ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
พระอาจารย์มั่นยืนยันว่านิพพานไม่สูญ ! http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=30629 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 04 เม.ย. 2010, 20:48 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | พระอาจารย์มั่นยืนยันว่านิพพานไม่สูญ ! | ||
นิพพานไม่สูญ ประสบการณ์โลกทิพย์ ในการออกธุดงค์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต (ต่อ) พระอาจารย์มั่นยืนยันว่านิพพานไม่สูญ ! นิพพานปรม สูญญแปลว่า นิพพานเป็นธรรมะว่างอย่างยิ่ง เป็นแดนว่างหรือปลดจากอุปสรรขัดขวาง หรือขัดข้องทั้งสิ่งทั้งปวง เป็นแดนของวิสุทธิเทพคือผู้เป็นพระอรหันต์ ที่ละลายกายทิพย์หมดสิ้นแล้วเหลืออยู่แต่จิตสุขใสเป็นดวงประกายพรึกพระอรหันต์สถิตย์อยู่ในแดนพระนิพพานนั้น ถ้าท่านต้องการจะทำอะไร ทำอย่างไรจะให้อะไรเป็นอะไร ท่านก็สามารถนฤมิตด้วยสำเร็จทุกอย่างไม่มีอะไรขัดข้อง ปลอดจากอุปสรรคทั้งปวง ท่านสามารถแบ่งภาคได้ร้อยแปดพันประการไม่จำกัดขอบเขต ไม่จำกัดกาลเวลาคำว่า นิพพานปรม สูญญที่แปลกันไปว่า นิพพานเป็นแดนสูญสิ้นไม่มีอะไรเหลือเลยนั้น พระอาจารย์มั่นบอกว่า ไม่เป็นความจริง นิพพานไม่ใช่สูญ ! ปรม สูญญที่แปลกันไปว่าคือ สูญโญ อันหมายถึงสภาวะไม่มีอะไรเลยอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นการแปลหรือตีความที่ผิด การแปลความความแบบนี้ก็เพื่อจะยืนยันความคิดนึกเดาเอาตามมติของตนเองว่า นิพพานคือภาวะดับสูญอย่างเด็ดขาด ซึ่งมีค่าเท่ากับที่ลัทธิศูนยวาทว่าไว้ว่าไม่มีอะไร ๆ ก็หายสาปสูญไปหมด เรียกไม่รู้ กู่ไม่กลับ กู่ไม่กลับนั่นเอง นิพพานไม่ใช่แดนสูญอย่างที่เข้าใจกันเลย ! นิพพานเป็นแดนทิพย์คล้ายพรหมโลก แต่สวยงามวิจิตรพิสดารยิ่งกว่าพรหมโลก ผู้สำเร็จพระอรหันต์เข้าสู่แดนพระนิพพานนั้น มีร่างทิพย์ที่ละเอียดที่นฤมิต ไม่ใช่กายทิพย์ธรรมดาเหมือนโอปปาติกะทั้งหลาย กายทิพย์ หรือ ธรรมกาย ของพระอรหันต์ในแดนนิพพานเป็นกายทิพย์ที่นฤมิตขึ้นด้วยธรรม ไม่ได้เกิดขึ้นเองเป็นเองโดยธรรมชาติของโลกวิญาณร่างธรรมกายของพระอรหันต์เป็นทิพย์ละเอียดใสสะอาดใสเป็นประกายคล้ายแก้วประกายพรึก มีรัศมีสว่างไสวมากกว่าพระพรหมอย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุดอย่างไม่มีอะไรเปรียบเทียบเพราะความรู้สึกอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์ ! พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ที่เข้าสู่แดนพระนิพพานไปนมนานกาเลแล้วนั้น ไม่ได้สูญพันธุ์ไปหมดเหมือนไดโนเสาเต่าพันปี ดังที่เข้าใจ พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายยังอยู่ ทรงอยู่ในสภาพของจิดคล้ายดาวประกายพรึกแต่เป็นดวงจิดที่รอบรู้สัพพัญุตญาณคือความเป็นผู้รู้แจ้งแทงตลอด หมดสิ้นในเรื่องของสกลจักรวาล รู้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้องแม่นยำไม่มีผิดพลาดโลกเราเป็นวัตถุถุก้อนหนึ่งล่องลอยโคจรไปในอวกาศอันกว้างใหญ่ไพศาลหาขอบเขต ไม่ได้ เปรียบไปก็คล้ายเป็นยานอวกาศลำกระจ้อยร่อยเหลือเกินเมื่อเปรียบเทียบกับความกว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาลเวลานับแสนนับล้านปี ของโลกเราที่หมุนไปอาจจะเป็นเสี้ยววินาทีเดียวของเวลาสากลจักรวาลก็ได้ ดังนั้นเวลา 2525 ปี นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่หระนิพพานไป อาจจะเป็นเวลาเพียงเศษหนึ่งส่วนล้านวินาทีของเวลาในแดนพระนิพพานก็ได้พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกยังอยู่ในแดนพระนิพพาน ไม่ได้หายลับดับสูญไปไหน ! ท่านพระอาจารย์ทั่น ภูริ ทัตตเถระ เล่าไว้อย่างน่าสนใจว่า หลังจากท่านบรรลุธรรมชั้นสูงสุดแล้วในคืนวันต่อมา พระพุทธเจ้าพร้อมด้วย พระสาวกอรหันต์สาวกจำนวนมากได้เสด็จมาทางนิมิตรสมาธิ แสดงอนุโมทนาวิมุติกับท่าน คือแสดงความยินดีที่ท่านพระอาจารย์มั่นบรรลุอรหันตผล ลวงตาหรือกายทิพย์ เรื่องนี้มีท่านผู้อ่านวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางว่า เป็นไปไม่ได้ ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย จะยังมี “ร่างทิพย์” เหลืออยู่และเสด็จมาโปรดได้ เพราะพระพุทธเจ้าเข้าสู่พระปรินิพานดับสูญสิ้นเชื้อพันธ์ไปกว่าสองพันปีแล้ว ให้อะไรเหลืออยู่อีกเลย พระพุทธองค์จะเสด็จมาได้อย่างไร แม้ว่าจะเสด็จมา ในรูปกายทิพย์ก็ตามเถิดก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน นักวิจารณ์ที่เป็นจอมปราชญ์ทางปริยัติก็กล่าวหาว่า ท่านพระอาจารย์มั่นน่าจะได้เห็นภาพลวงตา ซึ่งเกิดจากเข้าสมาธิลึกๆเสียมากกว่า อาการเห็นภาพลวงตาแบบนี้คัมภีร์วิสุทธิมรรคกล่าวไว้ว่าเป็นความวิปลาสอย่างหนึ่ง คือความรู้เห็นที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ความฝันแปรกลับกลายอันเป็นลักษณะมายาหลอนจิต คำกล่าวหาว่า พระอาจารย์มั่นวิปลาสไปขณะเข้าสมาธิลึกๆนี้ เป็นคำกล่าวหาที่อ้างอิงบิดเบือนไม่รู้จริงถึงเรื่องสมาธิ ตามหลักพระพุทธศาสนาหรืออาจจะรู้จริงเรื่องหลักสมาธิเหมือนกันแต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติ หากรู้ได้ด้วยการสักแต่ว่าอ่านจากตำราแบบความรู้ท่วมหัว แต่ไม่เอาตัวเข้าปฏิบัติ การรู้ด้วยวิธีนี้ เป็นการรู้ด้วยความคาดหมายหรือคาดคะเนเอา ตามนิสัยของมนุษย์ที่ชอบค้นชอบเดาเอาตามสันดาน เป็นความเห็นตามสัญญา หรือความจำได้หมายรู้จากตำราไม่ใช่รู้จากการลงมือปฏิบัติด้านสมาธิจิตวิปัสสนากรรมฐานเพราะการรู้ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เพราะการรู้ด้วยการปฏิบัติ วิปัสสนานี้เป็นการหยั่งรู้ด้วยปัญญาล้วนๆ ฉะนั้นความเห็นตามสัญญากับความเห็นตามปัญญาผลย่อมจะต่างกันราวฟ้ากับดิน พระอาจารย์มั่นเห็นอะไรต่ออะไร ได้ด้วยปัญญาของท่านไม่ใช่เห็นตามสัญญาความจำได้หมายรู้ การที่หาญไปวิพากษ์วิจารณ์ท่านพระอาจารย์มั่นเช่นนี้ เป็นการเอาระดับความนึกคิดของตนซึ่ง เป็นปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลส ไปวัดอารมณ์และสติปัญญาของพระอาจารย์มั่นซึ่งเป็นพระอริยเจ้าผู้ทรงภูมิธรรมขั้นสูง เปรียบไปแล้วก็เหมือนเราเป็นแค่นักเรียนอนุบาลหาญ กล้าไปวิพากษ์วิจารณ์ภูมิรู้ในด้านการปฏิบัติของศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญในห้องทดลองวิทยาศาสตร์แน่นอน...การวิพากษ์วิจารณ์นั้นย่อมจะไร้เดียงสาผิดพลาด อย่างน่าสงสาร ตามความเป็นจริงนั้น ท่านพระอาจารย์มั่นท่านมีญาณพิเศษตาทิพย์ หูทิพย์ รู้แจ้งเห็นจริงทุกสิ่งอย่างทั้งภายในและภายนอก โดยไม่จำเป็นต้องเข้าสมาธิลึกๆ เลย เพียงแต่ท่านเข้าสมาธิอย่างอ่อนๆ ระดับอุปจาระสมาธิก็สามารถรู้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ได้กว้างขวางโดยไม่จำกัดขอบเขต ในบางครั้งบางคราวท่านไม่จำเป็นต้องเข้าสมาธิเลยก็เกิดญาณพิเศษสามารถรับรู้เหตุการณ์ต่างๆ ได้ด้วยตาทิพย์หูทิพย์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำน่าอัศจรรย์ ญาณพิเศษนี้เกิดขึ้นด้วยอำนาจปัญญาอัตโนมัติหมุนทับรับรู้กับเหตุการณ์ณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไม่ต้องมีการบังคับบัญชาใดๆ เปรียบไปแล้วก็เหมือนเครื่องเรด้าร์ขนาดใหญ่ สามารถรับรู้เหตุการณ์ณ์ทั้งใกล้และไกลได้ถูกต้องแม่นยำนั่นเอง เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันตสาวกจำนวนมาก เสด็จมาแสดงความยินดีกับพระอาจารย์มั่น ที่ท่านบรรลุอรหัตตผลนี้ ท่านได้เล่าให้สานุศิษย์ทั้งหลายฟังว่า โอวาทตถาคต พระพุทธองค์เสด็จมาในสมาธินิมิต แล้วประทานพระโอวาทอนุโมทนาแก่ท่านพระอาจารย์มั่นมีใจความว่า" เราตถาคตทราบว่า เธอพ้นจากอนันตรทุกข์ในที่คุมขัง แห่งเรือนจำของวัฏฏทุกข์ จึงได้มาเยี่ยมอนุโมทนา ที่คุมขังแห่งนี้ใหญ่โตมโหฬารและแน่นหนามั่นคงมาก มีเครื่องยั่วยวนให้เผลอตัวและคิดอยู่รอบตัวไม่มีช่องว่าง จึงยากที่จะมีผู้แหวกว่ายออกมาได้ เพราะสัตว์ในโลกจำนวนมากไม่ค่อยมีผู้สนใจกับทุกข์ที่เป็นอยู่กับตัวตลอดมาว่า เป็นสิ่งที่ทรมานและเสียดแทงร่างกายจิตใจเพียงใด พอจะคิดเสาะแสวงหาทางออกด้วยวิธีต่างๆ เหมือนคนเป็นโรคแต่มิได้สนใจกับยา ยาแม้มีมากจึงไม่มีประโยชน์สำหรับคนประเภทนั้น ธรรมของเราตถาคตก็เช่นเดียวกับยา สัตว์โลกอาภัพเพราะโรคกิเลสตัณหา ภายในใจเบียดเบียนเสียดแทง ทำให้เป็นทุกข์แบบไม่มีจุดหมายว่า จะหายได้เมื่อไร สิ่งตายตัวก็คือโรคพรรค์นี้ถ้าไม่รับยาคือธรรมะจะไม่มีวันหายได้ ต้องฉุดลากสัตว์โลกให้ตายเกิดคละเคล้าไปกับความทุกข์กายทุกข์ใจ และเกี่ยวโยงกันเหมือนลูกโซ่ตลอดอนันตกาล " พระพุทธองค์ทรงประทานโอวาทต่อไปว่า ธรรมะแม้จะมีเต็มไปทั้งโลกธาตุก็ไม่สามารถอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้ไม่สนใจนำไปปฏิบัติรักษาตัวเท่าที่ควรจะได้รับจากธรรมะ " ธรรมะก็อยู่แบบธรรมะสัตว์โลกกูหมุนตัวเป็นกงจักรไปกับทุกข์ในภาพน้อยภาพใหญ่แบบสัตว์โลก โดยไม่มีจุดหมายปลายทางว่าจะสิ้นสุดทุกข์กันลงเมื่อใด ไม่มีทางช่วยได้ ถ้าไม่สนใจช่วยตัวเอง โดยยึดธรรมะมาเป็นหลักใจและพยายามปฏิบัติตาม " พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้เพิ่มจำนวนองค์และสั่งสอนมากมายเพียงใด ผลที่ได้รับก็เท่าที่โรคประเภทคอยรับยามีอยู่เท่านั้น ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ว่าพระองค์ใด มีแบบตายตัวอย่างเดียวกันคือ สอนให้ละชั่ว ทำดี ทั้งนั้น ไม่มีธรรมพิเศษและแบบสอนพิเศษไปกว่านี้ เพราะไม่มีกิเลสตัณหาพิเศษในใจสัตว์โลกที่พิเศษเหนือธรรมซึ่งประกาศสอนไว้เท่าที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายประทานไว้แล้ว เป็นธรรมที่ควรแก่การรื้อถอนกิเลสทุกประเภทของมวลสัตว์อยู่แล้ว นอกจากผุ้รับฟังและปฏิบัติตามจะยอมแพ้ต่อเรื่องกิเลสตัณหาของตัวเสียเอง แล้วเห็นธรรม เป็นของไร้สาระไปเสียเท่านั้น ตามธรรมดาแล้วกิเลสทุกประการต้องฝืนธรรมดาดั้งเดิมคนที่คล้อยตามมัน จึงเป็นผู้ลืมธรรมะไม่อยากเชื่อฟังและทำตาม โดยเห็นว่าลำบากและเสียเวลาทำในสิ่งที่ตนชอบ ทั้งที่สิ่งนั้นเป็นโทษ พระเพณีของนักปราชญ์ผู้ฉลาดมองการณ์ไกลย่อมไม่หดตัวมั่วสุมอยู่เปล่าๆ เหมือนเต่าถูกน้ำร้อนไม่มีทางออก ต้องยอมตายในหม้อที่กำลังเดือดพล่าน โลกเดือดพล่านอยู่ด้วยกิเลสตัณหาความแผดเผาไม่มีกาลสถานที่ ที่พอจะปลงวางลงได้ จำต้องยอมทนทุกข์ทรมานไปตามๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์อยู่บนอากาศและใต้ดิน สิ่งแผดเผาเร่าร้อนอยู่กับใจ ความทุกข์จึงอยู่ที่นั่น (มีต่อ) ที่มาวัดป่าโนนวิเวก อุดรธานี
|
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 04 เม.ย. 2010, 21:35 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: พระอาจารย์มั่นยืนยันว่านิพพานไม่สูญ ! | ||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]()
|
เจ้าของ: | คณธัช [ 04 เม.ย. 2010, 22:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระอาจารย์มั่นยืนยันว่านิพพานไม่สูญ ! |
อนุโมทนาจร้า ![]() |
เจ้าของ: | ชิโนะซึเกะ [ 04 เม.ย. 2010, 22:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระอาจารย์มั่นยืนยันว่านิพพานไม่สูญ ! |
![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ชาติสยาม [ 04 เม.ย. 2010, 22:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระอาจารย์มั่นยืนยันว่านิพพานไม่สูญ ! |
อยากทราบผู้เขียนน่ะ เพราะเท่าที่ทราบ หลวงปู่มันท่านระวังมากร หลวงปู่มั่นไม่ให้เขียน ไม่ให้บันทึกคำสอนของท่าน ผู้เขียนคนเดียวที่หลวงปู่อนุญาตให้เขียน คือหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินทโร วัดธรรมมงคล อ่อนนุช ผู้เป้นอุปัฏถากของท่านตั้งนาน แล้วหลวงปู่เอง ก็ได้มีโอกาสตรวจแก้หนังสือที่หลวงพ่อวิริยังค์ร่างขึ้นมา หลวงปู่ตรวจแก้ด้วยองค์เอง หนังสือที่หลวงปู่ตรวจด้วยองค์เอง ถึงจะเรียกว่า "หลวงปู่มั่นพูด" หนังสือนอกจากนี้ ที่บอกว่าเป็น "คำพูดของหลวงปู่มั่น" ผมคิดว่า ที่จริงต้องเรียกว่า "ความเข้าใจของผู้เขียน ที่มีต่อคำสอนของท่าน" มากกว่า "ผู้เขียน" ต้องแน่จริง ต้องถึงตัว ถึงธรรม ถึงท่าน จริงๆ ถึงจะพอรับฟังได้ (ถ้าจำไม่ผิด) หลวงตามหาบัว รจนาหนังสือเล่มหนึ่ง ผมจำชื่อไม่ได้ เกี่ยวกับคำสอนหลวงปู่มั่น อย่างนี้เป็นหนังสือรับฟังได้ เพราะท่านเป็นอาจารยืลูกศิษย์แบบเป็นพ่อเป็นลูกกันเลย |
เจ้าของ: | Bwitch [ 04 เม.ย. 2010, 22:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระอาจารย์มั่นยืนยันว่านิพพานไม่สูญ ! |
...
![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 04 เม.ย. 2010, 22:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระอาจารย์มั่นยืนยันว่านิพพานไม่สูญ ! |
บทความนี้ ใครอ่านก็รู้ได้ว่า คนเขียนไม่ใช่หลวงปู่มั่น มีมาตั้งแต่ปี252กว่าๆ คนเขียนคงทนไม่ได้ที่มีปุถุชนไปปรามาสหลวงปู่มั่นท่านหน่ะ ![]() ส่วนตัวผมชอบนะ ไปทำให้จิตใจมิจฉาทิฐิบางพวกเช่นนิพพานสูญ พวกถือความไม่มีตัวตนไม่มีอะไรเลย ๆลๆ พวกนี้จะเต้นเร่าๆ(เห็นมามากแล้ว) ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 05 เม.ย. 2010, 01:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระอาจารย์มั่นยืนยันว่านิพพานไม่สูญ ! |
หลับอยุ่ เขียน: ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | sirisuk [ 05 เม.ย. 2010, 09:47 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: พระอาจารย์มั่นยืนยันว่านิพพานไม่สูญ ! | ||
![]() ![]() ![]() บอกพระนิพพานแก่คนไม่ใช่มุนี เหมือนบอกสีแก่คนตาบอด โดยหลวงปู่ชา สุภทฺโธ อย่างเรื่องพระนิพพานนี่ พระพุทธเจ้าท่านก็พูดไว้คลุมเครือ คือจะบอกคนชัดไม่ได้นั่นเองแหละ คนตาบอดนี่ มันบอดอย่างสนิทนะ ลองบอกสีให้มันชัดสิ เหลืองแท้ ๆ ไปถามคนตาบอดสิมันรู้จักมั้ย ยิ่งบอกมันก็ยิ่งไม่รู้จัก เราจะแก้ไขยังไงดี เราต้องย้อนกลับมาสิ ตาคุณทำไมถึงบอด มาพูดเรื่องรักษาตากันดีกว่า ขอให้ตาดีเถอะ สีแดง สีเขียว ไม่ต้องสอนหรอก จะรู้เอง ![]() ![]() ![]() ![]()
|
เจ้าของ: | อนัตตาธรรม [ 05 เม.ย. 2010, 16:03 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: พระอาจารย์มั่นยืนยันว่านิพพานไม่สูญ ! | ||
![]() นิพพานธาตุ = ธาตุบริสุทธิ์ชนิดหนึ่ง ไม่อาจบรรยายได้ด้วยภาษาและบัญญัติของมนุษย์ ต้องรู้ที่จิตเจ้าของ ต้องผ่านดินแดน สุญญตา หรือประตู อนัตตา จึงจะเข้าถึงได้ ![]() ![]() ![]() ![]()
|
เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 14 มิ.ย. 2010, 12:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระอาจารย์มั่นยืนยันว่านิพพานไม่สูญ ! |
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=32449 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |