ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
มัวแต่สันโดษ ชาติจึงไม่พัฒนา (เสฐียรพงษ์ วรรณปก) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=30096 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 17 มี.ค. 2010, 05:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | มัวแต่สันโดษ ชาติจึงไม่พัฒนา (เสฐียรพงษ์ วรรณปก) |
![]() มัวแต่สันโดษ ชาติจึงไม่พัฒนา โดย ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก เพื่อนคนหนึ่งปรารภกับผมว่า เขามีความคิดเห็นตรงกับ หลวงวิจิตรวาทการ อดีตปลัดบัญชาการสำนักนายกรัฐมนตรีสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผมถามว่าในแง่ไหน เขาบอกว่าในเรื่องเกี่ยวกับนโยบายการเผยแผ่หรือสอนพุทธศาสนา หลวงวิจิตรวาทการท่านว่า ที่ประเทศไทยพัฒนาไม่เท่าเทียมนานาอารยประเทศเขา มีความบกพร่องฉกาจฉกรรจ์อยู่ข้อหนึ่งคือ เพราะพระสงฆ์มัวพร่ำสอนแต่ให้ประชาชนมักน้อย สันโดษ ได้เท่าไรมีเท่าไรพอใจแค่นั้น ทำให้เป็นคนไม่กระตือรือร้น ทำงาน งอมืองอเท้า ผมบอกเพื่อนไปว่า อย่าได้เชื่อหลวงวิจิตรวาทการมากนัก หลวงวิจิตรวาทการอาจเป็นที่เชื่อถือได้ด้านอื่น แต่ในเรื่องเกี่ยวกับศาสนาแล้วให้ฟังๆ ไว้เท่านั้น ทรรศนะทางศาสนาที่ท่านผู้นี้แสดงออกมา ไม่ว่าจะเป็นบทความปาฐกถาหรือคำปราศรัยของผู้นำประเทศที่ตนเป็นผู้ร่างให้ อาจมิใช่จากความรู้จริงๆ ที่ท่านได้เล่าเรียนมาจากครูบาอาจารย์ก็ได้ อาจเป็นเพียง “การปรับ” หรือ “เบนทิศทาง” เพื่อให้เอื้ออำนวยแก่การเอาตัวรอดก็เป็นได้ พูดให้ชัดก็คือบิดเบือนพระพุทธศาสนาเพื่อประจบเจ้านาย เมื่อ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปฏิวัติใหม่ๆ ท่านผู้นี้แสดงทรรศนะออกมาอย่างชัดแจ้งว่าการปฏิวัติเป็นการดี พระพุทธเจ้าเองก็ทรงสรรเสริญการปฏิวัติในปฐมเทศนา (เทศน์กัณฑ์แรก) ที่ทรงแสดงแก่พระเบญจวัคคีย์ พระองค์ตรัสว่า “โลเก อัปปฏิวัตติยัง” การปฏิวัติที่ดีต้องเป็นปฏิวัติที่ผู้อื่นล้มไม่ได้ (เผด็จการตลอดกาล !) จากวาทะอันคมคายนี้ ทำให้ท่านได้บำเหน็จรางวัลด้วยตำแหน่งปลัดบัญชาการสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นคนแรกและคนเดียวในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และเป็นพลเรือนคนเดียวที่ได้เป็นนายพลตรี บรรดาหลักธรรมพุทธศาสนาที่มีผู้เข้าใจกันไม่ถูกต้อง นอกจากเรื่องหลักกรรมแล้ว สันโดษก็เป็นเรื่องหนึ่ง ความคลาดเคลื่อนอาจจะมาจากคำพูดที่ติดปากคนไทยว่า “สันโดษมักน้อย” หรือ “มักน้อยสันโดษ” ก็เป็นได้ การตีความแบบสร้างค่านิยมในแง่ลบ คือแฝง “การไม่กระทำ” หรือ “ความเกียจคร้าน” อยู่ในตัว ไม่ต้องทำ ไม่ต้องสร้าง ไม่ต้องการมาก ต้องการน้อยๆ อยู่ไปวันๆ ผลที่ตามมาก็คือความเฉื่อยแฉะ ไม่กระตือรือร้นในการทำงาน งอมืองอเท้า ซึมเซื่อง ปล่อยตามบุญตามกรรม ไม่คิดสร้างสรรค์ พูดง่ายๆ ก็ว่าเป็นมนุษย์ไม่เอาไหน ถ้าสันโดษของพระพุทธเจ้าหมายถึงอาการอย่างที่ว่ามานี้ ก็น่าจะถูกประณามว่า พระองค์สอนไม่เอาไหน สอนสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา คนพัฒนาประเทศอย่างร้ายแรง ใช้ไม่ได้จริงๆ แต่สันโดษจริงๆ มันเป็นอย่างไร ? ลองหันไปดูตำราดูบ้างเป็นไร ในตำราท่านให้ความหมายของ “สันโดษ” ไว้ว่า ยินดีตามที่หามาได้, ยินดีเท่าที่หาได้ด้วยความบากบั่นของตน (ยถาลาภสันโดษ) ยินดีตามกำลังสามารถที่หามา, มีสติกำลังเท่าไรทุ่มเทลงไปได้เท่าไรก็พอใจ (ยถาพลสันโดษ) ยินดีในสิ่งที่หามาได้โดยชอบธรรม, ของที่ได้มาเป็นผลของการสร้างสรรค์ของตน โดยวิธีการที่ชอบธรรม ไม่ทุจริตฉ้อโกงเขามา (ยถาสารุปปสันโดษ) สรุปให้เข้าใจว่า “สันโดษคือความพึงพอใจในผลสำเร็จ หรือผลได้ที่ตนสร้างขึ้นด้วยความบากบั่น ด้วยการทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดลงไปและโดยชอบธรรม” วิธีจะเข้าใจสันโดษดีอีกอย่างหนึ่งคือ ให้ดูสิ่งที่ตรงข้ามกับสันโดษและคุณธรรมที่สนับสนุนสันโดษ สิ่งที่ตรงข้ามกับ “สันโดษ” คือ (1) การเบียดเบียนกันเพราะอยาก แต่ไม่อยากกระทำ (2) การทุจริตเพราะอยากได้ของคนอื่น (3) ความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยแต่ไม่ชอบทำงาน (4) การทอดทิ้งละเลยไม่เอาใจใส่ในหน้าที่การงาน (5) ความกระวนกระวาย เร่าร้อนเห่อเหิมทะยานอยากไม่พอใจตลอดเวลา (6) ความเกียจคร้านเฉื่อยชา คุณธรรมที่สนับสนุนสันโดษ คือ “วิริยารัมภะ” หรือการปรารภความเพียร ถือเอาความง่ายๆ คือ การตั้งหน้าตั้งตาพยายามปฏิบัติหน้าที่การงานไม่หยุดยั้ง จากการนิยามความหมายของสันโดษ จากการมองสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ตรงข้ามกับสันโดษและคุณธรรมที่สนับสนุนสันโดษ เราพอจะมองเห็นลักษณะของคนที่มี “สันโดษ” ดังต่อไปนี้ (1) คนสันโดษ จะต้องเป็นคนทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยความขยันหมั่นเพียร และด้วยสติปัญญาเท่าที่เหมาะสมกับภาวะของตนและโดยชอบธรรม (2) คนสันโดษ จะไม่อยากได้ของคนอื่นหรือของที่ไม่ชอบธรรม ไม่ทุจริตเพราะปากท้องหรือเพราะผลประโยชน์ส่วนตัว (3) เมื่อหามาได้ก็ใช้สอยของที่ได้มาเท่าที่จำเป็นและด้วยสติปัญญา ไม่กลายเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้น (4) เมื่อไม่ได้ เมื่อสุดวิสัยได้สำเร็จตามต้องการ ก็ไม่เดือดร้อนกระวนกระวาย ไม่ยอมให้ความผิดหวังครอบงำ ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของตนไปได้ (5) ไม่ถือเอาสิ่งที่ตนหามาได้ สมบัติของตนหรือความสำเร็จของตนมาเป็นเหตุยกตนข่มขู่ผู้อื่น (6) หาความสุขได้จากสิ่งที่เป็นของตนหรือเป็นสิทธิของตน สามารถดำรงชีวิตที่มีความสุขในทุกฐานะที่ตนเข้าถึงในขณะนั้นๆ (7) มีความภูมิใจในผลสำเร็จที่เกิดจากกำลังของตน มีความอดทนสามารถคอยผลสำเร็จที่จะพึงเกิดขึ้นจากการกระทำของตน (8) มีความรักและภักดีในหน้าที่การงานของตน มุ่งปฏิบัติเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน คุณสมบัติดังกล่าวข้างต้นเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศชาติใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็ใคร่จะเรียนถามว่า ที่ประเทศชาติไม่ค่อยจะพัฒนาเท่าที่ควรเพราะมัวแต่สอนสันโดษ หรือเพราะไม่สอนสันโดษกันแน่ ![]() ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก หนังสือพิมพ์ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ พุทธศาสนา ทรรศนะและวิจารณ์ โดย ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |