| ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
| ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=31403 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 3 |
| เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 05 พ.ค. 2010, 16:00 ] |
| หัวข้อกระทู้: | ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
บันทึกธรรมที่ท่านพุทธทาสบันทึกไว้ตามสมุดต่างๆ มีตั้งแต่สมุด ไดอารี่ สมุดลายไทยที่นักเรียนใช้เขียนหรือแม้แต่ กระดาษแผ่นเล็กแผ่นน้อย สามปีหลังท่านมรณภาพ.. ในโลกแห่งมนุษย์ยุคปัจจุบัน คนอยู่กันอย่างกิเลสบังคับคน มิใช่คนบังคับกิเลส,การกระทำตามอำนาจกิเลส จึงเต็มทั้งโลก ธรรมะแท้คือหน้าที่อันถูกต้องของตัวใครตัวมัน อันเขาจะต้องทำให้ ดีที่สุด จนพอใจตนเอง เคารพตนเอง ยกมือไหว้ตนเองได้ อยู่ตลอดเวลา สวรรค์อันแท้จริงที่นี่และเดี๋ยวนี้ คือการทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง จนยกมือไหว้ตนเองได้,สวรรค์อื่นทั้งหมดขึ้นอยู่กับสวรรค์ที่ว่านี้ นรกแท้จริงที่นี่และเดี๋ยวนี้ คือการพร่องในหน้าที่อันแท้จริงของตน จนเกลียดน้ำหน้าตนเอง,นรกอื่นทั้งหมดขึ้นหยู่กับนรกที่กล่าวนี้ การอบรมจิตอย่างแท้จริง คือการรู้ความลับแห่งธรรมชาติของจิต จนสามารถควบคุมดำรงจิตไว้ ในลักษณะที่ความรู้สึกอันเป็นทุกข์เกิดขึ้นไม่ได้ เราไม่ทำ-ไม่ยอม ทำการศึกษาค้นคว้าเรื่อง กิเลส-ความทุกข์ กันให้มากเหมือนเรื่องโบราณคดี-วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีเศรษฐกิจ ความเลวร้ายฝ่ายวิญญานจึงครองโลก ทั้งส่วนบุคคล-สังคมมหาศาล ตน ไม่ใช่เป็นที่พึ่งแก่ตนอย่างเดียว หากแต่เป็นที่ตั้งแห่งความคิด,การกระทำที่เห็นแก่ตน,ทำตนให้เป็นทุกข์ด้วยในคราวเดียวกัน ตน(ซึ่งเป็นเพียงความรู้สึกนึกคิด)นั่นแหละเป็นสิ่งทำทุกข์ให้แก่ตน,และจะเปลื้องทุกข์ให้ได้ด้วย,จงรู้จักมันให้ถึงที่สุดเถิด
|
|
| เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 05 พ.ค. 2010, 16:28 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
พระเจ้าที่เป็นทั้งผู้บันดาลให้เกิดทุกข์-ปลดเปลื้องทุกข์ได้แท้จริง คือกฏอิทัปปัจยตา,จงรู้ท่าน,กระทำต่อท่านให้ถูกต้องเถิด คำสอนของผู้รู้แท้จริง แม้เป็นเวลา สอง-สาม พันปีมาแล้วแต่ก็ยังใช้ได้อยู่..เหมือนคำพูดใหม่ๆ สดๆร้อนๆ คือคำสอนของพระพุทธองค์ แก่ชาวกาลาม หรือ กาลามสูตร อย่า คิด พูด ทำ ไปในลักษณะเหยียดหยามใครๆ ว่าเป็นคนโง่ เพราะเราจะเป็นคนโง่ เช่นนั้น-เพราะเหตุนั้นแล้วโดยไม่รู้ตัว ถ้าเราประมาทเต็มที่ขึ้นมาเมื่อไร ก็อาจเผลอรู้สึกว่า พี่ชาย พี่สาว บิดา มารดา ครูบา อาจารย์พระสงฆ์องค์เจ้า พระพุทธเจ้าเป็นคนโง่ไปก็ได้ คำพูดหยิ่ง ยโส สามหาว คือความโง่ในการอวดสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องอวด เกิดมาจากภวตัณหา ที่ปรุงขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกตัว ความคิดที่ดำเนินไปมากกว่าเหตุ ในการที่จะไม่ทำอะไรนั้น มิใช่การปล่อยวาง,หากแต่เป็นกิเลสประเภท วิภวตัณหา ที่มีอยู่อย่างไม่รู้สึก ความไม่รู้ว่าการงานคือการปฏิบัติธรรม หรือธรรมคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต นี่คือความรู้ที่พุทธบริษัทยังขาดอยู่ในศาสนาของตน มีใครสักกี่คน ที่ทำอะไรเป็นที่พอใจจนยกมือไหว้ตนเองได้ เพราะรสนิยมของเราอยู่ที่การบูชาและตกเป็นทาสของกามตัณหาโดยไม่ต้องรู้สึกตัว การงานเป็นสิ่งที่ทำให้สนุกได้ในวาระสุดท้าย แต่เป็นความลับของธรรมชาติ ซึ่งจะเข้าถึงได้ต่อเมื่อรู้ธรรมอย่างเพียงพอ การตั้งศาลท้าวมหาพรหม(แม้ที่ ลาสเวกัส ยู เอส เอ)ก็ต้องเพื่อเข้าความรู้สึก เมตตากรุณา มุฑิตา อุเบกขา มิใช่เพื่ออ้อนวอน เป็นลัทธิรูปเคารพ
|
|
| เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 06 พ.ค. 2010, 13:25 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
เด็กๆ ในครอบครัวสัตบุรุษพุทธบริษัท ต้องอบรมให้มีบิดา มารดาเป็น พรหม-เทพ-ครูคนแรก อาหุเนยบุคคล มิฉะนั้นแล้วจะกลายเป็นเรือนนรกครอบครัว ความเคารพตัวเองที่แท้จริง นั้นยอมรับพิจารณาความคิดของผู้อื่น ผิดจากความหยิ่งยโสซึ่งไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของใครเอาเสียเลย ในสมัยที่วัฒนธรรมพุทธ์ยังแผ่สร้านประจำบ้านเรือน อาชญากรบ้าคลั่งอย่างเลวร้ายก็ยังไม่มี มันจะหมดสิ้นไปเมื่อไรแล้วแต่ อิทัปปฯ. คนที่ถึงกับพูดเท็จได้แล้ว จะไม่ทำบาปอย่างอื่นทุกอย่างได้เป็นไม่มี เพราะเขาได้โกหกหลอกลวงตัวเองถึงที่สุด ขบถตัวเองแล้วสิ้นเชิง สิ่งที่เราเคยอยากได้อยากให้เขาช่วยให้ได้ และพอใจอย่างยิ่งนั้น จะมีได้สักวันหนึ่ง ต่อเมื่อเหตุการณ์ภายในความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไป จนมีความรู้สึกตรงข้าม แม้คนบางคนจะมีนิสัยไม่รู้จักเสียดาย และประหยัดเอาเสียเลย แต่ก็ไม่ใช่จะเหมาะสำหรับบวชเป็นอนาคาริก เพราะมันเป็นคนละเรื่องกันเลย สมาธิแท้จริงโดยที่ไม่ต้องทำแต่เป็นขึ้นเอง ก็มีอยู่คือเมื่อ จิตไม่ต้องการอะไร และรู้สึกอยู่ในความไม่ต้องการอะไรนั้น แม้ชั่วคราว ความรู้และความหลุดพ้นแท้จริง ที่ไม่ต้องทำแต่เป็นเองนั้นมีอยู่ คือ เมื่อจิตไม่ต้องการอะไรและซึมทราบอยู่ในความรู้สึกนั้น แม้ชั่วคราว. เรากล่าวได้ว่า"จิตหลุดพ้น"แต่เราไม่อาจกล่าวได้ว่า"อัตตาหลุดพ้น",.เพราะหลุดพ้นหมายถึงหลุดพ้นจากความยึดถือว่าอัตตา. ความว่าง(สุญญตา)มิได้หมายถึงความไม่มีอะไร แต่มีจิตที่ว่างจากความยึดถืออะไรว่าตัวตนกำลังรู้สึกและเข้าถึงความว่างนั้นอยู่. |
|
| เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 06 พ.ค. 2010, 13:49 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
ความที่จิตว่างจากกิเลส หรือแม้แต่นิวรณ์ ๕ เพียงชั่วคราว ถ้ามีก็เป็นตัวอย่างแห่งนิพพานตัวอย่างชั่วคราว ซึ่งจูงใจไปสู่นิพพานสมบูรณ์ได้ดี ความรู้สึกเป็นทุกข์ส่วนมากเกิดมาจาก การทำเล่นๆ อย่างสะเพร่าให้กับความรู้สึกที่ไม่เป็นทุกข์ด้วยความขาดสติของท่านเอง,เลิกมันเสียเถิด เราสามารถทำการงานหนัก ให้กลายเป็นของเล่นสนุกได้ โดยอย่าให้มีตัวกูกระทำเพื่อกู แต่ให้เป็นการกระทำของจิตที่ว่างจากตัวกู. ความหลุดพ้นของจิต เป็นคนละอย่างต่างจากความหลุดพ้นของอัตตา ซึ่งยังคงมีอัตตาเหลืออยู่ส่วนหลุดพ้นของจิตไม่มีความหมายของอัตตาเหลืออยู่เลย รู้สึกทุกข์เป็นนรก,รู้สึกสุขเป็นสวรรค์,เหนือทุกข์ เหนือสุข เป็น นิพพาน,.ขอให้รู้สึกแยกแยะกันอย่างถูกต้อง เพราะล้วนมีอยู่อย่าง สันทิฏฐิโก ความบริสุทธิ์ของจิตมี ๒ ชนิด,ชนิดแรก ก่อนเกิดอัตตาเป็นไม่บริสุทธิ์ ยังเปลี่ยนได้ บริสุทธิ์ชนิดหลังเมื่อละอัตตาได้พร้อมทั้งเหตุ,เปลี่ยนไปไม่บริสุทธิ์อีกไม่ได้ ความอร่อย ไม่อร่อยนั้นยังไม่ใช่กิเลส,ต่อเมื่อพอใจไม่พอใจ จึงจะเป็นกิเลส,ดังนั้นจะกินมันดูเพื่อการศึกษาหรือสอบไล่ก็ได้ การบวชที่แท้จริงอยู่ที่การบวชใจ คือหลบหลีกจากการเกิดกิเลสทุกข์ การบวชทางกายภายนอกเป็นเพียงการให้ สดวกง่ายง่ายขึ้นแก่การบวชใจ การเข้ามาสู่ร่มเงาแห่งศาสนาทุกวันนี้ เป็นเพียงพิธีรี ตองเสียเป็นส่วนมาก,.จิตยังมิได้เข้ามาสู่ร่มเงาของนิพพาน แม้ขั้นตัวอย่างชิมลอง การปฏิบัติธรรม มิได้ห้ามไม่ให้กินของอร่อยที่รู้อยู่ หากจะกินเพื่อรู้ละ หรือควบคุมฉันทราคะได้อยู่,.ของไม่อร่อย ก็มีนัยปฏิบัติทำนองเดียวกัน
|
|
| เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 07 พ.ค. 2010, 14:14 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
การบำเพ็ญบารมี,ในทางธรรม หมายถึงการทำความดีนั้นๆ จนเป็นนิสัย ส่วนทางโลกหมายถึงการสะสมอำนาจ วาสนา,ทั้งสองนี้ ควรที่ ใครๆ ก็ทำได้. ความเจ็บของกาย ความทุกข์ของใจ นั้นเป็นคนละเรื่องกัน แม้มันจะเนื่องกันจนดูให้เห็นชัดจริงๆมิฉะนั้นท่านมิอาจจัดการมันได้. "เราเป็นสุข"นั้นไม่อาจมีได้,มีได้เพียง"จิตไม่รู้สึกเป็นทุกข์"เพราะสิ่งที่เรียกว่าเราและสุขนั้นมิได้มีอยู่จริง,ไม่เหมือนจิต-ทุกข์ซึ่งมีอยู่จริง. การปรับปรุงศีลธรรม ส่วนที่ต้องใช้พระเดชนั้น ต้องการผู้บังคับบัญชาที่ กล้าหาญ-เฉียบขาด-เที่ยงธรรม เต็มที่ มิฉะนั้นไม่มีทางที่จะเป็นไปได้. วัดประจำหมู่บ้านอยู่ได้ พุทธศาสนาประจำชาติอยู่ได้ โดยไม่เป็นภาระหนักแก่ใครเลย นัยเป็นสหกรณ์-อภิมหาสหกรณ์ที่ควรรู้จัก เอาอย่าง..อย่างยิ่ง บุคคลหรือแม้สถาบันที่เผยแผ่ธรรม อย่างเอาจริงเอาจัง ก็ยิ่งป็นธรรมประเภททรรศนะ(ฟิโลโซฟี่)ไปเสียทั้งนั้น..มิใช่รู้แจ้ง ผู้เผยแผ่ธรรมะประเภททรรศนะ(ฟิโลโซฟี่)อย่างตัวเป็นเกลียวแต่กำลังทนทุกข์ อยู่ในใจอย่างหนักหน่วง เนื่องจากสิ่งแวดล้อม ฯลฯ นักบวชยังหลีกเลี่ยงการเมืองไปไม่ได้ เพราะมีนักบวชไว้ช่วยบรรเทาวิกฤตกาลอันเกิดจากการเมือง ของโลกนั่นเอง,อย่าเข้าใจผิด คำว่า"วัฒนา"มีความหมายเป็นกลางๆ คือเพิ่มให้มากขึ้นเท่านั้น ดีก็ได้ ช้าก็ได้ ท่านจึงสอนไว้ว่าน สิยา โลกวหุฒโน อย่าทำให้โลกวัฒนา(รก) ศิลปะวัตถุชั้นประณีตศีลป์ วิจิตศีลป์ อันมากมายมหาศาลยาวนาน ในการสร้างและรักษานั้น ทำให้เสียเวลาแรงงานในการค้นหา นิพพาน ไปสักเท่าใด.
|
|
| เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 07 พ.ค. 2010, 14:39 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
:b45: ยอดศิลปะของมนุษย์เท่าที่ข้าพเจ้ารู้จักคือ"ตายก่อนตาย" (ตัวกูตายก่อนร่างกายตาย)เพราะสามารถดับทุกข์ทุกชนิด ทุกเวลา ทุกแห่งหน. ขึ้นชื่อว่าศิลป์ ย่อมต้องการความฉลาด -ฝีมืออันประณีต ดังนั้นการประพฤติธรรม จึงมีอาการที่รู้สึกกันว่า"ยาก"บ้างเป็นธรรมดา โลกุตระ ไม่เกี่ยวกับการออกบวชปฏิบัติเคร่งครัดในวัดในป่า แต่เป็นการอยู่เหนืออิทธิพลของอารมณ์ ทั้งหลายในสกลโลก คำว่าชาติ เป็นคำที่ตรัสไว้ทั้งสองชนิด แต่ชาติที่ให้เกิดทุกข์จริงนั้น เป็นการเกิดตัวกูทางจิตใจ ด้วยอุปทาน มิใช่เกิดทางกายจากท้องมารดา และเมื่อยังไม่เกิดชาติ ทางอุปทาน ชาติทางกายก็ยังไม่มีความหมาย คำว่าโลก มีทั้งภาษาวัตถุ ภาษาคน-ภาษาธรรม แต่โลกที่ตรัสว่าคือทุกข์ นั้นเป็นโลกในภาษาธรรม คือสิ่งที่ยึดถือแล้วเป็นทุกข์ สิ่งที่เรียกว่า"ไสยศาสตร์" ยังต้องเก็บไว้ให้คนปัญญาอ่อน ต้องถือไสยศาสตร์ไปก่อน เพราะเขายังไม่อาจเข้าถึง และถือธรรมะได้ ทุกคนกำลังถือศาสนา"ปโยชนาธิปไตย"ไม่ว่าจะกำลังเป็นศาสนาของศาสนาอะไร ล้วนแต่ลืมจุดหมายแท้จริงแห่งศาสนาของตน ศาสนาแท้จริงต้องการเราอยู่เหนืออิทธิพลของประโยชน์ใดๆ ตรัสว่า ประพฤติพรหมจรรย์ต้องมิใช่เพื่อ ลาภสักการะ เสียงสรรเสริญ ดังนั้น การประกาศพรหมจรรย์ ก็ต้องมิใช่เพื่อ ลาภฯลฯ เช่นเดียวกัน ผู้เฒ่าสมัยก่อนเมื่อใครไหว้ท่าน จะตอบว่า"ไหว้พระนะลูกนะ" นี่แสดงว่าท่านไม่ปล้นเกียรติคุณของพระคุณของพระองค์มาเป็นของตน คนสมัยนี้รับเอามาเป็นของตัวเอง การเข้ามาเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาอย่างถูกต้องนั้นคือ เพื่อการดำรงชีวิตชนิดไม่รู้สึกเป็นทุกข์เลย และทั้งเป็นประโยชน์แก่โลกที่สุดด้วย
|
|
| เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 08 พ.ค. 2010, 14:53 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
ในโลกปัจจุบัน ศิลปเพื่อธรรม(โพธิ+สันติ)กำลังพ่ายแพ้ศิลปเพื่ออธรรม(โมหะ+วิกฤตการณ์)ซึ่งขยายตัวจนมีฐานผลิตเป็นเทคโน มีเงิน อำนาจ วาสนา ยศศักดิ์บริวาร มือปืนคุ้มครอง ๒๐ คน ก็ยังมีความทุกข์ มีธรรมะอย่างเดียวไม่มีทุกข์ เริ่มรู้จักเสียเถิด เด็กๆไทยทุกวันนี้ เริ่มจะรู้จักวัน วาเลนไทน์ ฯลฯ กันมากยิ่งกว่าวัน มาฆะ-วิสาขะ-อาสาฬหบูชา ประเทศจะเป็นอย่างไรหรือไม่ เขาทำดีกันจนบ้า เราควรทำดีแต่พอถูก ต้อง พอดี แต่ก็เป็นสิ่งที่รู้ได้ยากเหมือนกัน ว่าเท่าไรพอดี น่ากลัว..น่ากลัว.. แห่กันมามากมายหลายแห่งหน ว่ามาศึกษาหาธรรมะ แต่ก็ไม่ได้อะไรไป นอกจากพรลมปาก น่าสงสารเพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร สนใจแต่เรื่องสนุกจุกจิก รู้สึกระอาอยู่เหมือนกัน ที่ตั้งใจพูดธรรมแท้ถูกต้อง ผู้ฟังก็หลับเสียเป็นส่วนมาก ครั้นมีตลกโปกฮา เขาจึงว่าดีจริง จะเอาศาสนามาช่วยชาติ โดยมีพระมหากระษัตริย์ เป็นผู้นำได้อย่างไรในปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่ควรสนใจและปฏิบัติ กันอย่างถูกต้องสูงสุด ทำงานเพื่อเงินนั้น ต้องรอจนกว่าจะได้เงินจึงจะรู้สึกพอใจ ถ้าทำงานเพื่องาน พอลงมือทำก็พอใจและเป็นสุขทันที แล้วเงินก็ไม่ไปไหนเสีย เราตั้งคำถามกันไม่ถูกต้องว่า ศาสนาจะช่วยประเทศชาติได้อย่างไร เราควรจะถามว่าเราจะเอาศาสนามาใช้ปฏิบัติ ในการช่วยชาติอย่างไรมากกว่า ถ้าเราเข้าใจศาสนาผิด เราก็จะได้แต่นั่งอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนา โดยไม่มีการปฏิบัติธรรม ที่ถูกต้องเพียงพอกันเสียเลย ธรรมะคือหน้าที่อันแท้จริงของสิ่งมีชีวิต ที่มีแล้วสามารถดำรงจิตอย่างสุขสงบเย็นไม่เป็นทุกข์ หรือแม้แต่เศร้าหมอง ไม่ต้องเสียใจ ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่มนุษย์ชาติต้องมีและแก้ไขได้ ด้วยความฉลาดที่มันสอนเราทุกครั้งที่ทำผิดนั่นเอง
|
|
| เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 08 พ.ค. 2010, 15:18 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ด้อยกว่า ก็แสดงกิริยาอย่างหนึ่ง เสมอกันอีกอย่างหนึ่ง,เด่นกว่าก็อีกอย่างหนึ่ง โดยไม่ต้องตั้งเจตนา นี้เป็นของธรรมดา ที่ประเสริฐก็ต้องเสมอกันทั้งสามโดยไม่ต้องเจตนา อยู่โดยไม่ต้องมีความรู้สึกว่าเรา ดี-เด่น-ดัง อะไรเลย เพียงแต่รู้สึกว่าเป็นผู้มีประโยชน์ ที่สุดคนหนึ่ง นั่นแหละถูก เป็นสุขแท้ กามกิจ ก็เป็นหน้าที่ที่เป็นธรรมะอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน,แต่ต้องประพฤติต่ออย่างถูกต้องและพอดีสำหรับอริยชนที่ครองเรือน ของอร่อยหรือสวยงาม ถ้ามาถึงเข้าก็บริโภคได้โดย-เพื่อฉลาด มิใช่เพื่อหลง,แต่ถ้าแสวงหาและบริโภคด้วยความหลง ก็กลายเป็นความโง่ทันที นักจาริกเพื่อได้ความเพลิดเพลิน-ได้บุญ-ได้ความรู้ นี้ต่างกันเป็นคนละอย่างทีเดียว,แต่เพื่อความเพลิดเพลินนั้นมากเหลือเกิน,รวมทั้งพระธุดงค์ คำว่า"ทุกอย่างถูกต้อง"(all right)เป็นคำที่มีความหมายสำคัญที่สุด ใครอยู่ด้วยความรู้สึกเช่นนั้น เขาอยู่ด้วยหัวใจพระพุทธศาสนา และมีความสุขทุกอิริยบถ ความดับของไฟหาได้ที่ไฟ,ดับของทุกข์หาได้ที่ทุกข์,นิพพานหาได้ที่วัฏฏสงสาร,แต่ไม่มีใครเห็นหรือเชื่อ,เลยไม่ได้หา จึงไม่พบ ฆารวาสธรรม มิใช่สำหรับฆารวาสได้จบอยู่ในโลก แต่สำหรับฆารวาสนั้นได้อาศัยยกตัวขึ้นจากปลักของฆารวาสพ้นทุกข์,เป็นโลกุตตระ-นิพพาน การสอนว่าอะไรเป็นไปตามกรรมเก่า-สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น มีอยู่ก่อนพุทธ มิใช่พุทธซึ่งสอนว่า มันเป็นไปตามกฏอิทัปปัจจยตา อะไรๆที่เกิด มี-เป็น-อยู่กับเรานั้น มิใช่เพราะกรรมเก่าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นอิทัปปัจจยตา ที่ทำให้เราสุข-ทุกข์ มั่งมี-จน-สวย-ขี้เหร่ แม้ที่สุดแต่ ผอมหรืออ้วน
|
|
| เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 08 พ.ค. 2010, 15:36 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
คนสมัยก่อน มีใครไหว้ก็ตอบว่า"ไหว้พระนะลูกนะ" คือพระที่ทำให้คนเก่านั้นมีอะไรดีจนมีคนไหว้,.ไม่ยักยอกความดีของพระ เกี่ยวกับสัญชาตญานนั้น ธรรมะจะเปลี่ยนร้ายเป็นดี(sublimat)มิใช่เพิกถอน(eliminate)ซึ่งผิดธรรมชาติ เป็นไปไม่ได้ เมื่อความทุกข็เกิดขึ้น จงมองหาความดับทุกข์ ซึ่งมีอยู่แล้วในความทุกข็นั้น ซึ่งจะหาไม่พบในที่อื่น,.แล้วดับความทุกข์นั้นแหละ โลกทั้งหมดตั้งขึ้น-ดับลงที่ผัสสะ เมื่อควาบคุมผัสสะได้ ก็คือควบคุมโลกทั้งหมดได้ นั่นก็คือควบคุมทุกข์ทั้งปวงได้ การริษยาผู้อื่นนั้น มิใช่ตนจะรับประโยชน์อะไร,แต่ทำลายประโยชน์ส่วนรวมอย่างยิ่ง ตนถูกเผาอยู่ด้วยไฟริษยา การสมรสด้วยจิตวิญญาน เป็นพรหมสมรส บริสุทธิ์สอาดดี,การสมรสทางกายโดยเนื้อหนังนั้นสกปรก เหน็ดเหนื่อยเกินไป กามที่เกี่ยวกับเพศ เป็นได้ทั้งเทพเจ้าและปีศาจ ทั้งนี้แล้วแต่ผู้ประกอบกิจนั้นมีธรรมะผิดถูกมากน้อยเพียงไร ในพุทธศาสนาไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธาตุ แม้กระทั่งนิพพาน และหมายถึงเอาคุณสมบัติที่เป็นนามธรรม,มิได้เล็งที่วัตถุ ภาวะบริสุทธิ์ของจิต มี ๒ ชนิด หรือขั้นตอน คือ บริสุทธิ์เพราะกิเลสยังไม่เกิด และเพราะกิเลสเกิดไม่ได้อีกต่อไป ทั้งวันฉันไม่ได้ทำอะไร แต่ทุกอย่างถูกต้องหมด เพราะฉันไม่ต้องการอะไร และไม่ได้ทำอะไรนั่นเอง
|
|
| เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 09 พ.ค. 2010, 12:04 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
|
|
| เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 09 พ.ค. 2010, 15:15 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
นิพพานเป็นของแปลก ,.ยิ่งต้องการยิ่งหนีไกล,เมื่อไม่ต้องการอะไร ก็วิ่งมาหาเอง,.แต่อย่าพูดอีกเลยจะเป็นแรดกันหมด การทำอะไรแล้วปรารถนา นิพพาน ปจจ.โย โหตุ นี่ดูจะค้านกับข้อที่ว่า นิพพานเป็นของได้เปล่า มาบริโภคอยู่ ยิ่งอยากเป็นพระอรหันต์ ยิ่งไกลความเป็นพระอรหันต์,.ยิ่งไม่อยากเป็น ไม่อยากอะไรเลย ยิ่งเป็นในตัวเองเลย ต้องการจะให้ มิใช่ต้องการจะเอา มันต่างเป็นกันคนละอย่าง มันรวมอยู่ในความไม่ต้องการอะรมาเป็นของตัว ไม่มีตัว ท่านเป็นปูชนียบุคคลอยู่เหนือเศียรเกล้าของเรา แต่ท่านทำงานอย่างกะรับใช้เรา เพื่อความรอดของเราตลอดเวลา เรื่องขลังและศักดิ์สิทธิ์นั้น ยกถวายพระศาสดาแต่พระองค์เดียวเถิด อย่าเกี่ยวข้องกับพวกสมัยนี้เลยจะเกิดงมงายเลอะเลือนขึ้นโดยไม่รู้ตัว แก่ทั้งสองฝ่าย การสอบไล่ได้ มีแต่สุตมยปัญญา และจินตามยปัญญาบ้าง หามีภาวนานามยปัญญาไม่ อย่าอวดดีไปนักเลย จะไม่พบกับความดับทุกข์ ลาภสัการ สิโลกสมัยนี้ ยังเป็นอันตรายแก่พรหมจรรย์อย่างเลวร้าย ดังที่ตรัสไว้ในพระบาลี(ลาภสักการสิยุกต์) ตามเดิมทุกประการ บุญ บาป.เป็นสิ่งขึ้นอยู่กับเจตนา และรู้สึกอยู่แก่ใจทั้งนั้น สำคัญอยู่ที่ว่าเราบังคับจิตให้ทำ หรือให้เว้นได้หรือไม่ เท่านั้น. ระวังการคิดปรุงของจิต มันอาจเอาเรื่องที่ไม่ควรคิด หรือยังไม่ต้องคิด มาคิดปรุงให้รู้สึกเป็นทุกข์หรือสุขได้ เป็นเรื่องหลอกโดยเท่ากัน
|
|
| เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 09 พ.ค. 2010, 15:41 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
วันคืนล่วงไปมิได้ล่วงไปเปล่า แต่ได้ทำให้ชีวิตมีความรู้หรือประสบการณ์เพิ่มขึ้นโดยเท่ากัน หากแต่คนโง่ไม่รู้สึกและนำมาใช้ ให้เป็นประโยชน์เท่านั้น หยูกยาหรือศิลปวัตถุบางอย่างที่เขาใช้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งอยู่เป็นประจำวันจริงๆ แต่เขาไม่รู้สึกขอบคุณผู้ผลิตเพราะคิดว่าเขาซื้อมันมา นี้เป็น"อกตัญญู อัตโนมัติ" เขาได้ฟังธรรมนำไปใช้เป็นประโยชน์หรือ พูดต่อโดยไม่รู้สึกขอบคุณผู้แสดงโดยถือว่า เป็นของแจกทั่วไป ๆนี้ คือโจรโขมยอัตโนมัติโดยสันดาน "กินดี อยู่ดี"นั่นแหละระวัง มันทำให้เป็นโรคทางกาย(แม้ทางตา) และโรคทางจิต คืออุปาทานในอร่อย สวยงาม นำมาซึ่งปัญหาทางเศรษฐกิจ ต้องเปลี่ยนเป็นกินอยู่แต่พอดี. ศิลปวัตถุปัจจัยบางประการ เป็นบาปกัดกร่อนทางวิญญานอยู่อย่างเล้นลับสำหรับมนุษย์ ได้แก่ศิลปวัตถุและที่กำลังนิยมนั่นเอง ความแตกฉานในทางปรมัตถปรัชญานั้น เป็นเรื่องต่างหากจากความเป็นพระอรหันต์ อย่าเอาไปปะปนกัน อาจจะลืมตัวสำคัญตนเป็นอรหันต์ก็ได้ ปัญหาที่ว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ เป็นบุคคลหรือไม่ใช่ ,ประทานคัมภีร์มาให้จริงหรือไม่,นั่นไม่สำคัญ,สำคัญแต่คำที่สอนนั้น ปฏิบัติตามแล้วดับทุกข์ได้จริงหรือไม่เท่านั้น พระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่,ตรัส ไตรปิฏกไว้จริงหรือไม่ ปัญหานี้พักไว้ก่อนก็ได้ พิจารณาแต่ว่าถ้อยคำที่ตรัสไว้นั้น ปฏิบัติตามแล้วดับทุกข์ได้หรือไม่เท่านั้นก็พอ หลักกาลามสูตร เป็นเครื่องช่วยให้เราไม่ต้องมีปัญหาว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นจริงหรือ? ตรัสพระไตรปิฏกจริงหรือ? คัดลอกกันมาถูกต้องตามเดิมหรือ?ไม่มีปลอมปน? พระเจ้าแท้จริง เป็นหัวใจของทุกๆศาสนา คือ "กฏ หรือ ภาวะ ของความถูกต้องตามธรรมชาติเพื่อความรอด",.พุทธศาสนายิ่งมี คือ กฏ หรือ ภาวะที่เป็นไปตามกฏ อิทัปปฯ.
|
|
| เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 09 พ.ค. 2010, 16:00 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
เศรษฐกิจดี การเมืองดี การปกครองดี กสิกรรม-อุตสาหกรรมดี แต่คนไม่มีศีลธรรม ผลจะเป็นอย่างไร? ยิ่งวิกฤตกาลกว่าไม่ดี? อำนาจการซื้อ เป็นอำนาจสูงสุดทางเศรษบกิจและทางการต่างประเทศ มีต้นตอแท้จริงมาจาก การผลิตด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของกสิกร,.ทำไมมองแต่นักเศรษฐกิจ. ครูเป็นที่ปรากฏแล้วว่า เกลียดคำว่า"ศีลธรรม" มากที่สุด เพราะมันข้าศึกต่อ เหล้า- บุหรี่-ผู้หญิง,.จึงไม่มีอารมณ์ที่จะศึกษาสั่งสอนอบรมศีลธรรม แม้แต่เด็กกำพร้า หูหนวก ตาบอด ก็ปฏิเสธที่ศึกษาปฏิบัติศีลธรรม ราวกับว่าเป็นสิ่งไร้สาระไม่ชื่นใจอะไร? ช่างสมกับความหนวกบอด เด็กที่ตาดีหูดีจะไม่ยิ่งไปกว่า?? เราประเทศด้อยพัฒนา กำลังทำตามอย่างประเทศเต็มพัฒนา ทั้งที่ประเทศเหล่านั้น ยังมีสภาพไร้ศีลธรรม เต็มไปด้วยอาชญากรรมยิ่งกว่าเราไปเสียอีก ครูยังบอกนักเรียนว่า เหล้ามีโทษเพียงเล็กน้อย ยังเป็นที่ยอมรับของสังคม ยังเป็นทางมาแห่งรายได้มหาศาลของประเทศ แล้วก็ชวนนักเรียนดื่มเหล้า,..เรื่องจริงที่ไม่น่าเชื่อ แต่มีจริงๆ การบวชนาค ฝังนิมิตรสีมา ฯลฯ ทอดกฐินผ้าป่า ชนิดที่ทำลายเศรษฐกิจและศีลธรรม นั้น ไม่ใช่ของพุทธศาสนาและไม่เคยมีในพุทธกาล อย่ามัวเป็นห่วงว่าเขาจะตอบแทนไม่คุ้มกับความดีของท่าน เพราะความดีของเรา ย่อมใหญ่ยิ่ง เกินกว่าที่ใครจะตอบแทนให้คุ้มกันได้ หลายเท่านัก แม้มองเห็นว่าโลกปัจจุบันของเรามีความบาป เลวร้าย มดเท็จหลอกลวง เหลือที่เราคนเดียวจะแก้ไขได้แล้ว เราก็ไม่วางมือ,แต่จะชักชวนร่วมมือกัน หาธรรมะที่สามารถแก้ไขยิ่ง ชีวิตของเรามีค่ามากสำหรับเราเพียงไร แต่ก็ไม่เกินกว่าที่เราจะเสียสละมันไป เพื่อความรอดสำหรับเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกของเรา อยู่นั่นเอง.
|
|
| เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 10 พ.ค. 2010, 09:22 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
เพราะเราเอากิเลสเป็นตัวเองโดยไม่รู้สึกตัว เราจึงพัฒนาตัวเองและช่วยผู้อื่นแต่ในทางเป็นปัจจัยแก่กิเลส ไม่เหมาะแก่ตัวที่เป็นธรรมเสียเลย คำว่า"เพื่อน-เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย มีสองความหมาย,.เพื่อนมีกิเลสแล้วจมอยู่ในกองทุกข์ด้วยกัน,.กับเพื่อนต่อสู้กิเลสและพ้นจาก เกิก-แก่-ฯลฯ ด้วยกัน เมื่อทรงพระชนม์อยู่ ตรัสว่าเห็นกายพระองค์แต่ไม่เห็นธรรมไม่ชื่อว่าเห็นพระองค์ บัดนี้เราจะเห็นอัฐิตตุรูปหล่อรูปวาดให้เป็นพระองค์ได้อย่างไร..รีบเห็นธรรมกันเถิด ศาสนาวัตถุ-ศาสนสถาน-ศาสนพิธี ยิ่งมีมาก ยิ่งปิดบังการเห็นธรรม แม้แต่จะเห็นเปลืกของธรรมก็ยังยาก จะต้องชำระสะสางปรับปรุงสิ่งนั้นๆ ให้มรการปิดบัง น้อยลง เมื่อพระองค์ยังอยู่ก็ดี ล่วงลับไปแล้วก็ดี การเห็นพระองค็มีอย่างเดียว วิธีเดียวเท่านั้น คือการเห็นธรรม(ธรรมกาย) ทำไมคำว่า"ขลัง" "ศักดิ์สิทธิ์" จึงไม่มีในพระบาลีแห่งพระไตรปิฏก(แม้มีคำว่า สีลัพตปรามาส ก็ไม่ใช่)ทั้งนี้เพราะใน พ.ไม่มี+ของขลัง-ศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง คนแขวนพระเครื่องคือคนไม่ถือพุทธศาสนา เพราะถือสีลพตปรามาส หวังพึ่งของขลังศักดิ์สิทธิ์ไม่พึ่งตัวเอง ไม่เชื่อกรรม หรือกฏอิทัปป. ตามหลักพุทธศาสนาเลย การนำบทสวด เช่นบท สรณาคมนี้ เป็นต้นมาสวดเล่น แซก บทบรรยายทางวิทยุเป็นต้นนั้น มีผลทางลบมิใช่น้อย ปฏิบัติวิปัสนาที่ไหน?-เมื่อไร? ตอบ ทุกแห่งที่มีการหายใจ อิริยาบถทุกชนิด, ขณะที่จิตกำหนดอะไรอยู่ในตนเป็นสันทิฏฐิโก(ปัญหาของพวกอยู่ในบ้าน ที่อึกทึกวุ่นวาย) การรู้เรื่อง,การรู้จัก(เห็น),การได้-ถึง(มี)พระรัตนตรัย,มิใช่สิ่งเดียวกัน จึงเป็นสิ่งที่จะมีได้ตามลำดับ ๓ ลำดับ.อย่าเอาไปปะปนกันอย่างไร้ความหมาย เช่นที่กำลังทำกันอยู่
|
|
| เจ้าของ: | ศรีสมบัติ [ 10 พ.ค. 2010, 09:50 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความลับสุดยอด(ท่าน พุทธทาส) |
ถ้าท่านเข้าใจเรื่องสังสาระหรือ เกิดใหม่ ในกระแสปฏิจจ. ของแต่ละวัน ท่านก็จะเห็น-เรียนรู้-เข้าใจ-สัมผัส สันทิฏฐิกนิพพาน ได้อย่างสมหลักวิทยาศาสตร์ ในแต่ละศาสนาพูดถึง rebirth หรือเกิดใหม่ แต่ไม่มีสักรายเดียว ที่ตรงหรือเข้ากันได้ กับ"เกิดรอบหลังๆ" ในปฏิจจสมุป. ซึ่งเกิดวันเดียวนับไม่ไหว คำว่า"การเกิดใหม่ในสงสารวัฏ" ที่พุทธบริษัทยึดถือกันอยู่นั้นไม่ตรงตามนัยแห่งปฏิจจสมุปบาท,ไม่สันทิฏฐิกโก, ไม่ช่วบให้ดับเสียแล้วถึงนิพพานได้,แต่เป็นฮินดู หนังสือไตรภูมิพระร่วง ถ้าศึกษาไม่ดี จะกลายเป็นฮินดู และเข้าถึงอนัตตา หรือ โลกุตตระไม่ได้, ต้องระวังกันให้มากจึงจะปลอดภัย ประเทศชาติก็อย่างหนึ่ง, ชาติเกิดจากท้องแม่นั้นก็อย่างหนึ่ง แต่ที่เกิดทุกทีเป็นทุกข์ทุกทีนั้น คือชาติที่เกิดจากอวิชชาสัมผัส รู้สึกเป็นตัวกูของกู ถ้าอยากพบพระเจ้าที่แท้จริง อย่าตั้งปัญหาอย่างอื่นใดนอกจาก ปัญหาว่า อะไรที่สร้าง-ควบคุม-ทำลายโลกใหญ่ยิ่ง-รู้-สิ่งทั้งปวง-มีในนี้ทั้งปวง. ภิกษุ(ผู้เห็นภัยในโลก)ที่แท้จริงก็มีคำพูดที่ควรรับฟัง เช่นเดียวกับของอรหันต์ชินะ เช่นเดียวกัน,บางทีจะเหมาะกว่าเสียอีก อาจารย์บางคนถือว่าสมอง มีศูนย์กลางอยู่ที่ทรวงอกตรงหัวใจ ศูนย์นี้สั่งสมอง,สมองสั้งกายอีกที,นี่ติดฝิ่นคัมภีร์บางคัมภีร์ ที่กล่าวว่าจิตอยู่หัวใจมาก่อน. พระอาจารย์ที่ได้รับความนับถือเป็นผู้วิเศษ ที่หลงใหลบูชาของคนล้านๆ นั้น เป็นเพียงจุดศูนย์รวมแห่งความหลงใหล ของคนจำนวนเท่านั้น หาใช่ พระ สาวก ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานไม่ บางที ความขี้เกียจของเรามีกำลังมากกว่าความอยากดีมีประโยชน์ ดังนั้น ต้องฝึกการบังคับจิตให้ได้มากพอกับความมีสติปัญญาของเรา ส่วนมากเขาจะว่าดีก็ต่อเมื่อเขา ได้รับประโยชน์จากการกระทำของเรา ถ้าเขาไม่ได้แต่ไปได้กับผู้อื่น เราก็เป็นคนดีที่เขาไม่ต้องการ ความขลัง หรือ ศักดิ์สิทธิ์ของท่านอาจารย์ผู้วิเศษนั้น ขึ้นอยู่กับความโง่มากโง่น้อย งมงายมากน้อยของประชาชน,.นี้ไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนา ซึ่งมีธรรมบริสุทธิ์เป็นสิ่งสูงสุด
|
|
| หน้า 1 จากทั้งหมด 3 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
| Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |
|