง. |
เจ้าของ: | krathin [ 05 ต.ค. 2010, 14:52 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ระวังความคิดเรื่องอยู่เหนือคิด |
![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |