ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

หลวงปู่มั่นตอบปัญหาชาวกรุงเทพฯ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=33432
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ลูกโป่ง [ 27 ก.ค. 2010, 12:43 ]
หัวข้อกระทู้:  หลวงปู่มั่นตอบปัญหาชาวกรุงเทพฯ

รูปภาพ


หลวงปู่มั่นตอบปัญหาชาวกรุงเทพฯ

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

หลังจากที่ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต กลับจากเชียงใหม่
เข้าพำนักที่วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ ตามคำสั่งของ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน)
ก่อนเดินทางไปอุดรธานี ในระยะที่ท่านพักอยู่ที่นั้นปรากฏว่ามีคนมาถามปัญหากับท่านมาก
มีปัญหาของบางรายที่แปลกกว่าปัญหาทั้งหลาย ซึ่งมีดังนี้

(จาก “ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต” โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)


:b8: ชาวกรุงเทพฯ : ได้ทราบว่าท่านรักษาศีลองค์เดียว มิได้รักษาถึง ๒๒๗ องค์
เหมือนพระทั้งหลายที่รักษากันใช่ไหม


:b42: หลวงปู่มั่น : ใช่ อาตมารักษาเพียงอันเดียว


:b8: ชาวกรุงเทพฯ : ที่ท่านรักษาเพียงอันเดียวนั้นคืออะไร


:b42: หลวงปู่มั่น : คือใจ


:b8: ชาวกรุงเทพฯ : ส่วน ๒๒๗ นั้นท่านไม่ได้รักษาหรือ


:b42: หลวงปู่มั่น : อาตมารักษาใจไม่ให้คิดพูดทำในทางผิด
อันเป็นการล่วงเกินข้อห้ามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้
จะเป็น ๒๒๗ หรือมากกว่านั้นก็ตาม บรรดาที่เป็นข้อบัญญัติห้าม
อาตมาก็เย็นใจว่า ตนมิได้ทำผิดต่อพุทธบัญญัติ
ส่วนท่านผู้ใดจะว่าอาตมารักษาศีล ๒๒๗ หรือไม่นั้น
สุดแต่ผู้นั้นจะคิดจะพูดเอาตามความคิดของตน
เฉพาะอาตมาได้รักษาใจอันเป็นประธานของกายวาจาอย่างเข้มงวดกวดขันตลอดมา
นับแต่เริ่มอุปสมบท


:b8: ชาวกรุงเทพฯ : การรักษาศีลต้องรักษาใจด้วยหรือ


:b42: หลวงปู่มั่น : ถ้าไม่รักษาใจจะรักษาอะไรถึงจะเป็นศีลเป็นธรรมที่ดีงามได้
นอกจากคนที่ตายแล้วเท่านั้นจะไม่ต้องรักษาใจ แม้กายวาจาก็ไม่จำต้องรักษา
แต่ความเป็นเช่นนั้นของคนตายนักปราชญ์ท่านไม่ได้เรียกว่าเขามีศีล
เพราะไม่มีเจตนาเป็นเครื่องส่องแสดงออก
ถ้าเป็นศีลได้ควรเรียกได้เพียงว่า ศีลคนตาย
ซึ่งไม่สำเร็จประโยชน์ตามคำเรียกแต่อย่างใด
ส่วนอาตมามิใช่คนตายจะรักษาศีลแบบคนตายนั้นไม่ได้
ต้องรักษาใจให้เป็นศีลเป็นธรรมสมกับใจเป็นผู้ทรงไว้ทั้งบุญทั้งบาปอย่างตายตัว


:b8: ชาวกรุงเทพฯ : ได้ยินในตำราว่าไว้ว่ารักษากายวาจาให้เรียบร้อยเรียกว่าศีล
จึงเข้าใจว่าการรักษาศีลไม่จำเป็นต้องรักษาใจก็ได้ จึงได้เรียนถามอย่างนั้น


:b42: หลวงปู่มั่น : ที่ว่ารักษากายวาจาให้เรียบร้อยนั้นก็ถูก
แต่กายวาจาจะเรียบร้อยเป็นศีลได้นั้นต้นเหตุมาจากอะไร
ถ้าไม่เป็นมาจากใจผู้เป็นนายคอยบังคับกายวาจาให้เป็นไปในทางที่ถูก
เมื่อเป็นมาจากใจ ใจจะควรปฏิบัติอย่างไรต่อตัวเองบ้าง
จึงจะควรเป็นผู้ควบคุมกายวาจาให้เป็นศีลเป็นธรรมที่น่าอบอุ่นแก่ตัวเอง
และน่าเคารพเลื่อมใสแก่ผู้อื่นได้
ไม่เพียงแต่ศีลธรรมที่จำเป็นต้องอาศัยใจเป็นผู้คอบควบคุมรักษาเลย
แม้กิจการอื่นๆ จำต้องอาศัยใจเป็นผู้ควบคุมดูแลโดยดี
การงานนั้นๆ จึงจะเป็นที่เรียบร้อยไม่ผิดพลาด
และทรงคุณภาพโดยสมบูรณ์ตามชนิดของมัน
การรักษาโรคเขายังค้นหาสมุฏฐานของมัน
จะควรรักษาอย่างไรจึงจะหายได้เท่าที่ควร ไม่เป็นโรคเรื้อรังต่อไป
การรักษาศีลธรรมไม่มีใจเป็นตัวประธานพาให้เป็นไป
ผลก็คือความเป็นผู้มีศีลด่างพร้อย ศีลขาดศีลทะลุ
ความเป็นผู้มีธรรมที่น่าสลดสังเวช ธรรมพาอยู่ธรรมพาไปอย่างไม่มีจุดหมาย
ธรรมบอ ธรรมบ้า ธรรมแตก
ซึ่งล้วนเป็นจุดที่ศาสนาจะพลอยได้รับเคราะห์กรรมไปด้วยอย่างแยกไม่ออก
ไม่เป็นศีลธรรมอันน่าอบอุ่นแก่ผู้รักษา
และไม่น่าเลื่อมใสแก่ผู้อื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องบ้างเลย


อาตมาไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก บวชแล้วอาจารย์พาเที่ยวและอยู่ตามป่าตามเขา
เรียนธรรมก็เรียนไปกับต้นไม้ใบหญ้า แม่น้ำลำธาร หินผาหน้าถ้ำ
เรียนไปกับเสียงนกเสียงกา เสียงสัตว์ป่าชนิดต่างๆ
ตามทัศนียภาพที่มีอยู่ตามธรรมชาติของมันอย่างนั้นเอง
ไม่ค่อยได้เรียนในคัมภีร์ใบลานพอจะมีความรู้สแตกฉานทางศีลธรรม
การตอบปัญหาจึงเป็นไปตามนิสัยของผู้ศึกษาธรรมเถื่อนๆ
รู้สึกจนปัญญาที่ไม่สามารถค้นหาธรรมที่ไพเราะเหมาะสม
มาอธิบายให้ท่านผู้สนใจ ฟังอย่างภูมิใจได้


:b8: ชาวกรุงเทพฯ : คำว่าศีลได้แก่สภาพเช่นไร และอะไรเป็นเป็นศีลอย่างแท้จริง


:b42: หลวงปู่มั่น : ความคิดในแง่ต่างๆ อันเป็นไปด้วยความมีสติ
รู้สิ่งที่ควรคิดหรือไม่ควร ระวังการระบายออกทางทวารทั้งสาม
คอยบังคับกายวาจาใจให้เป็นไปในขอบเขตของศีลที่เป็นสภาพปกติ
ศีลที่เกิดจากการรักษาในลักษณะดังกล่าวมาชื่อว่ามีสภาพปกติ
ไม่คะนองทางกายวาจาใจให้เป็นกิริยาที่น่าเกลียด
นอกจากความปกติดีงามทางกายวาจาใจของผู้มีศีลว่าเป็นศีลเป็นธรรมแล้ว
ก็ยากจะเรียกให้ถูกได้ว่าอะไรเป็นศีลเป็นธรรมที่แท้จริง
เพราะศีลกับผู้รักษาศีลแยกกันได้ยาก
ไม่เหมือนตัวบ้านเรือนกับเจ้าของบ้านเรือนซึ่งเป็นคนละอย่าง
ที่พอจะแยกกันออกได้ไม่ยากนัก ว่านั่นคือตัวบ้าน และนั่นคือเจ้าของบ้าน
ส่วนศีลกับคนจะแยกจากกันอย่างนั้นเป็นการลำบาก
เฉพาะอาตมาแล้วแยกไม่ได้
แม้แต่ผลคือความเย็นใจที่เกิดจากการรักษาศีลก็แยกไม่ออก
ถ้าแยกออกได้ศีลก็อาจหลายเป็นสินค้ามีเกลื่อนตลาดไปนานแล้ว
และอาจจะมีโจรมาแอบขโมยศีลธรรมไปขายจนหมดเกลี้ยงจากตัวไปหลายรายแล้ว


เมื่อเป็นเช่นนี้ศีลธรรมก็จะกลายเป็นสาเหตุก่อความเดือดร้อนแก่เจ้าของเช่นเดียว
กับสมบัติอื่นๆ ทำให้พุทธศาสนิกชนเกิดความเอือมระอาที่จะแสวงหาศีลธรรมกัน
เพราะได้มาก็ไม่ปลอดภัย ดังนั้น ความไม่รู้ว่า “อะไรเป็นศีลอย่างแท้จริง”
จึงเป็นอุบายวิธีหลึกภัยอันอาจเกิดแก่ศีล และผู้มีศีลได้ทางหนึ่งอย่างแยบยลและเย็นใจ
อาตมาจึงไม่คิดอยากแยกศีลออกจากตัวแม้แยกได้ เพราะระวังภัยยาก
แยกไม่ได้อย่างนี้รู้สึกว่าอยู่สบาย
ไปไหนมาไหนและอยู่ที่ใดไม่ต้องเป็นห่วงว่าศีลจะหาย ตัวจะตายจากศีล
และกลับมาเป็นผีเฝ้ากองศีลเช่นเดียวกับคนเป็นห่วงสมบัติ
ตายแล้วกลับมาเป็นผีเฝ้าทรัพย์ ไม่มีวันไปผุดไปเกิดได้ฉะนั้น.


ที่มา...http://www.luangpee.net/forum/?topic=291.0

:b48: :b8: :b48:

เจ้าของ:  ธรรมบุตร [ 27 ก.ค. 2010, 16:55 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: หลวงปู่มั่นตอบปัญหาชาวกรุงเทพฯ

รูปภาพ

เจ้าของ:  modonut [ 27 ก.ค. 2010, 17:39 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: หลวงปู่มั่นตอบปัญหาชาวกรุงเทพฯ

ชอบมากครับ

ขออนุโมทนาด้วยครับ :b1:

เจ้าของ:  วรานนท์ [ 27 ก.ค. 2010, 20:29 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: หลวงปู่มั่นตอบปัญหาชาวกรุงเทพฯ

:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนา..สาธุ..จร้า.. smiley smiley smiley


:b8: :b8: :b8:

ไฟล์แนป:
111.bmp
111.bmp [ 68.55 KiB | เปิดดู 2556 ครั้ง ]

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/