ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จมาอนุโมทนาหลวงปู่มั่น http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=30630 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 04 เม.ย. 2010, 21:22 ] | |||
หัวข้อกระทู้: | พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จมาอนุโมทนาหลวงปู่มั่น | |||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() หลังจากท่านเดินทางถึงแดนแห่งวิมุตติแล้ว คืนต่อ ๆ มามีพระพุทธเจ้าพร้อมพระสาวกจำนวนมากเสด็จมาอนุโมทนาวิมุตติธรรมกับท่านเสมอมิได้ขาด คืนนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นกับพระสาวกบริวารเป็นจำนวนหมื่นเสด็จมาเยี่ยม คืนนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นกับสาวกบริวารจำนวนแสนเสด็จมาเยี่ยม คืนนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นมีสาวกเท่านั้นเสด็จมาเยี่ยมอนุโมทนา จำนวนพระสาวกที่ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาแต่ละพระองค์นั้นมีจำนวนไม่เท่ากัน ทั้งนี้ท่านว่าขึ้นอยู่กับที่พระสาวกตามเสด็จมาด้วยแต่ละพระองค์นั้น มิได้ตามเสด็จมาทั้งหมดในบรรดาพระสาวกของแต่ละพระองค์ที่มีอยู่ แต่ที่ตามเสด็จมามากน้อยต่างกันนั้น พอแสดงให้เห็นภูมิพระวาสนาบารมีของแต่ละพระองค์นั้นต่างกันเท่านั้น บรรดาพระสาวกจำนวนมากของแต่ละพระองค์ที่ตามเสด็จมานั้น มีสามเณรติดตามมาด้วยครั้งละไม่น้อยเลย ท่านสงสัยจึงพิจารณาก็ทราบว่า คำว่าพระอรหันต์ในนามธรรมนั้นมิได้หมายเฉพาะพระ แต่สามเณรที่มีจิตบริสุทธิ์หมดจดก็นับเข้าในจำนวนสาวกอรหันต์ด้วย ฉะนั้นที่สามเณรติดตามมาด้วยจึงไม่ขัดกัน ในพระโอวาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ประทานอนุโมทนาแก่พระอาจารย์มั่นนั้น ส่วนใหญ่มีว่า เราตถาคตทราบว่าเธอพ้นโทษจากอนันตรทุกข์ในที่คุมขังแห่งเรือนจำของวัฏทุกข์ จึงได้มาเยี่ยมอนุโมทนา ที่คุมขังแหล่งนี้ใหญ่โตมโหฬารและแน่นหนามั่นคงมาก และมีเครื่องยั่วยวนชวนให้เผลอตัวและติดอยู่รอบตัวไม่มีช่องว่าง จึงยากที่จะมีผู้แหวกว่ายออกมาได้ เพราะสัตว์โลกจำนวนมากไม่ค่อยมีผู้สนใจกับทุกข์ที่เป็นอยู่กับตัวตลอดมา ว่าเป็นสิ่งที่ทรมานและเสียดแทงร่างกายจิตใจเพียงใด พอจะคิดเสาะแสวงหาทางออกด้วยวิธีต่าง ๆ เหมือนคนเป็นโรคแต่มิได้สนใจกับยา ยาแม้มีมากจึงไม่มีประโยชน์สำหรับคนประเภทนั้น ธรรมของเราตถาคตก็เช่นเดียวกับยา สัตว์โลกอาภัพเพราะโรคกิเลสตัณหาภายในใจเบียดเบียนเสียดแทง ทำให้เป็นทุกข์แบบไม่มีจุดหมายว่าจะหายได้เมื่อไร สิ่งตายตัวก็คือโรคพรรค์นี้ ถ้าไม่รับยาคือธรรมจะไม่มีวันหายได้ ต้องฉุดลากสัตว์โลกให้ตายเกิดคละเคล้าไปกับความทุกข์กายทุกข์ใจ และเกี่ยวโยงกันเหมือนลูกโซ่ตลอดอนันตกาล ธรรมแม้จะมีเต็มไปทั้งโลกธาตุ ก็ไม่สามารถอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้ไม่สนใจนำไปปฏิบัติรักษาตัวเท่าที่ควรจะได้รับจากธรรม ธรรมก็อยู่แบบธรรม สัตว์โลกก็หมุนตัวเป็นกงจักรไปกับทุกข์ในภพน้อยภพใหญ่แบบสัตว์โลก โดยไม่มีจุดหมายปลายทางว่าจะสิ้นสุดทุกข์กันลงได้เมื่อใด ไม่มีทางช่วยได้ ถ้าไม่สนใจช่วยตัวเองโดยยึดธรรมมาเป็นหลักใจและพยายามปฏิบัติตาม พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้เพิ่มจำนวนองค์และสั่งสอนมากมายเพียงไร ผลที่ได้รับก็เท่าที่โรคประเภทคอยรับยามีอยู่เท่านั้น ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ว่าพระองค์ใด มีแบบตายตัวอยู่อย่างเดียวกัน คือสอนให้ละชั่วทำดีทั้งนั้น ไม่มีธรรมพิเศษและแบบสอนพิเศษไปกว่านี้ เพราะไม่มีกิเลสตัณหาพิเศษในใจสัตว์โลกที่พิเศษเหนือธรรมซึ่งประกาศสอนไว้ เท่าที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายประทานไว้แล้วเป็นธรรมที่ควรแก่การรื้อถอนกิเลสทุกประเภทของมวลสัตว์อยู่แล้ว นอกจากผู้รับฟังและปฏิบัติตามจะยอมแพ้ต่อเรื่องกิเลสตัณหาของตัวเสียเอง แล้วเห็นธรรมเป็นของไร้สาระไปเสียเท่านั้น ตามธรรมดาแล้วกิเลสทุกประเภทต้องฝืนธรรมดาดั้งเดิม คนที่คล้อยตามมันจึงเป็นผู้ลืมธรรมไม่อยากเชื่อฟังและทำตาม โดยเห็นว่าลำบากและเสียเวลาทำในสิ่งที่ตนชอบ ทั้งที่สิ่งนั้นให้โทษ ประเพณีของนักปราชญ์ผู้ฉลาดมองเห็นการณ์ไกล ย่อมไม่หดตัวมั่วสุมอยู่เปล่า ๆ เหมือนเต่าถูกน้ำร้อนไม่มีทางออก ต้องยอมตายในหม้อที่กำลังเดือดพล่าน โลกเดือดพล่านอยู่ด้วยกิเลสตัณหาความแผดเผา ไม่มีกาลสถานที่ที่พอจะปลงวางลงได้ จำต้องยอมทนทุกข์ทรมานไปตาม ๆ กัน โดยไม่นิยมสัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์อยู่บนอากาศและใต้ดิน เพราะสิ่งแผดเผาเร่าร้อนอยู่กับใจ ความทุกข์จึงอยู่ที่นั่น ที่นี่เธอเห็นพระตถาคตอย่างแท้จริงแล้วมิใช่หรือ? พระตถาคตแท้คืออะไร คือความบริสุทธิ์แห่งใจที่เธอเห็นแล้วนั้นแล ที่พระตถาคตมาในร่างนี้ มาในร่างแห่งสมมุติต่างหาก เพราะพระตถาคตและพระอรหันต์อันแท้จริงมิใช่ร่างแบบที่มากันนี้ นี่เป็นเพียงเรือนร่างของตถาคตโดยทางสมมุติต่างหาก ท่านพระอาจารย์กราบทูลว่า ข้าพระองค์ทราบพระตถาคตและพระสาวกอรหันต์อันแท้จริงไม่สงสัย ที่สงสัยก็คือ พระองค์ทั้งหลายกับพระสาวกท่านที่เสด็จไปด้วยอนุปาทิเสสนิพพานไม่มีส่วนสมมุติยังเหลืออยู่เลย แล้วเสด็จมาในร่างนี้ได้อย่างไร? พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งแม้มีความบริสุทธิ์ทางใจด้วยดีแล้ว แต่ยังครองร่างอันเป็นส่วนสมมุติอยู่ ฝ่ายอนุปาทิเสสนิพพานก็ต้องแสดงสมมุติตอบรับกัน คือต้องมาในร่างสมมุติซึ่งเป็นเครื่องใช้ชั่วคราวได้ ถ้าต่างฝ่ายต่างเป็นอนุปาทิเสสนิพพานด้วยกันแล้วไม่มีส่วนสมมุติยังเหลืออยู่ ตถาคตก็ไม่มีสมมุติอันใดมาแสดงเพื่ออะไรอีก ฉะนั้นการมาในร่างสมมุตินี้จึงเพื่อสมมุติเท่านั้น ถ้าไม่มีสมมุติเสียอย่างเดียวก็หมดปัญหา พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงทราบเรื่องอดีตอนาคตก็ทรงถือเอานิมิต คือสมมุติอันดั้งเดิมของเรื่องนั้น ๆ เป็นเครื่องหมายให้ทราบ เช่น ทรงทราบอดีตของพระพุทธเจ้าทั้งหลายว่าทรงเป็นมาอย่างไรเป็นต้น ก็ต้องถือเอานิมิตของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น และพระอาการนั้น ๆ เป็นเครื่องหมายพิจารณาให้รู้ ถ้าไม่มีสมมุติของสิ่งนั้น ๆ เป็นเครื่องหมาย ก็ไม่มีทางทราบได้ในทางสมมุติ เพราะวิมุตติล้วน ๆ ไม่มีทางแสดงได้ ฉะนั้นการพิจารณาและทราบได้ ต้องอาศัยสมมุติเป็นหลักพิจารณา ดังที่เราตถาคตนำสาวกมาเยี่ยมเวลานี้ ก็จำต้องมาในรูปลักษณะอันเป็นสมมุติดั้งเดิม เพื่อผู้อื่นจะพอมีทางทราบได้ว่า พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ๆ และพระอรหันต์องค์นั้น ๆ มีรูปลักษณะอย่างนั้น ๆ ถ้าไม่มาในรูปลักษณะนี้แล้ว ผู้อื่นก็ไม่มีทางทราบได้ เมื่อยังต้องเกี่ยวกับสมมุติในเวลาต้องการอยู่ วิมุตติก็จำต้องแยกแสดงออกโดยทางสมมุติเพื่อความเหมาะสมกัน ถ้าเป็นวิมุตติล้วน ๆ เช่นจิตที่บริสุทธิ์รู้เห็นจิตที่บริสุทธิ์ด้วยกัน ก็เพียงแต่รู้อยู่เห็นอยู่เท่านั้น ไม่มีทางแสดงให้รู้ยิ่งกว่านั้นไปได้ เมื่อต้องการทราบลักษณะอาการของความบริสุทธิ์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ก็จำต้องนำสมมุติเข้ามาช่วยเสริมให้วิมุตติเด่นขึ้น พอมีทางทราบกันได้ว่าวิมุตติมีลักษณะว่างเปล่าจากนิมิตทั้งปวง มีความสว่างไสวประจำตัว มีความสงบสุขเหนือสิ่งใด ๆ เป็นต้น พอเป็นเครื่องหมายให้ทราบได้โดยทางสมมุติทั่ว ๆ ไป ผู้ทราบวิมุตติอย่างประจักษ์ใจแล้ว จึงไม่มีทางสงสัยทั้งเรื่องวิมุตติแสดงตัวออกต่อสมมุติในบางคราวที่ควรแก่กรณี และทรงตัวอยู่ตามสภาพเดิมของวิมุตติ ไม่แสดงอาการ ที่เธอถามเราตถาคตนั้น ถามด้วยความสงสัย หรือถามพอเป็นกิริยาแห่งการสนทนากัน ท่านกราบทูลว่า ข้าพระองค์มิได้มีความสงสัยทั้งสมมุติและวิมุตติของพระองค์ทั้งหลาย แต่ที่กราบทูลนั้นก็เพื่อถวายความเคารพไปตามกิริยาแห่งสมมุติเท่านั้น แม้พระองค์กับพระสาวกจะเสด็จมาหรือไม่ก็มิได้สงสัยว่าพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์อันแท้จริงมีอยู่ ณ ที่แห่งใด แต่เป็นความเชื่อประจักษ์ใจอยู่เสมอว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต อันแสดงว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ มีใช่ธรรมชาติอื่นใดจากที่บริสุทธิ์หมดจดจากสมมุติในลักษณะเดียวกันกับพระรัตนตรัย พระพุทธเจ้าตรัสว่า การที่เราตถาคตถามเธอ ก็มิได้ถามด้วยความเข้าใจว่าเธอมีความสงสัย แต่ถามเพื่อเป็นสัมโมทนียธรรมต่อกันเท่านั้น บรรดาพระสาวกที่ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาแต่ละพระองค์และแต่ละครั้งนั้น มิได้กล่าวปราศรัยอะไรกับท่านพระอาจารย์มั่นเลย มีพระพุทธเจ้าประทานพระโอวาทพระองค์เดียว ส่วนพระสาวกทั้งหลายเป็นเพียงนั่งฟังอยู่อย่างสงบเสงี่ยม น่าเคารพเลื่อมใสมากเท่านั้น แม้สามเณรองค์เล็ก ๆ ที่น่ารักมากกว่าจะน่าเคารพเลื่อมใส ก็นั่งฟังอยู่อย่างสงบเสงี่ยม เช่นเดียวกับพระสาวกทั้งหลาย อันเป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสมากและน่ารักมากด้วย ซึ่งยังอยู่ในวัยเล็กมากก็มี อายุราว ๙ ขวบ ๑๐ ขวบ ๑๑ ขวบ -
|
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 04 เม.ย. 2010, 21:45 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จมาอนุโมทนาหลวงปู่มั่น | ||
นิพพานไม่สูญ ประสบการณ์โลกทิพย์ ในการออกธุดงค์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต (ต่อ) พระอาจารย์มั่นยืนยันว่านิพพานไม่สูญ ! นิพพานปรม สูญญแปลว่า นิพพานเป็นธรรมะว่างอย่างยิ่ง เป็นแดนว่างหรือปลดจากอุปสรรขัดขวาง หรือขัดข้องทั้งสิ่งทั้งปวง เป็นแดนของวิสุทธิเทพคือผู้เป็นพระอรหันต์ ที่ละลายกายทิพย์หมดสิ้นแล้วเหลืออยู่แต่จิตสุขใสเป็นดวงประกายพรึกพระอรหันต์สถิตย์อยู่ในแดนพระนิพพานนั้น ถ้าท่านต้องการจะทำอะไร ทำอย่างไรจะให้อะไรเป็นอะไร ท่านก็สามารถนฤมิตด้วยสำเร็จทุกอย่างไม่มีอะไรขัดข้อง ปลอดจากอุปสรรคทั้งปวง ท่านสามารถแบ่งภาคได้ร้อยแปดพันประการไม่จำกัดขอบเขต ไม่จำกัดกาลเวลาคำว่า นิพพานปรม สูญญที่แปลกันไปว่า นิพพานเป็นแดนสูญสิ้นไม่มีอะไรเหลือเลยนั้น พระอาจารย์มั่นบอกว่า ไม่เป็นความจริง นิพพานไม่ใช่สูญ ! ปรม สูญญที่แปลกันไปว่าคือ สูญโญ อันหมายถึงสภาวะไม่มีอะไรเลยอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการแปลหรือตีความที่ผิด การแปลความความแบบนี้ก็เพื่อจะยืนยันความคิดนึกเดาเอาตามมติของตนเองว่า นิพพานคือภาวะดับสูญอย่างเด็ดขาด ซึ่งมีค่าเท่ากับที่ลัทธิศูนยวาทว่าไว้ว่าไม่มีอะไร ๆ ก็หายสาปสูญไปหมด เรียกไม่รู้ กู่ไม่กลับ กู่ไม่กลับนั่นเอง นิพพานไม่ใช่แดนสูญอย่างที่เข้าใจกันเลย ! นิพพานเป็นแดนทิพย์คล้ายพรหมโลก แต่สวยงามวิจิตรพิสดารยิ่งกว่าพรหมโลก ผู้สำเร็จพระอรหันต์เข้าสู่แดนพระนิพพานนั้น มีร่างทิพย์ที่ละเอียดที่นฤมิต ไม่ใช่กายทิพย์ธรรมดาเหมือนโอปปาติกะทั้งหลาย กายทิพย์ หรือ ธรรมกาย ของพระอรหันต์ในแดนนิพพานเป็นกายทิพย์ที่นฤมิตขึ้นด้วยธรรม ไม่ได้เกิดขึ้นเองเป็นเองโดยธรรมชาติของโลกวิญาณร่างธรรมกายของพระอรหันต์เป็นทิพย์ละเอียดใสสะอาดใสเป็นประกายคล้ายแก้วประกายพรึก มีรัศมีสว่างไสวมากกว่าพระพรหมอย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุดอย่างไม่มีอะไรเปรียบเทียบเพราะความรู้สึกอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์ ! พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ที่เข้าสู่แดนพระนิพพานไปนมนานกาเลแล้วนั้น ไม่ได้สูญพันธุ์ไปหมดเหมือนไดโนเสาเต่าพันปี ดังที่เข้าใจ พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายยังอยู่ ทรงอยู่ในสภาพของจิดคล้ายดาวประกายพรึกแต่เป็นดวงจิดที่รอบรู้สัพพัญุตญาณคือความเป็นผู้รู้แจ้งแทงตลอด หมดสิ้นในเรื่องของสกลจักรวาล รู้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้องแม่นยำไม่มีผิดพลาดโลกเราเป็นวัตถุถุก้อนหนึ่งล่องลอยโคจรไปในอวกาศอันกว้างใหญ่ไพศาลหาขอบเขต ไม่ได้ เปรียบไปก็คล้ายเป็นยานอวกาศลำกระจ้อยร่อยเหลือเกินเมื่อเปรียบเทียบกับความกว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาลเวลานับแสนนับล้านปี ของโลกเราที่หมุนไปอาจจะเป็นเสี้ยววินาทีเดียวของเวลาสากลจักรวาลก็ได้ ดังนั้นเวลา 2525 ปี นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่หระนิพพานไป อาจจะเป็นเวลาเพียงเศษหนึ่งส่วนล้านวินาทีของเวลาในแดนพระนิพพานก็ได้พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกยังอยู่ในแดนพระนิพพาน ไม่ได้หายลับดับสูญไปไหน ! ท่านพระอาจารย์ทั่น ภูริ ทัตตเถระ เล่าไว้อย่างน่าสนใจว่า หลังจากท่านบรรลุธรรมชั้นสูงสุดแล้วในคืนวันต่อมา พระพุทธเจ้าพร้อมด้วย พระสาวกอรหันต์สาวกจำนวนมากได้เสด็จมาทางนิมิตรสมาธิ แสดงอนุโมทนาวิมุติกับท่าน คือแสดงความยินดีที่ท่านพระอาจารย์มั่นบรรลุอรหันตผล ลวงตาหรือกายทิพย์ เรื่องนี้มีท่านผู้อ่านวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางว่า เป็นไปไม่ได้ ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย จะยังมี “ร่างทิพย์” เหลืออยู่และเสด็จมาโปรดได้ เพราะพระพุทธเจ้าเข้าสู่พระปรินิพานดับสูญสิ้นเชื้อพันธ์ไปกว่าสองพันปีแล้ว ให้อะไรเหลืออยู่อีกเลย พระพุทธองค์จะเสด็จมาได้อย่างไร แม้ว่าจะเสด็จมา ในรูปกายทิพย์ก็ตามเถิดก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน นักวิจารณ์ที่เป็นจอมปราชญ์ทางปริยัติก็กล่าวหาว่า ท่านพระอาจารย์มั่นน่าจะได้เห็นภาพลวงตา ซึ่งเกิดจากเข้าสมาธิลึกๆเสียมากกว่า อาการเห็นภาพลวงตาแบบนี้คัมภีร์วิสุทธิมรรคกล่าวไว้ว่าเป็นความวิปลาสอย่างหนึ่ง คือความรู้เห็นที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ความฝันแปรกลับกลายอันเป็นลักษณะมายาหลอนจิต คำกล่าวหาว่า พระอาจารย์มั่นวิปลาสไปขณะเข้าสมาธิลึกๆนี้ เป็นคำกล่าวหาที่อ้างอิงบิดเบือนไม่รู้จริงถึงเรื่องสมาธิ ตามหลักพระพุทธศาสนาหรืออาจจะรู้จริงเรื่องหลักสมาธิเหมือนกันแต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติ หากรู้ได้ด้วยการสักแต่ว่าอ่านจากตำราแบบความรู้ท่วมหัว แต่ไม่เอาตัวเข้าปฏิบัติ การรู้ด้วยวิธีนี้ เป็นการรู้ด้วยความคาดหมายหรือคาดคะเนเอา ตามนิสัยของมนุษย์ที่ชอบค้นชอบเดาเอาตามสันดาน เป็นความเห็นตามสัญญา หรือความจำได้หมายรู้จากตำราไม่ใช่รู้จากการลงมือปฏิบัติด้านสมาธิจิตวิปัสสนากรรมฐานเพราะการรู้ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เพราะการรู้ด้วยการปฏิบัติ วิปัสสนานี้เป็นการหยั่งรู้ด้วยปัญญาล้วนๆ ฉะนั้นความเห็นตามสัญญากับความเห็นตามปัญญาผลย่อมจะต่างกันราวฟ้ากับดิน พระอาจารย์มั่นเห็นอะไรต่ออะไร ได้ด้วยปัญญาของท่านไม่ใช่เห็นตามสัญญาความจำได้หมายรู้ การที่หาญไปวิพากษ์วิจารณ์ท่านพระอาจารย์มั่นเช่นนี้ เป็นการเอาระดับความนึกคิดของตนซึ่งเป็นปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลส ไปวัดอารมณ์และสติปัญญาของพระอาจารย์มั่นซึ่งเป็นพระอริยเจ้าผู้ทรงภูมิธรรมขั้นสูง เปรียบไปแล้วก็เหมือนเราเป็นแค่นักเรียนอนุบาลหาญกล้าไปวิพากษ์วิจารณ์ภูมิรู้ในด้านการปฏิบัติของศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญในห้องทดลองวิทยาศาสตร์แน่นอน... การวิพากษ์วิจารณ์นั้นย่อมจะไร้เดียงสาผิดพลาด อย่างน่าสงสาร ......
|
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 05 เม.ย. 2010, 01:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จมาอนุโมทนาหลวงปู่มั่น |
ก็เพราะคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว..รู้แล้ว..นี้แหละ ทิฎฐิบดบังความจริง.. เหม่าไปว่า..สิ่งใดที่ตัวเองไม่เห็น..ก็ว่ามันไม่มี ลองไปถามคนตาบอดดูซิ..เขาจะคิดว่า..แสงเป็นยังงัย.. ![]() |
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 05 เม.ย. 2010, 07:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จมาอนุโมทนาหลวงปู่มั่น |
วิจารณ์ หลวงพ่อสด วิจารณ์ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ก็เข้าข่ายนี้ เหมือนกัน...ไร้เดียงสาน่าสงสาร ![]() เอาแค่เชื้อโรคก็พอ มันยังมองไม่เห็นกันเลยง่ะ.... มันมีอยู่จริงแท้ๆเลย ง่ะ ![]() ![]() |
เจ้าของ: | sirisuk [ 05 เม.ย. 2010, 09:33 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จมาอนุโมทนาหลวงปู่มั่น | ||
![]() ![]() ![]() บอกพระนิพพานแก่คนไม่ใช่มุนี เหมือนบอกสีแก่คนตาบอด โดยหลวงปู่ชา สุภทฺโธ อย่างเรื่องพระนิพพานนี่ พระพุทธเจ้าท่านก็พูดไว้คลุมเครือ คือจะบอกคนชัดไม่ได้นั่นเองแหละ คนตาบอดนี่ มันบอดอย่างสนิทนะ ลองบอกสีให้มันชัดสิ เหลืองแท้ ๆ ไปถามคนตาบอดสิมันรู้จักมั้ย ยิ่งบอกมันก็ยิ่งไม่รู้จัก เราจะแก้ไขยังไงดี เราต้องย้อนกลับมาสิ ตาคุณทำไมถึงบอด มาพูดเรื่องรักษาตากันดีกว่า ขอให้ตาดีเถอะ สีแดง สีเขียว ไม่ต้องสอนหรอก จะรู้เอง ![]() ![]() ![]() ![]()
|
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 05 เม.ย. 2010, 10:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จมาอนุโมทนาหลวงปู่มั่น |
ส่วนตัวคิดว่าไม่คลุมเครือ...แต่...จะทำให้แจ้ง ..นั้น...ยาก!!! |
เจ้าของ: | Bwitch [ 05 เม.ย. 2010, 10:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จมาอนุโมทนาหลวงปู่มั่น |
อ้างคำพูด: ........................ ธัมมานุสสติ ....... (หันทะ มะยัง ธัมมานุสสะตินะยัง กะโรมะ เส) ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรม เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสไว้ดีแล้ว, สันทิฏฐิโก, ![]() ![]() อะกาลิโก, ................................ เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล, เอหิปัสสิโก, .............................. เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด, โอปะนะยิโก, ............................ เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว, ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูฮี ติ, .... เป็นสิ่งที่ผู้รู้ ก็รู้ได้เฉพาะตน ดังนี้. ![]() คัดลอกมาจาก หนังสือสวดมนต์-ไหว้พระ-สาธยายธรรม สาธุเจ้าค่ะ ไ้ด้โปรดอดโทษให้ด้วย อิชั้นปัญญาน้อย ...โสดาฯยังไ่ม่ได้ ม่ะก้าจะฉงฉัยเจ้าค่ะ ฮะชู้บ!!! ![]() |
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 06 เม.ย. 2010, 22:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จมาอนุโมทนาหลวงปู่มั่น |
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๒ ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส กัปปมาณวกปัญหานิทเทส ว่าด้วยปัญหาของท่านพระกัปปะ [๓๘๒] คำว่า เป็นที่สิ้นชราและมัจจุ ความว่า อมตนิพพาน เป็นที่ละ เป็นที่สงบ เป็นที่สละคืน เป็นที่ระงับแห่งชราและมรณะ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นที่สิ้นชราและมัจจุ. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า เราขอบอกนิพพานอันไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ไม่มีตัณหา เครื่องถือมั่น ไม่ใช่ธรรมอย่างอื่น เป็นที่สิ้นไปแห่งชราและ นี้มัจจุนั้นว่า ธรรมเป็นที่พึ่ง. [๓๘๓] พระอรหันตขีณาสพเหล่าใด รู้ทั่วถึงนิพพานนั้นแล้ว เป็น ผู้มีสติ มีธรรมอันเห็นแล้ว ดับแล้ว พระอรหันตขีณาสพ เหล่านั้น เป็นผู้ไม่ไปตามอำนาจแห่งมาร ไม่ไปบำรุงมาร. ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๐ บรรทัดที่ ๓๓๗๙ - ๓๕๕๘. หน้าที่ ๑๓๘ - ๑๔๔. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0 |
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 10 มิ.ย. 2010, 13:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จมาอนุโมทนาหลวงปู่มั่น |
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=32449 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |