วันเวลาปัจจุบัน 06 พ.ค. 2025, 04:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2010, 10:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

9 วิธี ธรรมบำบัด

ความเจ็บป่วยเป็นความทุกข์อย่างหนึ่งของชีวิต
ทุกๆ คนต่างเคยเจ็บป่วยกันมาแล้วทั้งนั้น
และยังจะต้องพบกับความเจ็บป่วยอีกจนกว่าชีวิตจะหาไม่
เมื่อมีความเจ็บป่วยยาวนานหรือร้ายแรง
นอกจากความเจ็บป่วยทางกาย ผู้ป่วยอาจจะได้รับความทุกข์ทางใจ
นั่นก็เป็นเพราะว่าร่างกายกับจิตใจมีความสัมพันธ์กัน


การใช้ธรรมะเพื่อเยียวยาความเจ็บป่วย
อาจจะไม่มีผลต่อความเจ็บป่วยด้านร่างกายโดยตรง
แต่ส่งผลต่อการพัฒนาจิตใจ
เมื่อใจปกติสุข สงบนิ่ง สบาย เมื่อนั้นก็จะส่งผลต่อร่างกายที่กำลังอ่อนแรง
เพราะเมื่ออวัยวะที่ทำงานผิดปกติกลับคืนสู่การทำงานตามธรรมชาติ
ก็จะสามารถเสริมสร้างภูมิต้าน เพิ่มความเข้มแข็งพร้อมสู้กับความเจ็บป่วยต่างๆ


:b41: สวดมนต์ เพื่อความสงบนิ่ง มั่นคง
อาจจะไม่บ่อยนักที่จะเห็นภาพ คนไข้ลุกขึ้นมานั่งสวดมนต์
แต่การสวดมนต์ทุกเย็น วันละประมาณครึ่ง
ชั่วโมงจะช่วยให้รู้สึกสบายใจ โล่งโปร่ง
ขณะที่สวดมนต์ ใจจะได้พักจากการคิดวิตกกังวลจากเรื่องต่างๆ มา
จดจ่ออยู่กับการสวดมนต์ ช่วยให้คลื่นสมองสงบ ลืมสิ่งที่เป็นไปชั่วคราว


:b41: อ่านหนังสือหรือฟังซีดีธรรมะ
ในปัจจุบันมีสื่อจำนวนมากที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับแนวคิดด้านธรรมะ
แต่เรียบเรียงด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายประกอบกับการยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม
ง่ายต่อการนำไปปฏิบัติต่อได้ด้วยตัวเอง
ดังนั้น การอ่านหนังสือหรือฟังซีดีธรรมะ
น่าจะเป็นอีกหนึ่งหนทางที่ทำให้เข้าถึงหลักธรรมได้ง่าย
นอกจากนี้ยังมีสื่อธรรมะประเภทอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นตามการพัฒนาด้านเทคโนโลยี
เช่น วีซีดี ดีวีดี เป็นต้น


:b41: กิจกรรมเพื่อความสุขทางใจ
หลักคำสอนทางธรรมจะสัมฤทธิ์ผลให้เห็นได้จริงก็ต่อเมื่อได้ลงมือปฏิบัติ
และเผื่อแผ่ผลบุญนั้นๆ ให้กับบุคคลอื่นๆ
ที่กำลังประสบกับความยากลำบากหรือด้อยโอกาสกว่า

เช่น การทำบุญ ตักบาตร ถวายสังฆทาน บริจาคทาน
หรือเป็นอาสาสมัครให้กับองค์กรการกุศลต่างๆ


:b41: พิจารณาทุกอิริยาบถอย่างมีสติ
เป็นวิธีการเจริญสติที่สะดวกสบายที่สุด
เหมาะสำหรับบุคคลที่ไม่มีเวลาทำกิจกรรมต่างๆดังที่กล่าวมา
เริ่มจากการดำรงสติ สงบอยู่อิริยาบถใดก็ได้เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน สักพักหนึ่ง
เมื่อจะเริ่มเคลื่อนไหวตัวไปทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ
หรือทำกิจกรรมต่างๆ ก็ดำเนินไปอย่างมีสติ รู้สึกตัว

เช่นเมื่อกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบสิ่งของ
ก็รู้ตัวกำลังยื่นมือออกไปหยิบหรือจับสิ่งของนั้นๆ แล้วหยิบเข้ามาหาตัว
กำลังจะลุกขึ้นจากที่นั่ง กำลังก้าวขา ซ้าย ขวา
หรือกำลังยกขาเพื่อก้าวขึ้นหรือลงบันได ฯลฯ
ไม่ว่าจะทำอะไรก็ควรจะมีสติและรับรู้ได้ถึงการกระทำนั้นๆ
เมื่อแรกฝึกอาจหลงลืมทำตาม ความเคยชินไปบ้าง
แต่เมื่อฝึกจนเกิดความคล่องตัวชำนาญ
สามารถดำรงสติติดต่อกันไปพร้อมกับอริยาบถในชีวิตประจำวันได้ต่อเนื่องนานขึ้น
จะเกิดสมาธิในระดับที่สามารถพัฒนาปัญญาในทางธรรม
สามารถพิจารณา ใคร่ครวญสิ่งต่างๆ ระลึกได้ถึงความผิดชอบ ชั่ว ดี
กระตุ้นเตือนให้คิด ทำ พูด ในสิ่งที่ถูกต้อง
ไม่เผลอไปเบียดเบียนตนเองด้วยความเครียด
หรือเบียดเบียนคนอื่นให้เกิดความเดือดร้อน



:b41: ออกกำลังกายควบคู่กับการกำหนดลมหายใจ
ตัวอย่างเช่น โยคะ ไทเก๊ก พีลาทีส ฯลฯ
ที่กำลังได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนอกจากจะทำให้รูปร่างดีขึ้นแล้ว
ยังทำให้จิตใจสงบลง โดยหลักการสำคัญของการออกกำลังกายดังกล่าว
คือการหายใจเข้าขณะที่ร่างกายหรือกล้ามเนื้อยืดออก
และหายใจออกขณะที่ร่างกายหดเข้า
ซึ่งเป็นเทคนิคการหายใจที่สัมพันธ์กันระหว่างกล้ามเนื้อและระบบไหลเวียนเลือด


:b41: เดินจงกรม
คือ การเดินเป็นเส้นตรงระยะเท่าที่ทำได้
หรืออาจเดินกลับไปกลับมาถ้าอยู่ในบริเวณจำกัด
และขณะที่เดินนั้นก็มีสติ รู้ตัว ทั่วพร้อมว่ากำลังยก ย่าง เหยียด เหยียบ
ส่วนประกอบของเท้าเช่นฝ่าเท้า ข้อเท้า
เวลายืนก็มีสติสัมผัสรู้ตัวว่า พื้นที่ยืนหรือเดินอยู่นั้น เย็น ร้อน อ่อนหรือแข็ง
เมื่อเดินเซก็รู้ตัวว่าเซ เมื่อเมื่อย เบื่อ หรืออยากนั่งพัก
หรือเผลอไปคิดเรื่องใด ก็มีสติตามรู้ความรู้สึกนั้นๆ
กระทำการทุกอย่างให้เป็นธรรมชาติ
อย่าฝืนจนกลายเป็นความรู้สึกเกร็งหรือบังคับร่างกาย
เมื่อเดินไปสักระยะเวลาหนึ่งก็จะเกิดสมาธิ
ทำให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย ไม่วิตกกังวลหรือฟุ้งซ่าน


:b41: สมาธิ หลักแห่งการผ่อนกาย คลายใจ
การนั่งสมาธิตามแต่วิธีที่ถนัดราวๆ วันละ 20 นาที
จะช่วยให้สมองเราปลอดโปร่ง สงบจิตใจได้ ไม่เครียด มีสมาธิ ความจำดีขึ้น
คิดอะไรได้ปลอดโปร่ง แถมยังผุดผ่องอีกด้วย
แต่ทว่าการฝึกสมาธิช่วง 5 นาทีแรกอาจจะรู้สึกเบื่อ หงุดหงิด
แต่ถ้าทำต่ออีก 5 นาทีหรือ 10 นาที สมองซีกขวาจะเริ่มรู้สึกผ่อนคลาย
ถ้าทำครบ 15 นาที ร่างกายจะหลั่งสารสุขทำให้ร่างกายได้เยียวยาตัวเอง
ระหว่างการนั่งสมาธิควรจะตาม รู้ลมหายใจเข้าออก
หรือที่เรียกว่าอานาปานสติ
หรือเพียงได้รู้สึกถึงลมหายใจออกติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง
และอย่างสม่ำเสมอตามธรรมชาติ ไม่พยายามไปบังคับ
กดข่ม หรือเผลอเพ่ง เช่น ถ้าลืม เผลอ
หรือแม้แต่ขณะที่นั่งหลับตานั้นได้เห็นรูป
ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ได้รู้รส ก็มีสติตามรู้ว่าได้สัมผัสกับสิ่งนั้นๆ
และกลับมาพิจารณาลมหายใจเข้าออกต่อเนื่องไป
ก็จะเกิดทั้งสติ สมาธิ และปัญญา


:b41: สนทนาธรรม
คือ การสนทนากับผู้มีปัญญา หรือผู้ปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบในทางธรรมอย่างสม่ำเสมอ
จะทำให้เราเกิดปัญญาแยกแยะรู้ว่าสิ่งใดเป็นกุศลกรรม
ทำให้ความดี ความสบายใจ หรือสิ่งใดเป็นอกุศล หรือความชั่ว
คือทำแล้วก่อให้เกิดการเบียดเบียน
หรือความไม่สบายใจทั้งแก่ตนเองและคนรอบข้าง จะได้ละเว้นเสีย
สิ่งใดเป็นกุศลธรรมความดีจะได้ตั้งใจทำให้มากขึ้น
และรู้เท่าทันความดีความชั่วทุกประการจะได้ไม่หลงเข้าใจผิด


:b41: ทางสายกลาง ข้อธรรมที่ไม่ควรหลงลืม
สิ่งสำคัญที่สุดคือความพอดี ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป
ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตปกติหรือแม้แต่การดำเนินตามหลักการทางธรรม
ถ้ามากหรือน้อยเกินไปย่อมส่งผลต่อการดำเนินชีวิตด้านอื่นเช่นกัน
รวมถึงการใช้ชีวิตสุดโต่ง ทั้งการรับประทานอาหารและการทำงาน
แม้จะเกิดมาจากความตั้งใจ แต่ถ้าลืมนึกถึงความพอดี
และความเหมาะสมกับร่างกายก็ย่อมไม่เป็นผลดี


ไม่ว่าคุณจะป่วยทางกายหรือทางใจ... ลองนำ 9 วิธี ธรรมบำบัดไปปรับใช้
แล้วจะพบว่าตัวของเราเองก็สามารถบำบัดได้เองภายใน
ขอให้เรารู้เท่าทันกายและใจ เพียงเท่านี้ ธรรมก็สามารถบำบัดได้ทุกสิ่ง



ที่มา...ธนาคารกสิกรไทย

:b48: :b8: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2010, 12:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ต.ค. 2006, 14:49
โพสต์: 1342


 ข้อมูลส่วนตัว www


ข้อสิบ แพ้คนเป็น ยอมแพ้เสียบ้าง ให้คนอื่นเขาชนะ แต่เราชนะตนเอง คือ ลดอัตตาตนเอง
ชนะตนนั้นประเสริฐนัก ท่านว่า ชนะตน คือชนะโลก

มาขออาศัยกระทู้เพิ่มหน่อยนะครับ :b32:
ขอโมทนาด้วยนะครับ คุณลูกโป่ง :b4: :b8:

.....................................................
.. ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2010, 13:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.ย. 2009, 14:32
โพสต์: 874

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ สาธุ อนุโมทนาบุญกับบทความดี ๆ ค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2010, 14:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

:b8: อนุโมทนา..สาธุ..จร้า..น้องลูกโป่ง :b8:

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron