ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
มองดูตนเอง (พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=33797 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลูกโป่ง [ 12 ส.ค. 2010, 03:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | มองดูตนเอง (พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป) |
![]() "มองดูตนเอง" หลักธรรมะของ...พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป ------- ท่ามกลางบรรยากาศต้นไม้ใหญ่ ใบสีเขียวหนาทึบ เต็มไปทั่วบริเวณภายในวัดอรัญญาวิเวก (บ้านปง) ต. อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ล้วนแล้วมาจากการจรรโลงให้เป็น สถานที่ปฏิบัติธรรมของ หลวงพ่อเปลี่ยน ปัญญาปทีโป เชื่อไหมว่า วันที่ผมได้เดินทางไปสัมภาษณ์หลวงพ่อเปลี่ยน ผมไปถึงตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ที่เมฆหมอกยังไม่ทันจาง เนื่องจากช่วงนั้นเป็นฤดูหนาวครับ ความรู้สึกเวลานั้นคิดว่าให้ท่านคงฉันอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะได้ขออนุญาตท่านสัมภาษณ์ทันที ปรากฏว่า ท่านยังไม่ได้ลงจากกุฏิ แต่ใจก็ชื่นมื่นอยู่ไม่น้อย ที่หลวงพ่อยังไม่ได้มีกิจนิมนต์ไปที่ไหน ทำให้ผมต้องเดินทางออกไปหาอาหารเช้ากินกันก่อน แล้วค่อยกลับมาหาหลวงพ่อเปลี่ยนอีกครั้ง ต่อมาเวลาผ่านไปประมาณแปดโมงเช้า ผมได้กลับเข้าไปวัดเพื่อรอพบหลวงพ่อเปลี่ยน คราวนี้ได้เห็นพระสงฆ์หลายรูปกำลังกวาดลานวัด ด้วยอย่างขะมักเขม้น จึงได้เดินตางเข้าไปถามลุงที่เป็นลูกศิษย์ ว่า หลวงพ่อเปลี่ยนลงมาจากกุฏิหรือยัง ลุงท่านนี้ก็ชี้ไปที่พระรูปหนึ่งกำลังกวาดลานวัดอยู่อย่างกระชุ่มกระชวย ภาพที่ได้เห็นไม่น่าเชื่อเลยว่า พระภิกษุสงฆ์รูปนี้อายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว เพราะว่าท่านยังดูเป็นพระอายุประมาณ ๕๐ กว่าๆเห็นจะได้ ซึ่งผมก็เกือบหน้าแตกเหมือนกันที่ก่อนหน้านี้ จะเดินเข้าไปถามหลวงพ่อเปลี่ยนอยู่เหมือนกันว่า หลวงพ่อเปลี่ยนลงมาจากกุฏิหรือยัง ดีว่าไหวตัวทันเสียก่อนไม่เช่นนั้นผมคงหน้าแตกแน่ๆ จากนั้นผมได้เดินเข้าไปไหว้หลวงพ่อเปลี่ยน พร้อมกับแนะนำตัวเองว่าจะมา สัมภาษณ์เพื่อนำประวัติท่านออกไปเผยแพร่ให้กับชาวพุทธได้รับรู้ ท่านยิ้มแล้วพร้อมตอบกลับมาว่า ได้ แต่ขอให้อาตมาฉันอาหารเช้าเสร็จเสียก่อนแล้วค่อยคุยกัน และเช้าวันนั้นผมยังได้เห็น ญาติโยมได้มาร่วมทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์เป็นจำนวนมาก พอได้เห็น ภาพคนเข้าวัดมากมายขนาดนี้ทำให้ผมมีความสุขไม่น้อยครับ สำหรับคำพูดที่หลวงพ่อเปลี่ยน มักใช้สนทนาธรรมกับประชาชนเดินทาง ปฏิบัติธรรม ณ วัดแห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก หลายคนที่มาที่วัดก็เพราะขาดสติ คือ "ต้องใช้สติปัญญาในการพิจารณาหาต้นเหตุแห่งกองทุกข์นั้น ยังไม่สมบูรณ์ จึงพากันมีความทุกข์อยู่ มีความเดือดร้อนกันอยู่ทั้งบ้านทั้งเมืองในปัจจุบันนี้นั้น ก็คือ บุคคลนั้นไม่รู้จักความพอดีนั่นเอง" นอกจากนี้หลวงพ่อเปลี่ยนยังย้ำเสมอในการสอนญาติโยม เกี่ยวกับการการมองตนเองว่า "เมื่อคนเราเกิดมาแล้วไปอยู่ร่วมกัน ทำการงานร่วมกันพูดจากันในเรื่องราวต่างๆประชุมหารือกัน ความคิดเห็นขึ้นมาก็ต่างๆ กัน บางบุคคล บางหมู่คณะก็คิดถูกบ้าง บางบุคคลบางหมู่คณะก็คิดผิดบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดา" และหลวงพ่อเปลี่ยนได้ให้สัมภาษณ์ พร้อมความกระจ่างเกี่ยวกับการมองดูตนเองไว้อย่างน่าสนใจ และผมขออนุญาตเปลี่ยนเรียกหลวงพ่อเปลี่ยน เป็นพระอาจารย์เปลี่ยนตามลูกศิษย์ที่วัดด้วยนะครับ -ญาติโยมที่มากราบพระอาจารย์มากมาย ทำไมท่านถึงเน้นย้ำเรื่องการมองดูตนเอง เพราะอะไรครับ? -ก็เพราะคนเราเกิดขึ้นมานั้น ไม่ใช่พวกเราจะเสียสละละกิเลสให้หมดไปได้ง่ายๆ เพราะกิเลสทั้งหลายนั้น เขานอนเนื่องอยู่ในจิตสันดานของพวกเรา มาหลายภพหลายชาติแล้ว เขาครอบงำย่ำยีมาหลายภพหลายชาติแล้ว แต่พวกเราก็ไม่สามารถที่จะแกะหรือสำรอก หรือลดละปล่อยวางกิเลสออกไปได้หมด พวกเราจึงพากันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารตามฐานะของตน เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ การที่ขัดเกลากิเลสของพวกเรามาแต่ชาติอดีตที่ผ่านมานั้น ใครจะขัดเกลาได้มากน้อยเท่าไร บุคคลใดขัดเกลาได้มาก เมื่อมาเกิดในชาตินี้กิเลสก็เบาบางจากจิตใจ บุคคลใดขัดเกลากิเลสได้น้อย กิเลสก็ยังมืดมน บุคคลใดไม่ได้ขัดเกลากิเลสเลย จึงมืดมนไม่รู้จักบุญบาป ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จิตของบุคคลเป็นคนใจดำอำมหิตทั้งหลายอยู่ในปัจจุบันนี้ มันจึงมีหลายระดับ หลายขั้นหลายตอน -คนเราเกิดมามีหลายระดับชั้น ตรงนี้อยากให้พระอาจารย์อธิบายหมายสักหน่อยครับ? -ใช่ ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนไว้ว่าดอกบัวสี่เหล่า เหมือนเปรียบเทียบกับดอกบัวสี่เหล่า คนเราเกิดมาอยู่ในโลกนี้ย่อมเป็นอย่างนั้น ดังนั้น เมื่อเราคิดดูอย่างนี้แล้ว มันก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล บางคนจิตหยาบมาก บางคนหยาบปานกลาง กิเลสของคนเราจึงแตกต่างกัน อาตมาก็อยากให้ฝึกหัดสติของพวกเรา เพื่อจะให้มีสติมากขึ้น ระลึกได้เร็วขึ้น สัมปชัญญะ หรือตัวของปัญญา ให้รอบรู้เร็วขึ้น ทันกับเหตุการณ์ ที่จะเป็นสิ่งสำคัญที่ดีในอนาคต -พระอาจารย์มีเหตุผลอะไร ทำไมถึงต้องให้ญาติโยมทันต่อเหตุการณ์ครับ? -ทำไมต้องทันเหตุการณ์ มันก็คือ พวกเราคิดดูซิ ถ้าพวกเราขาดสติอยู่ สติยังอ่อนอยู่นั้น แม้พวกเราเห็นอะไรวัตถุต่างๆ จิตก็ย่อมรั่วไหลไปตามวัตถุนั้นได้ทันที เพราะขาดสตินั่นเอง เราไม่มีสติพอจะรู้ว่า รูป ร่างกาย ของพวกเราก็เหมือนกัน รูปร่างกาย ของพวกเราทำอะไร เมื่อทำลงไปมันผิดพลาดลงไปแล้ว มันผิดพลาดเพราะอะไร เพราะเราขาดสติ เราระลึกไม่ทันก็ต้องทำไปก่อน สัมปชัญญะก็รู้ไม่ทันเขาจึงทำผิดพลาดกัน ทุกวันนี้เราจะเห็นเขาทุบเขาตีฆ่าฟันแทงกันไม่เว้นนั้น บนหน้าหนังสือพิมพ์ เป็นเพราะขาดสติ สัมปชัญญะควบคุมไม่ได้ ควบคุมร่างกายไม่ได้ ก็เลยทำให้กายนี้ไปทำบาป ทำชั่วได้อย่างง่ายดาย ตรงนี้แหละเราจะเห็นได้ชัด ฉะนั้น พวกเราต้องฝึกหัด ฝึกมองตนเอง เราอย่ามองแต่คนอื่น ถ้าเราไม่มีสติปัญญา เราก็จะมองแต่คนอื่น มองจับผิดคนอื่นได้หมด เขาทำอะไรกันเราก็มองว่ามันผิดไปหมด -การมองดูตนเองหากญาติโยมจะนำไปปฏิบัติควรเริ่มต้นอย่างไรดีครับ? -พระพุทธองค์ยังสั่งสอนเอาไว้ว่าให้ดูตนเอง ฝึกฝนตนเอง แก้ไขตนเอง ปรับปรุงตนเอง จับผิดที่ตนเอง เรียกว่ามาดูที่ตัวเราก่อน อย่าไปดูคนอื่น อย่าไปเพ่งโทษคนอื่น แต่อย่างเดียว เพราะที่ผ่านมาคนเราชอบโทษคนอื่น ดังนั้น การเพ่งโทษตนเองนี้มันยาก ก็เหมือนกับเราดูขนตา ขอบตาเรา มีลูกตาแต่เราดูขนตาไม่เห็น ว่าขนตามีกี่เส้น ขนตามันยาวแค่ไหน มันมองไม่เห็นเลย ตรงนี้มันดูตนเองไม่เห็นอย่างนี้ เพราะอะไร เพราะเราขาดสติปัญญา -แสดงว่าพระอาจารย์ต้องการให้เราสำรวจตัวเอง ก่อนที่จะไปมองคนอื่นใช่ไหมครับ? มาถึงตรงนี้อาตมาอยากให้ทุกคนมองดูตนเอง ไม่ต้องมองคนอื่น เป็นเรื่องของคนอื่นไปซะก่อน ถ้าเรามีความสงสารเราก็เตือนกันได้ ถ้าหากเรายังตักเตือนตนเองไม่ได้ เราจะต้องฝึกตนเองก่อน ด้วยการตักเตือนตนเองก่อน มามองดูตนเองก่อน เพื่อจะชำระตนเองก่อน แก้ไขตนเอง เราเกิดมาไม่ใช่จะทำถูกหมด มันต้องทำผิดบ้างถูกบ้าง -แล้วจริงๆ สติสัมปชัญญะสำคัญมากน้อยแค่ไหนในโลกปัจจุบันครับ? -ไม่ว่าคนเราจะ ยืน เดิน นั่ง นอน ล้วนแล้วต้องมีสติ ถ้าเราขาดสติในการยืน เช่น ถ้าเรายืนอยู่บนสะพานที่จะข้ามน้ำก็ดี หรือยืนอยู่ ณ ที่สูงที่ใดที่หนึ่ง หรือเราไปยืนที่ขอบประตูหน้าต่างก็แล้วแต่ คนที่ขึ้นต้นไม้ก็ดี หรือคนที่ก่อสร้างตึกยืนทำงานอยู่บนไม้นั่งร้าน ถ้าขาดสติก็จะทำให้คนเหล่านั้นพลัดตกลงจากสถานที่ยืนได้ ผลของมันก็จะทำให้เกิดความเสียหาย แข้งขาหัก หรืออาจล้มตายไปก็ได้ นี่เป็นตัวอย่างของคนที่ขาดสติ -การกำหนดสติของคนเราควรจะเริ่มต้นกันอย่างไร เพื่อให้ทุกคนได้มีสติสัมปชัญญะกันครับ? อาตมาอยากบอกว่า บางคนนอนก็ต้องกำหนดว่า ตนเองกำลังนอนอยู่ ใช้สติสัมปชัญญะประคองตนเองในขณะนอน เมื่อมีสติประคองตนเองแล้วมันจะไม่ตกเตียง คนนอนอย่างมีสติหัวมันก็ไม่ตกหมอน คนนอนอย่างมีสตินั่นแหละมันมีประโยชน์ พระพุทธองค์ทรงสอนให้พวกเราศึกษา พัฒนาตนเอง ปรับปรุงตนเอง ให้มีสติสัมปชัญญะใน การ ยืน เดิน นั่ง นอน จึงจะไม่มีอันตราย -นอกจากนี้อยากถามพระอาจารย์ว่า คนเราทำบุญอย่างไรจึงได้บุญมากๆ ครับ? -ทุกวันนี้เราไม่เข้าใจวิธีทำบุญที่ถูกต้องเหมาะสม ในทางพระพุทธศาสนา ท่านจัดไว้ว่า การทำความดีที่ไม่ถูกต้อง ๔ ประการเป็นเหตุทำให้วิบัติ เป็นทางเสื่อม ไม่เจริญ ได้แก่ ทำความดีไม่ถูกที่ ทำความดีไม่ถูกบุคคล ทำความดีไม่ถูกกาลเวลา และทำความดีแล้วไม่ตามความดีของตน หากว่าเป็นคนที่พอเข้าใจเรื่องการทำบุญแล้ว เขาย่อมเลือกทำบุญได้อย่างดีและถูกต้อง เพราะเขารู้เรื่องดีว่า จะทำบุญอะไรเป็นบุญ บางส่วนจากหนังสือ ธรรมดาถาม ธรรมะตอบ โดยสุทธิคุณ กองทอง สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี ![]() ![]() ![]() ![]() http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=9335 ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=38758 |
เจ้าของ: | ธรรมบุตร [ 12 ส.ค. 2010, 19:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มองดูตนเอง (พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป) |
![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 18 ส.ค. 2010, 11:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มองดูตนเอง (พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป) |
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจงเป็นโจทก์ตนเอง จงพิพากษาตนด้วยตน" (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกายะ ธัมมปทปาฬิ เล่ม ๑๘ ข้อ ๓๗๙ ย่อหน้า ๔๐๖) "จงมีสติ คุ้มครองตน เธอนั้นจักอยู่เป็นสุข" ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | I am [ 19 ส.ค. 2010, 17:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มองดูตนเอง (พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป) |
พระพุทธองค์ยังสั่งสอนเอาไว้ว่าให้ดูตนเอง ฝึกฝนตนเอง แก้ไขตนเอง ปรับปรุงตนเอง จับผิดที่ตนเอง เรียกว่ามาดูที่ตัวเราก่อน อย่าไปดูคนอื่น อย่าไปเพ่งโทษคนอื่น สาธุครับ ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |