ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
คติธรรมของ ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=32993 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 4 |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 04 ก.ค. 2010, 13:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | คติธรรมของ ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก |
ธรรมเป็นโอสถ...แก้ทุกข์ทางใจ . ...ที่ระลึกในการทำบุญอุทิศส่วนกุศล ถวาย... พระครูญาณวิศิษฏ์ (ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก) ครบรอบวันมรณภาพปีที่ ๒๐ วันที่ ๑๓-๑๔ พฤษภาคม ๒๕๔๙ วัดธรรมสถิต จังหวัดระยอง .......... ภาษาใจ เรื่องปาก ....ตามปกติท่านพ่อเป็นผู้ที่ประหยัดคำพูด คือ พูดตามเหตุถ้ามีเหตุที่จะต้องพูด หรืออธิบายยาว ท่านก็พูดยาวหน่อย ถ้าไม่มีเหตุอย่างนั้น ท่านก็พูดน้อยหรือไม่พูด เอาเสียเลยท่านบอกว่า ท่านถือตามคติท่านพ่อลีว่า "ถ้าจะสอนธรรมะให้เขาฟัง แต่เขาไม่ตั้งใจฟัง หรือ ไม่พร้อมที่จะรับธรรมะที่พูดไปนั้น ถึงจะดีวิเศษวิโสแค่ไหน ยังนับว่าเป็นคำเพ้อเจ้ออยู่ เพราะไม่ได้ประโยชน์อะไร"ฯ "ก่อนที่จะพูดอะไร ให้ถามตัวเองว่าที่จะพูดนี้จำเป็นหรือเปล่า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าพูด นี่เป็นขั้นแรกในการอบรมใจ เพราะถ้าเราควบคุมปากตัวเองไม่ได้ เราจะควบใจได้อย่างไร"ฯ เมตตาธรรมของท่านพ่อเป็นสิ่งที่ประจักษ์ใจแก่ลูกศิษย์ทุกคน ถ้าใครมีความทุกข์ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนชาติชั้นวรรณะใดก็ตาม ท่านก็ยินดีที่จะปรับทุกข์ให้ แล้วปลุกใจที่จะต่อสู้กับเหตุการณ์ต่อไป แต่เมตตาของท่านพ่อนั้น มีทั้งเมตตาเย็นและเมตตาร้อน คือบางครั้งต้องมีดุบ้างเป็นธรรมดา เพื่อให้ลูกศิษย์ที่ทำผิดได้แก้ตัวเอง เป็นคนดีขึ้น การดุด่าของท่านนั้นท่านไม่เคยใช้เสียงดัง น้ำเสียงเผ็ดร้อนหรือคำหยาบคายแต่ประการใด ท่านก็พูดเรียบๆ ธรรมดา แต่ความหมายของท่านเจ็บแสบ เข้าไปถึงหัวใจไม่รู้ลืม ....ครั้งหนึ่งมีลูกศิษย์คนหนึ่งปรารภกับท่าน"ท่านพ่อ ทำไมคำพูดของท่านพ่อ บางครั้งเจ็บถึงหัวใจเลย"ท่านก็ตอบว่า"ดีแล้วจะได้จำ ถ้าไม่ว่าถึงใจผู้ฟังมันก็ไม่ถึงใจผู้ว่าเหมือนกัน"ฯ การที่ท่านพ่อจะติลูกศิษย์นั้น ท่านก็ดูความตั้งใจของลูกศิษย์เป็นเกณฑ์ ถ้าศิษย์คนไหนตั้งใจปฏิบัติ ท่านจึงจะติ ยิ่งตั้งใจ ท่านก็ยิ่งติใหญ่ เพราะท่านคงถือว่า คนประเภทนี้จะได้ใช้คำติท่านให้เกิดประโยชน์ |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 04 ก.ค. 2010, 13:54 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คติธรรมของ ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก |
...ครั้งหนึ่งมีลูกศิษย์ฆราวาสคนหนึ่งที่ไม่เข้าใจหลักนี้ไปช่วยพยาบาลท่านพ่อ ในระหว่างที่ท่านป่วยอยู่ที่กรุงเทพฯ ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามปฏิบัติท่านให้ดีที่สุด ก็ไม่วายที่จะถูกติอยู่เรื่อย จนกระทั่งเขาคิดที่จะหนีท่านเลย พอดีมีฆราวาสอีกคนหนึ่ง เข้ามาเยี่ยมไข้ ท่านพ่อจึงพูดกับคนที่มาเยี่ยม"การติของครูบาอาจารย์นั้นมีอยู่สองอย่าง คือ ติเพื่อเพื่อให้ไปกับติเพื่อให้อยู่" ...พอคนแรกได้ยินอย่างนี้ ก็เข้าใจทันที แล้วก็ยินดีที่จะอยู่ปฏิบัติท่านต่อไปฯ นิทานเรื่องหนึ่งที่ท่านพ่อชอบเล่าให้ฟังเป็นคติเตือนใจคือเรื่อง "หงส์หามเต่า" ....ครั้งหนึ่งมีหงส์สองตัวชอบแวะกินน้ำที่สระแห่งหนึ่งเป็นประจำ ในระหว่างนั้นได้รู้จักกับเต่าตัวหนึ่งที่อยู่ในสระ คุยกันไปคุยกันมาเกิดความคุ้นเคยกันเข้า แล้วต่างฝ่ายก็ต่างเล่าเรื่องต่างๆ ที่ได้ผ่านมาในชีวิต พอเต่าฟังพวกหงส์เล่าถึงสิ่งต่างๆที่เคยเห็นในระหว่างบินอยู่บนท้องฟ้า ก็รู้สึกเสียดายที่ตนเองบินไม่ได้ ไม่มีโอกาสวาสนาที่จะเห็นโลก อย่างเขาบ้าง แต่หงส์ก็ปลอบใจเต่าว่า "ไม่เป็นไร เดี๋ยวพวกเราจะหาวิธีพาเธอขึ้นบนท้องฟ้าให้ได้ ง่ายนิดเดียว" เขาก็เลยหาไม้ ท่อนหนึ่งมา หงส์สองตัวใช้ปากคาบปลายไม้ไว้คนละข้าง แล้วให้เต่าใช้ปากเกาะไว้ตรงกลาง หงส์สองตัวจึงบินขึ้นฟ้าพาเต่าไปเที่ยวด้วย ฝ่ายเต่าได้เห็นอะไรหลายๆอย่างที่ไม่เคยในชีวิตก็รู้สึกตื่นเต้น ดีใจมาก ....พอดีมีเด็กกลุ่มหนึ่งเห็นหงส์พาเต่าเที่ยวบนฟ้าจึงร้องตะโกน"ดูซิ หงส์หามเต่า หงส์หามเต่า หงส์หามเต่า" ฝ่ายเต่าก็เกิดเขินขึ้นมา จึงกะว่าจะตะโกนกลับไปว่า"ไม่ใช่ เต่าหามหงส์" เพื่อแก้เขิน แต่พอจะอ้าปากพูด ก็ตกกระดองแตกตาย ...ท่านพ่อก็สรุปความว่า"เดินดินระวังเท้า เข้าที่สูงระวังปาก"ฯ เย็นวันหนึ่งมีลูกศิษย์สาวๆ ๓-๔ คน ที่เป็นเพื่อนกันได้มาเจอกันพอดี ที่ตึกเกษมฯ ฉะนั้นแทนที่จะนั่งภาวนากับท่านพ่อ เขาก็หามุมไปตั้งวงคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ตามประสาสาวๆ ที่ทำงานในกรุงเทพฯ คุยยกันเพลินไปจนไม่สังเกตุว่า ท่านพ่อเดินผ่าน ท่านจึงจุดไม้ขีดไฟก้านหนึ่งโยนลงไปกลางวง ทำให้วงแตกทันที คนหนึ่งก็ร้อง"ว้าย ทำไมท่านพ่อทำอย่างนั้น หนูเกือบโดน" ท่านพ่อก็ยิ้มน้อยๆแล้วบอกว่า"เผามันซะบ้าง ไอ้ฝอยที่มันกองอยู่ตรงนั้น เผามันซะบ้าง"ฯ |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 04 ก.ค. 2010, 14:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คติธรรมของ ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก |
"หูเราก็มี ๒ หู ปากก็มีปากเดียว แสดงว่าเราต้องฟังให้มาก ต้องพูดให้น้อย"ฯ ศิษย์ที่เป็นคนช่างพูดเคยถูกท่านพ่อเตือนว่า"อย่าให้ลมออกมานะ ลมออกมากได้อะไรขึ้นมา มีแต่เรื่อง ให้กำหนดลมเข้าจะดีกว่า"ฯ "เรามีอะไรเกิดขึ้นในระหว่างภาวนา เราไม่ต้องไปเล่าให้ใครฟังนอกจาก อาจารย์ของเรา เรามีอะไรไปอวดเขาทำไม เป็นกิเลสไม่ใช่หรือ"ฯ "คนชอบขายความดีของตัวเอง ที่จริงขายความโง่ของตัวเองมากกว่า"ฯ "ของดีจริงไม่ต้องโฆษณา"ฯ "ให้มีคมในฝัก ให้ถึงเวลาที่จะต้องใช้จริงๆ จึงค่อยชักออกมาจะได้ ไม่เสียคม"ฯ ท่านพ่อได้ยินศิษย์สองคนนั่งคุยกัน คนหนึ่งถามปัญหา อีกคนหนึ่งตอบโดย เริ่มต้นว่า "เข้าใจว่า คงจะ..." แต่ท่านพ่อก็ตัดบททันที "ถ้าไม่รู้ก็ตอบว่าไม่รู้ก็หมดเรื่อง เขาขอความรู้ เราก็ให้ความเดามันถูกที่ไหน"ฯ ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งรู้ตัวว่า เป็นคนที่พูดจาไม่ค่อยเรียบร้อย จึงถามท่านพ่อว่า ข้อนี้จะเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติใจไหม ท่านตอบว่า"อย่าไปข้องใจกับกิริยาภายนอก ให้ภายในของเราดีเป็นสำคัญ"ฯ |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 04 ก.ค. 2010, 14:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คติธรรมของ ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก |
ภาษาใจ....เรื่องท้อง "ลิ้นคนเรามันยาวนะ อยู่เฉยๆ มันก็แลบไปถึงโน่น ทะเลอยากกินของทะเล เดี๋ยวก็แลบไปถึงเมืองนอก อยากกินของจากเมืองนอก ต้องฝึกให้มันหดเข้าซิ"ฯ "เวลากินข้าวให้ใจอยู่กับลม แล้วพิจารณาดูว่า เรากินเพื่ออะไร ถ้าเรามัวแต่กินเพื่อเอร็ดอร่อย อาหารที่กินเข้าไปนั้น ให้โทษกับเราได้"ฯ เมื่อท่านพ่อกลับจากอเมริกาใหม่ๆ มีศิษย์คนหนึ่งถามท่านว่า ได้มีโอกาสฉันพิซซ่าที่นั่นบ้างหรือเปล่า ท่านก็รับว่าได้ฉันและหอมอร่อยด้วย ที่ท่านตอบอย่างนี้ ทำให้ลูกศิษย์ที่ไปอเมริกาด้วยกันเกิดแปลกใจ จึงพูดกับท่านว่า "เห็นท่านพ่อฉันแค่สองคำ นึกว่าท่านคงไม่ชอบ" ท่านพ่อก็ตอบว่า"กินคำสองคำก็อิ่มแล้ว จะให้กินเพื่ออะไรอีก"ฯ บางครั้งมีโยมบางคนที่ตั้งใจดีแต่ขาดการพิจารณาเข้ามาหาท่านพ่อแล้ว ถามในสิ่งที่ไม่ควรถาม ท่านพ่อจะหาคำตอบที่จะให้เขาสำนึกตัวเองบ้าง เช่น ครั้งหนึ่งมีโยมคนหนึ่งนึกอยากจะทำอาหารถวายท่านพ่อ จึงถามท่านว่า "ท่านพ่อคะ ท่านพ่อชอบฉันอะไร" ท่านก็ตอบว่า"ชอบฉันของที่มีอยู่"ฯ คืนวันหนึ่ง มีศิษย์กลุ่มหนึ่งนั่งรถจากกรุงเทพฯ ไปวัดธรรมสถิต พอดีมีคนอื่นฝากส้มหนึ่งเข่งไปถวายวัดด้วย ในระหว่างทางมีศิษย์หัวใสคนหนึ่งนึกอยากกินส้ม จึงชวนเพื่อนให้กินด้วย โดยอ้างว่า"เราเป็นลูกท่านพ่อ ท่านคงอยากให้เรากิน ถ้าคนไหนไม่กินก็ไม่ใช่ลูกท่านพ่อ" บางคนในรถกำลังถือศีล ๘จึงรอดไป นอกนั้นทุกคนช่วยกันกินมากกบ้างน้อยบ้าง ทั้งๆที่บางคนกินแล้วไม่สบายใจ พอถึงวัดก็เล่าให้ท่านพ่อฟัง ท่านก็เลยว่าอย่างเสียหายว่า คนไหนกินของวัดโดยไม่ได้ถวายพระก่อนก็จะต้องเกิดเป็นเปรต ศิษย์คนหนึ่งเกิดตกใจมากจึงรีบแก้ตัวว่า"ก็หนูกิน แค่กลีบเดียวท่านพ่อ" ท่านก็ตอบว่า"ไหนๆจะตกเป็นเปรต น่าจะกินมากๆจะได้อิ่ม"ฯ ในระหว่างพรรษา พ.ศ. ๒๕๒๐ มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง มาฝึกภาวนากับท่านพ่อที่วัดเป็นประจำแทบทุกวัน มีแปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือเวลาใจมีอาการอะไร เกิดขึ้นก็มักจะคล้ายๆกันพร้อมๆกันทั้งคู่ ครั้งหนึ่งทั้งสองคนเกิดอาการกินข้าวไม่ลง เพราะเห็นแต่ความปฏิกูลในอาหาร เป็นมา ๓-๔ วัน จึงสงสัยตัวเองว่า ได้ปฏิบัติธรรมถึงขั้นไหนแล้ว พอดีมีโอกาสมาหาท่านพ่อที่วัดแล้วเล่าความสงสัยให้ท่านฟัง ท่านก็เลยให้นั่งภาวนาแล้วบอกว่า"ให้พิจารณาอาหารดูซิ ว่าเป็นอะไร ก็เป็นแค่ธาตุใช่ไหม แล้วตัวเราเองคืออะไร ก็เป็นธาตุเหมือนกันธาตุก็ต้องอาศัยธาตุบำรุง จึงจะอยู่ได้ แล้วจะมาถืออะไรนักหนา ว่าเขาสกปรกปฏิกูล ตัวเราเองก็สกปรกปฏิกูล เหมือนกันที่พระพุทธเจ้าสอนให้เห็นความปฏิกูลในอาหาร ก็เพื่อกำจัดความลุ่มหลง ไม่ใช่สอนเพื่อกินข้าวไม่ได้" ....ปัญหาที่ว่ากินข้าวไม่ลงนั้น เลยหายไปฯ |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 04 ก.ค. 2010, 14:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คติธรรมของ ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก |
บุญ ...ลูกศิษย์ท่านพ่อคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ครั้งแรกที่ไปพบท่าน ท่านก็ถามว่า "เคยทำบุญที่ไหนบ้าง" เขาก็ตอบว่า เคยไปช่วยสร้างพระพุทธรูปที่วัดนั้น ช่วยสร้างเมรุ ที่วัดนี้ ฯลฯ ท่านก็เลยถามอีกว่า "ทำไมไม่ทำที่ใจล่ะ"ฯ "สร้างพระไว้ในใจของเรา ได้บุญยิ่งกว่าสร้างพระข้างนอก"ฯ ครั้งหนึ่งท่านพ่อใช้ลูกศิษย์คนหนึ่งถางหญ้าที่วัด คนนั้นก็ทำไปโดยไม่เต็มใจ คิดแต่ในใจว่า "กรรมอะไรน้อ ที่ต้องทำงานอย่างนี้" พอเขาทำเสร็จ ท่านพ่อก็บอกว่า "โยมได้บุญหรอก แต่ได้ไม่เต็มที่" "โฮท่านพ่อ ทำถึงขนาดนี้ยังไม่ได้หรือ" "โยมจะให้ได้เต็มที่ บุญก็ต้องถึงใจ"ฯ เรื่องหญ้ายังมีอีก วันหนึ่งท่านพ่อชี้หญ้าที่ขึ้นรกบริเวณกุฏิท่านให้โยม คนหนึ่งดู แล้วถามเขาว่า"หญ้าปากคอกโยมไม่เอาหรือ" "เป็นยังไงท่านพ่อ หญ้าปากคอก" "ก็บุญที่อยู่ใหล้ตัว ที่คนอื่นเขามองข้ามไป นั่นเรียกว่า หญ้าปากคอก"ฯ อีกครั้งหนึ่งท่านพ่อพาลูกศิษย์จากกรุงเทพฯ ขึ้นไปทำความสะอาดบริเวณพระเจดีย์ พอดีเจอเศษขยะที่ใครไม่ทราบทิ้งไว้บนนั้น ลูกศิษย์คนหนึ่งจึงบ่นว่า"แหม ไม่น่าจะมีใครขาดความเคารพถึงขนาดนี้" แต่ท่านพ่อบอกว่า "อย่าไปว่าเขานะ ถ้าเขาไม่ได้ทิ้งของไว้ พวกเราจะไม่มีโอกาสเอาบุญ"ฯ วันหนึ่งมีโยมนำอาหารถวายท่านพ่อที่วัดมกุฏฯ แต่พอดีวันนั้นท่านได้รับนิมนต์ไปฉันข้างนอก เขาก็รอจนหมดเวลาเห็นท่านไม่มา จึงเอาหารนั้นไปกินเสียเอง พอท่านพ่อกลับมาถึงวัด เขาก็บ่นเสียดายว่า "แหม ลูกตั้งใจเอาอาหารมาถวายท่านพ่อ แต่ท่านพ่อไม่อยู่" "แล้วเอาอาหารนั้นไปทำอะไร" "ก็รอจนหมดเวลา เลยกินเอง" "แล้วจะเอาอะไรอีก บุญก็ได้ ไส้ก็อิ่ม"ฯ |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 04 ก.ค. 2010, 15:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คติธรรมของ ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก |
ในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๒๒ มีคนกลุ่มหนึ่งมาหาท่านพ่อที่วัดมกุฏฯ บ่อยๆ พอเห็นคนอื่นทำบุญกับท่านพ่อหรือเล่าเหตุการณ์ที่ปรากฏในสมาธิ เขาจะต้องยกมือไหว้แล้วว่า"สาธุ อนุโมทนา" เป็นเสียงดังๆพร้อมๆ กันทุกครั้งไป ท่านพ่อจึงตั้งฉายากลุ่มนี้ว่า "พวกหุ้นลม"ฯ ทำดีให้มันถูกตัวดี อย่าให้มันดีแต่กิริยา"ฯ วันหนึ่ง หลังจากชื่อท่านพ่อปรากฏอยู่ในวารสารฉบับหนึ่ง มีผู้ชายสามคนลางานแล้วขับรถมาจากกรุงเทพฯ มาระยอง เพื่อกราบนมัสการท่านพ่อที่วัด พอกราบเสร็จเขาก็สนทนาสักพักหนึ่งแล้วถามท่านพ่อว่า"พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่เราพอจะกราบขอบารมีท่าน คงยังมีอยู่ในประเทศไทยเราใช่ไหมครับหลวงพ่อ" "มีหรอก" ท่านพ่อตอบ "แต่ถ้าเราเที่ยวไปขอบารมีจากท่านบ่อยๆ โดยไม่ได้สร้างของเราเอง ท่านเห็นว่าเราเป็นขี้ขอท่านคงจะขี้เกียจให้"ฯ ครั้งหนึ่งมีโยมที่ปากน้ำสมุทรปราการบอกผ่านลูกศิษย์ของท่านพ่อว่า อยากจะถวายปัจจัยหลายหมื่นบาทเพื่อช่วยสร้าง พระใหญ่ที่วัดธรรมสถิต แต่จะขอให้ท่านพ่อไปรับที่บ้านเขา พอลูกศิษย์ถวายท่านพ่อ ท่านก็ปฏิเสธทันที โดยพูดกับลูกศิษย์ว่า"คนเราต้องไปหาบุญ ไม่ใช่ว่าจะให้บุญมาหาเรา"ฯ อีกครั้งหนึ่ง มีโยมโทรศัพท์ผ่านสำนักงานวัดมกุฏฯ ว่าเขาจะทำบุญที่บ้าน แล้วอยากจะนิมนต์ท่านพ่อไปฉันในงานนั้นด้วย เพราะได้ข่าวว่าท่านเป็นพระสุปฏิปันโน พอพระจากสำนักเล่าถวายท่านพ่อ ท่านก็ปฏิเสธที่จะไป แล้วต่อท้ายว่า"ข้าวของเขาจะวิเศษถึงขนาดนั้นหรือ ต้องเป็นพระอริยะเจ้าจึงจะให้กิน"ฯ มีคนมาปรารภกับท่านพ่อว่า อยากจะทำบุญวันเกิด ท่านก็บอกว่า "ทำไมต้องทำวันเกิด ทำวันอื่นไม่เป็นบุญหรือ คิดอยากจะทำบุญเมื่อไร ก็ให้รีบทำวันนั้น อย่าไปรอวันเกิด กว่าจะถึงวันเกิดเราอาจจะถึงวันตายก่อนก็ได้"ฯ อีกคนหนึ่งบอกกับท่านพ่อว่า จะทำบุญฉลองวันเกิด ท่านก็ตอบว่า "ฉลองมันทำไม วันเกิดก็คือวันตายนั่นแหละ"ฯ "มัวแต่นึกถึงวันเกิด ให้นึกถึงวันตายเสียบ้าง"ฯ |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 04 ก.ค. 2010, 15:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คติธรรมของ ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก |
คนเราทุกคนก็อยู่ในบัญชีตาย พอเกิดมาเราก็เข้าคิวรอเขาประหารชีวิต จะถึงตัวเราเมื่อไรก็ไม่มีใครรู้ ฉะนั้น เราจะประมาทไม่ได้ ต้องรีบสร้างความดีของเราให้ถึงพร้อม"ฯ มีลูกศิษย์ต่างชาติมาปฏิบัติธรรมกับท่านพ่อใหม่ๆ ถามถึงเรื่องชาติก่อน-ชาติหน้า ว่ามีจริงหรือไม่ ท่านตอบว่า "คนเราจะปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าสอนให้เชื่ออย่างเดียว คือเชื่อกรรม นอกจากนั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่สำคัญ"ฯ ท่านพ่อเคยปรารภคนที่ไม่สนใจนั้งภาวนา แต่ยินดีช่วยงานก่อสร้างในวัด ว่า "บุญเบาๆ เขาไม่ชอบ ต้องหาบุญหนักๆ ให้เขาทำ จึงจะถึงใจเขา"ฯ เมื่อครั้งสร้างเจดีย์เสร็จใหม่ๆ มีลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งนั่งคุยกันชื่นชมยินดี ในผลานอสงส์ผลบุญ ที่เขาจะต้องได้รับจากการสร้างบุญคราวนี้ เผอิญท่านพ่อ เดินผ่านไปได้ยินเข้า จึงพูดเปรยๆว่า "อย่าไปติดอยู่ในวัตถุ ทำบุญแล้วอย่าไปติดในบุญ มัวแต่เอาใจไปคิดว่า เจดีย์นี้ฉันสร้างมากับมือ ดีไม่ดีเป็นลมตายไปตอนนี้ แทนที่จะได้เกิดเป็นชาวฟ้าชาวสวรรค์กับเขา จะต้องไปเกิดเป็นเปรตงูเหลือม เฝ้าเจดีย์ก่อนสัก ๗ วัน เพราะใจมัวแต่ไปข้องยึดอยู่ในวัตถุว่า ของฉัน ของกู อยู่ นั่นแหละ พอจะตายก็เจดีย์ของกู"ฯ "คนเรา ถ้าทำดีแล้วติดดี ก็ไปไม่รอด เมื่อใจยังมีติด ภพชาติยังมีอยู่"ฯ บางครั้งเวลาลูกศิษย์นั่งภาวนาหรือทำการบุญใดๆ ท่านพ่อจะสอนให้ อธิษฐานใจไว้ก่อน แต่คำที่จะสอนให้อธิษฐานนั้น จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล บางครั้งท่านจะสอนให้อธิษฐานตามแบบฉบับของพระเจ้าอโศกว่า"เกิดชาติหน้า ขอให้มีความสามารถในตัวของตัวเอง นั่นก็พอ"ฯ บางครั้งท่านจะสอนว่า "อย่าไปอธิษฐานอะไรให้มากมาย เกิดชาติหน้า ฉันใด ขอให้ได้เกิดตามพุทธศาสนาก็แล้วกัน"ฯ แต่ไม่ใช่ว่า ท่านพ่อจะสอนลูกศิษย์ทุกคนให้อธิษฐานใจเวลาทำบุญ ศิษย์คนหนึ่งเคยกราบเรียนท่านว่า เวลาทำบุญจิตรู้สึกเฉยๆ ไม่นึกอยากจะขออะไรทั้งสิ้น ท่านก็บอกว่า"ถ้าจิตมันเต็มแล้ว ไม่ต้องขอก็ได้ เหมือนเราทานข้าวมันก็ต้องอิ่ม ถึงจะขอหรือไม่ขอให้มันอิ่ม อย่างไรมันก็ต้องอิ่ม"ฯ |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 05 ก.ค. 2010, 14:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คติธรรมของ ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก |
คนเข้าวัด ......ลูกศิษย์ท่านพ่อคนหนึ่งทำการค้าขายเป็นอาชีพ เคยมีลูกค้ามาตำหนิว่า"นี้เป็นคนเข้าวัด ไม่น่าจะโลภมากคิดราคาแพงอย่างนี้ คนเข้าวัดน่าจะคิดถูกๆ เอาแต่พออยู่พอกิน" ตัวเขาเองก็รู้อยู่ว่าราคาที่เขาตั้งนั้นเป็นราคาที่ยุติธรรม ไม่ได้คดโกงหลอกลวงใคร แต่ถึงอย่างนั้นยังตอบลูกค้าเหล่านี้ไม่ถูก จึงไปปรึกษากับท่านพ่อ ท่านก็บอกว่า ให้เขาตอบอย่างนี้สิ"ก็ฉันไม่ได้เข้าวัดเพื่อให้โง่"ฯ โยมคนหนึ่งมาวัดธรรมสถิตเป็นครั้งแรก กำหนดจะอยู่ถือศีล-ภาวนา เป็นเวลา ๒ อาทิตย์ ท่านพ่อก็เตือนว่า"ฆราวาส ออกจากบ้าน ก็เหมือนสมภารออกจากวัด จะไปหหาความสะดวกสบายไม่ได้นะ"ฯ โยมคนหนึ่งมาพักภาวนาที่วัด กะว่าจะอยู่สักอาทิตย์หนึ่ง แต่พอถึงวันที่สอง ก็ไปหาท่านพ่อเพื่อลากลับกรุงเทพฯ เพราะเป็นห่วงทางบ้าน ท่านพ่อจึงสอนให้ตัดกังวลอย่างนี้ "ให้คิดเสียว่าเรามาอยู่ที่นี่เหมือนตายไปแล้ว คนทางบ้านจะอยู่อย่างไร เขาก็ต้องอยู่ของเขาได้"ฯ เคยมีศิษย์หลายคนที่ขอใช้เวลาพักร้อนมาถือศีล ๘ ที่วัด แต่ไม่มีชุดขาวที่จะนุ่งห่ม หรือถึงจะมีเวลาถูกท่านพ่อใช้ให้ทำงานในวัด ก็กลัวชุดขาวจะเปรอะเปื้อน ท่านพ่อจะสั่งให้ใส่ชุดธรรมดาแล้วทำงานไป โดยกำชับไว้ว่า "ขาวข้างนอกไม่สำคัญ ให้ใจขาวข้างในดีกว่า"ฯ โยมคนหนึ่งมาหาท่านพ่อในช่วงก่อนเข้าพรรษาแล้วเล่าให้ท่านฟังว่า ตัวเองอยากจะรักษาศีล ๘ ในพรรษาบ้าง แต่กลัวว่า อดข้าวเย็นแล้วจะหิว ท่านก็ว่าใหญ่"พระพุทธเจ้าอดข้าวจนเนื้อไม่มี เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เพื่อเอาธรรมะมาสอนพวกเรา แต่เราจะอดข้าวแค่มื้อเดียวก็ทนกันไม่ไหวแล้ว นี่เป็นเพราะอันนี้ที่เรายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่นี่" ทำให้โยมคนนั้นตั้งใจจะรักษาศีล ๘ ในพรรษานั้นให้จงได้ ....ในที่สุดก็ได้ถือศีล ๘ ทุกวันพระในพรรษาจนสำเร็จ เมื่อออกพรรษาแล้ว ก็รู้สึกภูมิใจตัวเองมาก แต่พอเข้าไปหาท่านพ่อที่วัดมกุฏฯ ยังไม่ได้ทันเล่าอะไรให้ท่านฟัง ท่านก็พูดขึ้นมาว่า"ดีนะพรรษาของเรามีแค่ ๑๒ วัน เราก็สบายซิของคนอื่นก็ตั้ง ๓ เดือน" ทำให้โยมคนนั้นรู้สึกละอายแก่ใจ จึงตั้งใจรักษาศีล ๘ ตลอดพรรษาทุกปี ตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงทุกวันนี้ฯ |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 05 ก.ค. 2010, 15:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คติธรรมของ ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก |
ลูกศิษย์คนหนึ่งนั่งภาวนากับท่านพ่อ แล้วเผลอไปตบยุงที่มากัดที่แขน ท่านก็เลยตั้งข้อสังเกตุว่า"แหม เรานี้คิดแพงนะ มันมาขอเลือดเรานิดเดียว แต่เราเอาถึงชีวิต"ฯ ศิษย์อีกคนหนึ่งปรารภเรื่องศีลข้อที่ ๕ กับท่านพ่อว่า "ที่พระพุทธเจ้า ทรงห้ามกินเหล้านั้น ก็เพราะว่าคนส่วนใหญ่กินเหล้าแล้วขาดสติ แต่ถ้ากินโดยมีสติ คงไม่เป็นไรใช่ไหมท่านพ่อ" ท่านพ่อก็ตอบว่า"ถ้าเรามีสติจริง เราจะไม่กินมันเลย"ฯ อุบายแก้ตัวสำหรับผู้ที่จะไม่รักษาศีลข้อที่ ๕นี้ รู้สึกว่ามีมากต่อมาก อีกวันหนึ่งศิษย์คนหนึ่งนั่งสนทนากับท่านพ่อ ในขณะที่ศิษย์คนอื่นกำลังนั่งภาวนาในห้องนั้นด้วย เขาก็พูดว่า"การที่จะไม่กินเหล้านั้นผมทำไม่ได้ครับ เพราะผมอยู่ในสังคม บางครั้งผมก็ต้องกินไปตามสังคมเขา" ท่านพ่อก็ชี้คนที่นั่งหลับตาอยู่รอบๆตัวเขา แล้วถามว่า"ก็สังคมนี้ไม่เห็นกินเหล้ากัน ทำไมไม่ทำตามสังคมนี้บ้าง"ฯ ศิษย์คนหนึ่งเห็นคนอื่นจะไปถือศีล ๘ ที่วัดอโศการาม ในงานประจำปีท่านพ่อใหญ่ จึงเล่าให้ท่านพ่อฟังว่า ตัวเองนึกอยากจะไปถือศีล ๘ กับเขาด้วย ท่านก็ตอบว่า"ระวัง อย่าให้เป็นศีลแปดเปื้อนก็แล้วกัน"ฯ ศิษย์อีกคนหนึ่งเห็นเพื่อนถือศีล ๘ กันที่วัดก็เลยอยากถือกับเขาบ้าง แต่พอตะวันบ่าย เดินผ่านกุฏิพระ เห็นลูกฝรั่งสวยๆแล้วเก็บใส่ปาก ท่านพ่อเห็นก็ทักทันที "ไหนว่าจะถือศีล ๘ มีอะไรอยู่ในปาก" ลูกศิษย์ก็สะดุ้ง เพราะสำนึกได้ว่าศีลขาด ท่านพ่อก็เลยปลอบใจว่า "คนเราจะถือศีล ๘ นั้น ไม่ค่อยจำเป็นนัก แต่ขอให้ถือศีล ๑ ก็แล้วกัน รู้จักไหมศีล ๑" ...."เป็นยังไงท่านพ่อ" ....."ศีล๑ ก็คือ การไม่ทำชั่วนั่นแหละ ยึดข้อนี้ไว้ให้มั่น"ฯ ครั้งหนึ่งมีผู้ชายอายุกลางคนมาเที่ยววัด แล้วเกิดแปลกใจที่ได้เห็นว่ามีพระฝรั่ง เขาก็เล่าความแปลกใจให้ท่านพ่อฟังว่า"ทำไมฝรั่งจึงบวชได้" ท่านพ่อก็ตอบว่า"ฝรั่งเขาไม่มีใจหรือ"ฯ เคยมีผู้ชายมาขอบวชอยู่กับท่านพ่อ ๗ วัน ท่านก็บอกว่า "ไปบวชเผือก บวชมัน เอาไปกิน ๗ วันยังดีกว่า"ฯ |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 05 ก.ค. 2010, 16:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คติธรรมของ ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก |
:b51: มีหลายกรณีที่พ่อแม่บางคนเห็นว่า ลูกชายเป็นคนเลี้ยงยากหรือเลี้ยงไม่ไหว ก็โยนปัญหาไปให้พระ คือฝากลูกชายให้อยู่วัด ให้พระดัดนิสัยบ้าง ครั้งหนึ่งท่านพ่อปรารภเรื่องนี้แล้วพูดว่า "ตอนมันทุกข์ก็วิ่งมาหาพระ ไอ้ตอนมันสุขไม่เห็นนึกถึงพระกันเลย"ฯ สมัยหนึ่งมีชีปะขาวที่ใช้กำลังสมาธิรักษาโรคได้ลงประวัติของตัวเอง ในวารสาร อ้างว่า แกเคยไปกราบท่านพ่อที่วัดมกุฏฯ แล้วท่านพ่อรับรองว่าแกได้ฌาน ซึ่งฟังแล้วก็รู้สึกว่าผิดจากปกตินิสัยท่านพ่อ แต่เมื่อชื่อของท่านปรากฏอยู่ในวารสารนั้นแล้ว มีคนมาหาท่านที่วัดมากกว่าปกติ โดยหลงไปเข้าใจว่าท่านเป็นหมอดูหรือ หมอรักษาโรคเหมือนชีปะขาวคนนั้น มีคนหนึ่งมาถามท่านว่า ท่านรักษาโรคไตได้ไหม ท่านก็ตอบว่า"ฉันรักษาได้แต่โรคเดียว คือ โรคใจ"ฯ มีคนหนึ่งที่เคยศึกษาธรรมะมามากพอสมควรไปกราบ ท่านพ่อที่วัดมกุฏฯ แล้วเล่าถึงธรรมะที่เขาเคยศึกษามากมายพอเขากลับ ท่านพ่อก็เอ่ย "รู้มากก็ยากนาน คนรู้น้อยก็พลอยรำคาญ"ฯ โยมคนหนึ่งขออนุญาตจดธรรมะของท่านพ่อเพื่อกันลืม ท่านก็ปฏิเสธโดยบอกว่า "เราเป็นคนอย่างนั้นหรือ ไปไหนก็ต้องมีข้าวห่อติดตัว กลัวจะอดข้างหน้า" แล้วท่านก็ให้เหตุผลต่อไปว่า"ถ้าเรามัวแต่จดไว้ เราจะถือว่า ถึงลืมก็ไม่เป็นไร เพราะยังอยู่ในสมุด ผลสุดท้าย ธรรมะจะอยู่ในสมุดหมด ไม่มีเหลืออยู่ในใจของเรา"ฯ ในระหว่างการก่อสร้างเจดีย์ที่วัดธรรมสถิต มีช่วงหนึ่งที่ลูกศิษย์ที่ไปช่วยงานก่อสร้างเกิดทะเลาะกัน ลูกศิษย์คนหนึ่งที่ไม่พอใจในเหตุการณ์ไปรายงานท่านพ่อ ซึ่งขณะนั้นพักอยู่ที่วัดมกุฏฯพอเขารายงานเสร็จ ท่านพ่อก็ถามว่า "รู้จักหินไหม"...."รู้จักค่ะ" "รู้จักเพชรไหม".........."รู้จักค่ะ" "แล้วทำไมไม่เลือกเก็บเพชรล่ะ เก็บมันทำไมหิน"ฯ |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 05 ก.ค. 2010, 16:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คติธรรมของ ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก |
คนบางคนที่ปฏิบัติธรรมแล้ว เจอปัญหาที่พ่อแม่ไม่เห็นดีด้วยที่ลูกมาสนใจทางนี้ เคยมีศิษย์ท่านพ่อคนหนึ่งเกิดความไม่พอใจต่อพ่อแม่เมื่อปัญหานี้เกิดขึ้น แต่ท่านพ่อก็เตือนเขาไว้ว่า"พ่อแม่เป็นผู้มีพระคุณต่อเรา ถ้าเราไปโกรธเขาไปว่าเขา ไฟนรกก็สุมอยู่ที่หัวเรานะ ให้ระวังไว้ แล้วตรองไว้อีกให้ดีๆ ที่เขาไม่เห็นประโยชน์ในการปฏิบัติของเรา ให้ถามตัวเองว่า ทำไมไม่เสือกไปเกิดกับพ่อแม่ที่เขา มีความสนใจในการปฏิบัติธรรมกันบ้าง ที่เรามาเกิดกับพ่อแม่ของเรา แสดงว่าเราได้ทำกรรมร่วมกับเขาไว้ ฉะนั้นเราจึงต้องใช้กรรมไป ไม่จำเป็นที่จะต้องตอบโต้กับเขา"ฯ บางครั้งพอถึงเวลาปิดเทอม จะมีเด็กนักเรียนจากกรุงเทพฯ จำนวนหนึ่ง มาช่วยงานที่วัด พอดีมีเด็กคนหนึ่งกลัวผีเอามากๆ ท่านพ่อจึงใช้ให้เด็กคนนั้นขึ้น-ลงเขา เพื่อเอาสิ่งนั้นสิ่งนี้ในเวลากลางคืนอยู่เสมอๆ เพื่อให้เด็กชินกับความมืดและความเงียบสงัดจะได้จัดการกับความกลัวผีได้ แต่เด็กคนนั้นยังไม่วายที่จะกลัวอยู่นั่นเอง จึงออกปากกขอคาถากันผีจากท่านพ่อ ท่านก็หัวเราะแล้วบอกว่า"ผีเผอที่ไหนมี มัวแต่กลัวผีนอกอยู่นั่นแหละ ที่อยู่กับผีในไม่รู้จักกลัว ตัวเรานี้นะผีเหมือนกัน ผีเป็นนะ รู้จักไหม ป่าช้าผีดิบดีๆ นี่เอง ทั้งผีหมู ผีวัว ผีควาย ผีเป็ด ผีไก่ สารพัด ที่อยู่ในท้อง เดินไปไหนก็เอาป่าช้าผีดิบติดตัวไปด้วย ยังจะกลัวอะไรอีก เอาล่ะ ถ้าอยากได้คาถา ก็จะให้ เอาไปท่องจำให้ขึ้นใจนะ ผีตายหลอกผีเป็น เกิดมาไม่เคยเห็น มีแต่ผีเป็นหลอกผีตาย"ฯ ถ้าใจเรามั่นในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พวกที่เขาเล่นของ เล่นไสยศาสตร์ จะทำอะไรเราไม่ได้"ฯ ท่านพ่อเคยปรารภนักปฏิบัติที่ยังนับถือคนเข้าทรง ว่า"ถ้าต้องการให้การปฏิบัติได้ผลดีต้องอธิษฐานว่า จะขอถือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอย่างเดียว อย่างอื่นไม่ใช่ที่พึ่ง"ฯ เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ต้องไปอัศจรรย์ใครทั้งนั้น ว่าเขาดีวิเศษวิโสแค่ไหน จะทำอะไรก็ต้องมีหลัก"ฯ ท่านผู้รู้ทั้งหลาย เราไม่ต้องไปเที่ยวกราบท่านหรอก เป็นการลำบากเปล่าๆ ทั้งสองฝ่าย ให้กราบท่านในใจดีกว่า เรากราบท่านในใจนั่นแหละเราถึงท่านแล้ว"ฯ "ของจริงขึ้นอยู่กบเรา ถ้าเราทำจริงเราจะได้ของจริง ถ้าเราทำไม่จริงเราจะได้แต่ของปลอม"ฯ "ไปกี่วัดกี่วัด รวมแล้วก็วัดเดียวนะละ คือวัดตัวเรา"ฯ |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 05 ก.ค. 2010, 16:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คติธรรมของ ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก |
ศิษย์ อาจารย์ "ทำอะไรก็ให้นึกถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เราลืมท่านก็เหมือนเราตัดรากของตัวเราเอง"ฯ "อย่าเป็นศิษย์นอกคอก หัวล้านนอกครู ครูบาอาจารย์ สอนอะไร ท่านก็ย่อพิจารณาแล้ว ธรรมทั้งหลายที่มาสอนเราท่านก็ต้องเอาชีวิตเข้าแลกมา พวกเราซิสบาย ไม่ต้องลำบากอะไรเลย ท่านเอามาป้อนให้ถึงปาก ยังไม่อยากจะเอากันเลย"ฯ ปกติเวลาท่านพ่อได้พระเครื่องหรือรูปครูบาอาจารย์ ท่านก็จะแจกลูกศิษย์ไป แต่ยนานๆที่จะให้ลูกศิษย์ที่ปฏิบัติท่านใกล้ชิด ถึงจะให้ก็ให้ด้วยอาการโยนทิ้งว่า"อยากได้ก็เอาไป"ฯ ครั้งหนึ่งลูกศิษย์ที่อยู่ใหล้ชิดท่านก็บ่นแบบน้อยใจว่า ทำไมท่านพ่อได้พระดีๆ ก็แจกคนอื่นหมดไม่เคยให้เขาซะที ท่านก็ตอบทันที"ของดีกว่านั้นก็ให้ไปแล้ว ทำไมไม่เอา"ฯ ทุกครั้งที่ปลงผมท่านพ่อ ท่านก็สั่งให้เอาเส้นผมท่านไปทิ้งที่โคนไม้ แต่ถ้าวันโกนตรงกับวันหยุดราชการ จะต้องมีลูกศิษย์ฆราวาสถือขันคอยที่ประตูกุฏิท่าน เพื่อขอเส้นผมท่านจากพระอุปัฏฐาก เมื่อท่านพ่อทราบว่าเขารออยู่เพื่ออะไร ท่านก็ว่า "เฮ้ย สมบัติขี้ทุกข์ขี้ยาก"ฯ วันหนึ่งในขณะที่ลูกศิษย์ผู้ชายคนหนึ่งกำลังบีบนวดขาถวายท่านพ่ออยู่ มีศิษย์ผู้หญิงพูดขึ้นมาว่า "แหม โชคดีจริงๆ ที่เกิดมาเป็นผู้ชาย ได้ปรนนิบ้ติใกล้ชิดท่านพ่อ ลูกอยากจะเกิดเป็นผู้ชายบ้างเจ้าค่ะ จะได้มีโอกาสใกล้ชิดอย่างนี้บ้าง" ท่านพ่อจึงหันหน้ามาบอกว่า "การปฏิบัติครูบาอาจารย์ไม่ใช่ของเล่นๆ นะ เหมือนดาบสองคม ถ้ารู้จักใช้ดาบให้ดีก็มีประโยชน์ ถ้าใช้ไม่ดีประมาท ดาบนั่นแหละจะเชือดคอเจ้าของ ยิ่งใกล้ชิดท่านผู้รู้แล้วยิ่งน่ากลัวใหญ่ ประมาทนิดเดียว ตกนรกเลย" ....ศิษย์ผู้หญิงคนนั้นเลยร้องตอบว่า "โอ๊ย ถ้าอย่างนั้นไม่เอาแล้วเจ้าค่ะ" ท่านพ่อหัวเราะน้อยๆ แล้วพูดต่อ "เออ ให้รู้จักพอใจในสิ่งที่เรามี เป็นปู้หญิงก็มีโอกาสได้มรรคได้ผลเหมือนกัน ให้ภาวนาไป ไอ้บุญอย่างนี้ไม่ตองไปหวังมันหรอก"ฯ |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 05 ก.ค. 2010, 17:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คติธรรมของ ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก |
:b46: ลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นคนช่างถาม สงสัยอะไรก็ถามท่านพ่ออยู่เรื่อย เรื่องภาวนาบ้าง ปัญหาชีวิตบ้าง บางครั้งท่านก็ตอบดีๆ บางครั้งท่านก็ย้อนถามว่า "ทำไมจะต้องให้มีคนป้อนให้ถึงปากอยู่ตลอดเวลา ให้คิดเอาเองบ้างซิ"ฯ ท่านพ่อเคยปรารถเรื่องคนที่ต้องให้ครูบาอาจารย์แก้ปัญหาในชีวิตทุกอย่างว่า "เหมือนลูกหมาพอมีขี้ติดตูดอยู่นิดหนึ่งก็ต้องรีบวิ่งไปหาแม่ ไม่รู้จักล้างตัวเองบ้าง อย่างนี้เนียกว่า ลูกแหง่เลี้ยงไม่โตสักที"ฯ "คนติดครูบาอาจารย์ก็เหมือนแมลงหวี่มาตอม ไล่เท่าไรๆ ก็ไม่ยอมไป"ฯ "พวกภาวนาที่อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ แต่ไม่รู้จักท่าน ก็เหมือนทพพีอยู่ในหม้อแกง ไม่มีโอกาสรู้รสของแกงว่า เปรี้ยว เผ็ด มัน อย่างไร"ฯ "คนหลายอาจารย์ ที่จริงไม่มีอาจารย์เลย"ฯ "ถ้าครูบาอาจารย์ชมใครต่อหน้า แสดงว่าคนนั้นก็หมดแค่นั้ ชาตินี้ก็คงไม่ได้ปฏิบัติอะไรให้ยิ่งกว่านั้น ที่ท่านชมก็เพื่อให้เขาภูมิใจว่า ในชาตินี้เขาได้ปฏิบัติถึงขนาดนี้ ใจจะได้มีอะไรไว้ยึดเหนี่ยวต่อไป"ฯ ธรรมดาลูกศิษย์บางคน อยากจะให้อาจารย์ดังโดยไม่คำนึงถึงว่า ความดังนั้นจะให้ผลกระทบกระเทือนถึงอาจารย์และศิษย์อื่นด้วยกันอย่างไรบ้าง ครั้งหนึ่งลูกศิษย์ปรารภหญ้าที่กำลังขึ้นสูงๆ หน้าวัดธรรมสถิต แล้วพูดเป็นนัยให้ท่านพ่อฟังว่า "รกคนดีกว่ารกหญ้านะ ท่านพ่อ" ท่านพ่อก็ตอบทันที"รกคนบ้า รกหญ้าดีกว่า"ฯ สมัยสร้างเจดีย์เสร็จใหม่ๆ มีศิษย์หลายคนมากราบเรียนท่านพ่อว่า จะขอนิมนต์หรือเชิญผู้มีเกียรติผู้นั้นผู้นี้มาเป็นประธานในงานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ท่านพ่อก็ปฏิเสธโดยบอกว่า "ถ้างานนั้นเราทำเองไม่ได้ ทำไม่สำเร็จ ก็น่าจะเชิญเขามา แต่ถ้าเราทำเองได้ จะเชิญเขามาทำไม ลำบากไปเปล่าๆ ทั้งสองฝ่าย"ฯ มีลูกศิษย์คนหนึ่งมาขอรูปเล็กๆ ของท่านพ่อเพื่อห้อยไว้ที่คอ ท่านก็บอกว่า "ไม่ต้องห้อยรูปครูบาอาจารย์หรอก ไม่ต้องไปบอกว่า ใครเป็นอาจารย์รู้ไว้ที่ใจก็พอ"ฯ |
เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 05 ก.ค. 2010, 17:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คติธรรมของ ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก |
ศิษย์หลายคน ในเมื่อรับความเมตตาจากท่านพ่อก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับท่านว่า รักท่าน เคารพท่าน เหมือนพ่อบังเกิดเกล้า บางครั้งท่านก็ย้อนถามว่า "จริงอย่าง ที่พูดหรือเปล่า ถ้าจริงก็อย่าลืมลมซิ รักพ่อจริงอย่าทิ้งลมนะลูก"ฯ และศิษย์อีกหลายคนที่มีความเชื่อมั่นว่า ท่านพ่อต้องรู้วาระจิตเขา เพราะมีหลายต่อหลายครั้งที่ท่านพูดหรือทำอะไรที่ตรงกับเรื่องที่เขากำลังคิดหรือข้องใจอยู่ แต่คำที่ท่านพูดในกรณีแบบนี้ ส่วนใหญ่มีความหมายพิเศษเฉพาะสำหรับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ฉะนั้น จึงต้องยกไว้เป็นสมบัติส่วนตัวของคนเหล่านั้น แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึง ๒ กรณี ที่เห็นว่าเป็นคติดีสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมทั่วไป .....ครั้งหนึ่งมีศิษย์ผู้ชายคนหนึ่งเดินทางจากกรุงเทพฯเพื่อช่วยงานก่อสร้างเจดีย์ที่ วัดธรรมสถิต พอลงที่ปากซอยเข้าวัด ก็นึกขี้เกียจเดินเข้าไป เพราะเป็นระยะทางตั้ง ๒ กิโลเมตร เขาจึงนั่งรอหน้าร้านที่ปากซอยเผื่อจะมีรถเข้าไป รอสักพักหนึ่งก็เกิดนึกอยู่ในใจว่า "ถ้าท่านพ่อแน่จริง จะต้องมีรถผ่านมารับเราเข้าวัด" แต่รอจนแล้วจนรอด ๒-๓ ชั่วโมง ไม่มีรถผ่านเข้าซอยสักคัน เขาจึงต้องเดินเข้าไป พอถึงวัดก็ไปกราบท่านพ่อ แต่เมื่อท่านพ่อเห็นเขาเดินเข้ามาหา ท่านก็เข้าห้องปิดประตู เขาก็เริ่มใจไม่ดี แต่ยังกราบลงที่หน้าประตูห้อง พอเขากราบเสร็จ ท่านพ่อก็เปิดประตูบอกว่า "กูไม่ได้ ขอร้องให้มึงมา มึงมาของมึงเอง"ฯ คืนอีกวันหนึ่ง ศิษย์คนนั้นนั่งภาวนาที่เจดีย์ โดยหวังไว้ว่าจะมีเสียงนิมิตเข้าหู บอกเลขสัก ๒-๓ ตัวแต่แทนที่จะได้ยินเสียงนิมิต กลับได้ยินเสียงองค์ท่านพ่อจริงๆ เดินผ่านแล้วถามลอยๆว่า "นี่ จะมาเอาอะไรเป็นที่พึ่ง"ฯ |
เจ้าของ: | O.wan [ 05 ก.ค. 2010, 18:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: คติธรรมของ ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก |
อนุโมทนาบุญกับท่านศรีสมบัติ ที่นำธรรมะดีๆมาให้นะคะ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 4 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |