ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ก้าวข้ามความ (กลัว) ตาย หนทางแห่งปัญญา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=32985 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ธรรมบุตร [ 04 ก.ค. 2010, 04:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | ก้าวข้ามความ (กลัว) ตาย หนทางแห่งปัญญา |
ก้าวข้ามความ (กลัว) ตาย หนทางแห่งปัญญา เรื่องโดย รองศาสตราจารย์นพ.ธวัชชัย กฤษณะประกรกิจ เราต่างกำลังยืนต่อคิวเข้าแถวเดินเข้าหาความตายอยู่ทุกวัน “ต่างกันแค่ว่า บางคนอยู่หน้าก็ถึงก่อน บางคนอยู่หลังก็เดินตามต่อกันไป” ผมนึกถึงเหตุการณ์ตอนยังเป็นเด็ก ซึ่งคุณครูให้เด็กเข้าแถวฉีดวัคซีนที่โรงเรียน คุณครูจะยืนถือไม้เรียวคอยกำกับแถว งานนี้รับรองไม่มีเด็กคนไหนหรอกครับที่อยากลัดคิวเพื่อนไปอยู่ข้างหน้า มีแต่จะหนีหลบไปต่อท้ายใหม่ เวลาที่จวนจะถึงคราวของตัวเอง สังเกตดูนะครับว่าเด็กคนที่ยิ่งกลัวการฉีดวัคซีน จะเป็นคนที่เจ็บปวดร้องโอดโอยจากการถูกฉีดมากที่สุด ส่วนเด็กคนที่ยอมให้ฉีดโดยดี เจ็บแป๊บเดียวก็ไปวิ่งเล่นกับเพื่อน สนุกต่อได้แล้ว เหมือนเรื่องความตายน่ะครับ ที่ยิ่งกลัวก็ยิ่งทุกข์ เมื่อตอนที่แล้วผมได้เล่าถึงการก้าวข้ามความกลัวตาย ด้วยหนทางแห่งรักที่ยิ่งใหญ่ไปแล้ว ไม่ทราบว่าผู้อ่านชอบหนทางนั้นไหมครับ ถ้ายังไม่ถูกใจ ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้เราจะมาพูดถึงทางเลือกอีกทางหนึ่งคือ หนทางแห่งปัญญา ผมขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักกับครูที่ผมรักและเคารพมาก ที่สุดคือ ท่านภควัน นิตยานันดา แห่งเมืองคเณศบุรี ( Bhagavan Nityananda of Ganeshpuri ) ท่านนิตยานันดาจะพูดน้อยมาก นุ่งผ้าเตี่ยวสีขาวคาดเอวเพียงผืนเดียวตามปกติเป็นประจำ ท่านไม่เคยมีสมบัติอื่นใดติดตัวเลย ทุกขณะของการดำรงอยู่ด้วยความรู้แจ้งและความรัก เป็นเครื่องยืนยันในสิ่งที่ท่านสอนเสมอ และคำพูดของท่านนั้นเป็นคำสอนที่สามารถนำพาผู้คนเข้าสู่สัจจะได้อย่างมีพลัง ในคัมภีร์ จิตอากาศคีตา ( Chidakasha Gita ) ซึ่งเป็นคำสอนเดียวของท่าน ได้กล่าวถึงธรรมชาติที่แท้ของตัวเรา คือ จิต หมายถึง ผู้รู้ ซึ่งมีสภาพเปรียบประดุจดั่งท้องฟ้าและอากาศ คือเป็นความว่างที่สมบูรณ์ และเป็นอมตะ สิ่งนี้คืออะไรนะ และถ้าเราเข้าถึงความจริงนี้ในตัวเราได้ ความตายของร่างกายคงหมดความน่ากลัวไปในทันที เรามาทำการทดลองกันเล่นสักอย่างหนึ่ง โดยให้กำมือหลวมๆ ยกเว้นนิ้วชี้ แล้วให้นิ้วชี้ชี้ไปยังสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่น เราอาจจะเริ่มต้นชี้ที่โต๊ะเบื้องหน้า ชี้ที่สมุด ชี้ที่ปากกา หรือชี้ไปที่โทรทัศน์และสิ่งของในห้อง ทุกครั้งที่ชี้ไป ท่านสามารถบอกได้ไหมว่า “อะไรคือสิ่งที่ท่านกำลังชี้อยู่” คราวนี้ให้หันมือที่ชี้นั้นเข้าหาตัวเองที่ระดับสายตา ท่านตอบได้ไหมครับว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกชี้ สิ่งนั้นไม่ใช่ดวงตา ไม่ใช่จมูก ไม่ใช่ใบหน้า แต่เป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง ไม่มีตัวตน และไม่สามารถระบุรูปร่างได้ บางท่านอาจจะถึงกับตกใจที่ได้พบกับสิ่งที่กำลังถูกชี้อยู่นี้ ผมขอเรียกสิ่งนี้ว่า “ผู้รู้” นะครับ เรามาทดลองกันต่อ ด้วยการคงตำแหน่งนิ้วที่กำลังชี้เข้าหาใบหน้าระดับสายตาไว้ ยืนนิ่งให้มั่นคงบนพื้นห้องที่ราบเรียบ แล้วค่อยๆ หมุนตัวไปทิศทางใดทางหนึ่งก็ได้ ท่านจะสังเกตว่า ขณะที่นิ้วกำลังชี้เข้าหาตัวเองอยู่นั้น สิ่งแวดล้อมรอบๆตัวท่านกำลังหมุนเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ท่านอาจจะเห็นผนังห้องเบื้องหน้าที่มีรูปภาพแขวนไว้เคลื่อนตัวผ่านไป นาฬิกาติดผนังเคลื่อนผ่านไป ปลั๊กไฟ เสาบ้าน โซฟา และตู้หนังสือ ล้วนเคลื่อนผ่านท่านไปหมด แต่มีสิ่งหนึ่งที่นิ่งอยู่ ไม่หมุนตาม นั่นคือผู้รู้นั่นเอง เป็นเหมือนผู้เฝ้าสังเกตการณ์สิ่งต่างๆ และขณะเดียวกันก็เป็นอิสระจากทุกสิ่ง ผู้รู้คือตัวท่านที่แท้จริงนี้สวมบทบาทหลายอย่างในชีวิต บางเวลาสวมบทบาทเป็นพ่อแม่ ภรรยาหรือสามี เป็นเพื่อน เป็นพี่ ลุงป้าน้าอาและตอนนี้กำลังสวมบทบาทเป็นผู้อ่านอยู่ ไม่ว่าบทบาทจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ตัวท่านที่เป็นผู้รู้ก็ยังเป็นคนเดิม อยู่เบื้องหลังบทบาทเหล่านั้นทั้งหมด จากความรู้ตัวของผู้รู้ที่แจ่มชัดและว่างดุจดังท้องฟ้าและ อากาศนี้ ขอให้ ลองกลับมาพิจารณาดูที่ร่างกายของเรา ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงมากมายอยู่ตลอดเวลา บางครั้งสบายดี บางครั้งเจ็บป่วย ก่อนนี้ร่างกายยังเป็นเด็กเล็กๆ ตอนนี้เติบโตขึ้นและกำลังเสื่อมลงไป ไม่ว่าร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใดก็ตาม แต่ตัวเราผู้รู้นั้นยังคงเดิม ไม่ใช่ร่างกายที่ปกคลุมเราอยู่ และยิ่งไปกว่านั้น ก็ไม่ใช่อารมณ์ที่ผ่านมาและผ่านไปอารมณ์สุขทุกข์เกิดขึ้นมากมาย บางครั้งผ่อนคลาย บางครั้งตึงเครียด สนุกบ้าง เบื่อบ้าง แต่เราที่เป็นผู้รู้ก็ยังเป็นอยู่เหมือนเดิม คราวนี้เราจะเริ่มรู้เช่นกันแล้วว่า เราก็ไม่ใช่ความนึกคิด เพราะความนึกคิดมากมายเกิดขึ้น บางครั้งคิดเรื่องราวในอดีต บางครั้งนึกคิดเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต แต่พอตั้งสติกลับมาอยู่ในปัจจุบันความคิดนึกเหล่านั้นก็หายไป ผู้รู้ก็ยังคงอยู่ ที่นี่ เวลานี้ และประสบการณ์ผู้รู้ที่ว่างจากความนึกคิดนั่นเองที่เป็นธรรมชาติเดิมของจิต ใจ หรือจะเรียกว่าจิตเดิมแท้ก็ได้ ท่านนิตยานันดาเปรียบเทียบว่า เหมือนกับเรามองภาพของท้องฟ้าซึ่งสะท้อนอยู่ในน้ำที่บรรจุอยู่ในหม้อดิน เมื่อฝึกการมองกลับเข้าสู่ด้านในของชีวิตตัวเราเอง เราก็จะสามารถมองเห็นจิตที่มีสภาวะของความว่างดุจท้องฟ้าและอากาศนั้นได้ และนี่คือหนทางแห่งปัญญาที่จะนำให้ท่านพบความจริงแท้ในตนเองและก้าวข้ามความ กลัวตายได้โดยไม่ใช่เรื่องยากเลย วันหนึ่งเป็นวันกูรูปูรนีนา ( Guru Purnima ) เป็นวันเพ็ญที่ชาวฮินดูจะทำการบูชาครูอาจารย์ของตน ผู้คนมากมายต่างนำดอกไม้หลากสี พร้อมทั้งเครื่องหอมและกำยานมาสักการะบูชาท่านนิตยานันดา ตัวท่านนั่งอยู่บนตั่งและมองไปยังศิษย์ทั้งหลายด้วยความรักและความเมตตา ในขณะที่ท่านกวาดตามองโดยที่ไม่ต้องเปล่งวาจาใดๆเลยนั้น ผู้คนจำนวนมากต่างสัมผัสถึงพลังกระแสแห่งเมตตาบริสุทธิ์ ซึ่งฉายออกมาจากแววตาและรอยยิ้มของท่าน หลังจากนั้นท่านได้เปลี่ยนท่านั่งเป็นการนั่งสมาธิ หลับตา นิ่งสงบอยู่นาน จนเข้าสู่สภาวะ “มหาสมาธิ” และจากโลกนี้ไปโดยไม่มีอาการทุกข์ทรมานใดๆ ให้เห็นเลย |
เจ้าของ: | วรานนท์ [ 04 ก.ค. 2010, 22:10 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ก้าวข้ามความ (กลัว) ตาย หนทางแห่งปัญญา | ||
![]() ![]() ![]() อนุโมทนาสาธุด้วยครับท่านธรรมบุตร ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]()
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |