ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

บุญที่มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ (ส. ศิวรักษ์)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=28721
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ธรรมบุตร [ 17 ม.ค. 2010, 18:37 ]
หัวข้อกระทู้:  บุญที่มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ (ส. ศิวรักษ์)

บุญที่มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่
ส. ศิวรักษ์


เรื่องการทำบุญ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและวัฒนธรรมไทย แต่คนไทยทั่วไปนั้น เข้าใจว่าการทำบุญ คือ ๑. เป็นประเพณี ๒. เป็นพิธีกรรม ๓. เป็นเนื้อหาสาระ ผมจะพูด ๓ ประเด็น

ประเพณีก็คือว่า เราเคยทำกันมา เช่น ใส่บาตร บางบ้านใส่ทุกเช้า บางบ้านใส่ทุกวันพระ บางบ้านใส่เฉพาะปีใหม่ หรือเทศกาลที่สำคัญ อันนี้เป็นประเพณีที่เคยทำกันมา และประเพณีบางอย่างนั้น ปรับตัวไม่ได้ อันนี้ประการที่ ๑ นะครับ

ประการที่ ๒ ประเพณีเหล่านั้นมักจะต้องมีพิธีกรรมมาเกี่ยวข้อง เช่น ใส่บาตร จะเลือกใส่เฉพาะพระ หรือบางคนรังเกียจที่จะใส่บาตรให้เณร หรือบางคนก็รังเกียจที่จะใส่บาตรให้พระจีนนิกาย อานัมนิกาย หรือใส่บาตรให้แม่ชี โดยเราไม่ยอมใส่บาตรให้ฆราวาสเด็ดขาด อันนี้เพราะพิธีกรรมเนื่องกับประเพณี

ก่อนที่จะพูดถึงเนื้อหาสาระในทางพุทธศาสนา อยากจะพูดก่อนนะครับว่า ประเพณีและพิธีกรรมนั้น มันเกี่ยวข้องกับความเชื่อ คนสมัยก่อนนี้เชื่อว่าทำบุญแล้วจะได้ผลในปัจจุบัน และผลในอนาคต โดยหากศึกษาพุทธศาสนาให้ลึกซึ้งแล้ว ก็เชื่อว่าการทำบุญนั้นจะได้ส่วนกุศลสูงสุด เป็นปรมัตถประโยชน์ ดังเช่นคนแต่ก่อน เวลาที่จะใส่บาตร ขอให้ได้ถึงพระนิพพาน นี่สำคัญนะครับ เพราะการใส่บาตรนั้นจะได้ผลในปัจจุบัน คือได้เลี้ยงพระ เณร ให้ท่านไม่ต้องหิวกระหาย ท่านจะได้เจริญสมณธรรม มาเทศน์สั่งสอน ประพฤติปฏิบัติเป็นตัวอย่างแก่เรา ทีนี้การใส่บาตรกลายไป พระท่านรับแล้วก็ไปเซ็งลี้ต่อ เดี๋ยวนี้มีมากขึ้นนะครับ หรือพระผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ ก็ไม่ออกรับบิณฑบาต เราก็ไปทำบุญอย่างอื่นที่วัด และบางทีพระเองก็มีเงินมากเกินไป สะสมมากเกินไป จนเกิดเป็นกรณีธรรมกายเป็นที่สุด อันนี้เป็นเรื่องของประเพณีพิธีกรรมที่สื่อไม่ได้ และความเชื่อในสมัยนี้ก็สับสนครับ เราไม่เชื่อว่าตายไปแล้วจะไปเกิดไหม จะไปสวรรค์ไหม ไปนรกไหม

เพราะฉะนั้น พิธีศพเวลานี้ พูดกันอย่างไม่เกรงใจ งานศพเวลาพระมาสวด พระมาสวดให้คนตายฟัง หรือสวดให้คนเป็นฟัง อันนี้พระเองไม่แน่ใจ คนที่มางานศพก็ไม่แน่ใจ โดยเฉพาะพิธีเผาศพ ต้องมีดอกไม้จัน ทำไมถึงต้องมีดอกไม้จัน ทำไมต้องเผาหลอก ทำไมต้องเผาจริง และทำไมเวลาเผาแล้วต้องรีบเผา เผาแล้วต้องรีบกลับบ้าน กล่าวคือ พิธีกรรมมันสื่อไม่ได้ เราทำศพตามประเพณี ในกรณีของพุทธศาสนิกชนคนธิเบตนั้น เขาเชื่อเลยครับว่าพระนั้นมาสวดให้ผู้ตายฟัง เพราะ ผู้ตายนั้นแม้จะจากร่างไปแล้ว ก็สามารถได้ยินพระธรรมที่สวด และผู้ตายนั้นก็จะต้องไปเกิดภายใน ๗ วัน ถ้า ๗ วันไม่เกิด ก็จะไปเกิดไม่เกิน ๔๙ วัน คูณ ๗ เพราะฉะนั้น ทุก ๗ วัน จะต้องทำบุญเป็นพิเศษเพื่อจะช่วยส่งผู้ซึ่งตายจากไปนั้นไปเกิด ไปเกิดสุคติได้ แม้ผู้ตายจะไม่ได้ทำบุญบารมีไว้มาก การสวด การบำเพ็ญกุศลต่างๆ ก็ช่วยผู้ตายได้ แต่ถ้าเกิดผู้ตายทำกรรมหนักไว้มาก การสวด การทำบุญต่างๆ ก็ส่งกุศลไปไม่ได้ คนธิเบตส่วนใหญ่ยังเชื่อในเรื่องนี้อยู่ ส่วนคนไทยผมไม่แน่ใจว่าเวลานี้เชื่อเรื่องไหนขนาดไหน

ผมดีใจนะครับที่พระไพศาล แปลงานของธิเบตเรื่อง ประตูสู่สภาวะใหม่ การตายก็คือการไปสู่สภาวะใหม่อย่างหนึ่ง ถ้าเราประพฤติปฏิบัติดีมาตลอดชีวิต สภาวะใหม่ที่จะไปเกิดก็จะดีกว่าเก่า ท่านเปรียบว่าพวกเราทั้งหมดทุกคน เหมือนกับหนอน เมื่อหนอนนั้น ทำคุณงามความดี หนอนนั้นก็จะกลายเป็นผีเสื้อที่งดงาม อันนี้สำคัญมากนะครับ เป็นที่น่าเสียใจที่คนสมัยใหม่ไม่เชื่อในเรื่องนี้ แต่การที่จะเชื่อในเรื่องนี้ ก็ไม่มีวิธีอื่นใด นอกจากเรื่องสาระของการทำบุญ ถ้าเข้าใจสาระแล้ว จะเข้าใจในเรื่องชีวิตนี้ ชีวิตหน้า โลกนี้ โลกหน้า และเข้าใจได้ถึงที่สุดของโลกนี้และโลกหน้าที่เรียกว่า ปรมัตถสัจจ์

การทำบุญนั้น อาจารย์พุทธทาสพูดเสมอว่า ทำบุญต้องให้เป็นกุศล นี่สำคัญนะครับ ทำบุญต้องให้เป็นกุศล ทำบุญหลายต่อหลายครั้งนั้นเป็นอกุศล ๒ คำนี้จำไว้นะครับ กุศลแปลว่า วางความคิด วางใจให้แยบคาย อกุศลแปลว่า วางความคิด วางใจไม่แยบคาย สิ่งที่ไม่เรียกว่าทำบุญนั้น เราทำเพื่อจะกอบโกยให้ตัวเอง เราหวังผลประโยชน์ในโลกนี้ หวังผลประโยชน์ในโลกหน้าด้วยความโลภทั้งสิ้น และบางครั้งพระเองก็ช่วยให้เราโลภ ในมาลัยสูตรเขียนไว้เลยครับ ว่าถวายดอกบัวเพียง ๘ ดอก จะไปเกิดบนสวรรค์วิมานชั้นนั้นชั้นนี้ อันนี้พระมามอมเมาคน ผมพูดด้วยความเคารพ ด้วยความขอโทษ มีการพูดว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ตกนรก อันนี้ขึ้นสวรรค์ หลายต่อหลายครั้งมันเป็นเรื่องเหลวไหล และถ้าเราไม่เชื่อเรื่องบุญแล้วบางทีพระก็มาบอกเลย สร้างโบสถ์ ทำกระเบื้องกี่แผ่น จะขึ้นสวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ ทีหลังไม่เชื่อทำบุญเลยต้องติดชื่อเอาไว้ให้ เขาเรียกว่าการทำบุญเอาหน้า ภาวนาตอแหล มีเยอะ ทำบุญแล้วอยากถูกล็อตเตอรี่ ทำบุญแล้วอยากจะให้ลูกเขยเป็นรัฐมนตรี นี่เป็นการทำบุญด้วยอกุศล มีความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง หวังสวรรค์ หวังวิมาน หวังถูกหวย หวังรวย อันนี้เป็นการทำบุญแบบโง่ แบบอกุศล

การทำบุญที่เป็นกุศล คือเริ่มจากที่เรียกว่าบุญกิริยาวัตถุ คนที่เข้าใจในพุทธศาสนาจะรู้ว่าบุญกิริยาวัตถุมี ๑๐ ข้อ ข้อแรกการทำบุญนั้นคือการให้ ให้โดยหวังประโยชน์น้อยที่สุด นี่สำคัญมากนะครับ เพราะการให้นั้นจะต้องเป็นปัตติทาน ให้แล้วคนอื่นหมดทุกข์ ให้คนยากคนจน ให้ใครก็ตาม ให้ผู้อื่นได้มาร่วมรับ ให้คนเดือดร้อนต่างๆ ได้มีส่วนมาร่วมรับ พระผู้ทรงศีลสังวร มีชีวิตที่เรียบง่าย ทำบุญไปท่านก็จะได้รับสิ่งนั้นไปเป็นของกลาง ไปเป็นของสงฆ์ และแจกไปยังคนยากคนไร้ อันนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ไปทำบุญพระที่ร่ำรวย ที่สร้างเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุด ห่มจีวรผืนเป็นหมื่น หรือพระผู้หลักผู้ใหญ่เวลานี้นั่งรถเบนซ์กัน นั่งรถวอลโว่กัน มีกุฏิวิหารติดแอร์ ติดอะไรอยู่อย่างฟุ่มเฟือย ร่ำรวย การทำบุญกับพระเหล่านี้แม้จะเป็นสมเด็จ จะเป็นเจ้าคุณก็ไม่ได้บุญ และพระเหล่านั้นก็ไม่ได้รับบุญ ได้รับบาป นี่พูดตรงไปตรงมา ประเด็นนี้ยังไม่เคยพูดกัน

ท่านจะต้องเข้าใจนะครับ การทำบุญต้องมุ่งที่กุศล ไม่ใช่มุ่งที่อกุศล ไม่ใช่มุ่งที่ลาภ ที่ยศ ที่หน้าตา การทำบุญนั้น มุ่งชำระการให้สิ่งที่เรามีอย่างฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย มีมากแล้วให้ก็ดีอยู่ แต่ให้สิ่งที่เรารักที่สุดนั้นสำคัญที่สุด

มีเรื่องเล่านะครับ สมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ที่วัดพระเชตวัน ปีหนึ่งมีการทำบุญ ทุกคนจุดโคมจุดเทียน สมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้า สมโภชพระพุทธองค์รอบพระเชตวันทั้งคืน เป็นการอามิสบูชา ยายแก่คนหนึ่งเป็นขอทาน แกยากจนมาก แกขอทานมาได้ ไม่กี่กหาปณะ แกอดข้าวเพื่อจะจุดเทียนบูชาพระพุทธเจ้า เทียนของแกเล่มเล็กที่สุด แต่ว่าแกทำด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์

ยอมอดข้าวทั้งหมดเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าที่แกเคารพสูงสุดจนรุ่งเช้า พระโมคคัลลาน์ ซึ่งเป็นพระอรหันตอัครสาวกเบื้องซ้าย มีอิทธิฤทธิ์ที่สุด ออกมาดับเทียนทั้งหมด เพราะถ้าทิ้งไว้อาจจะไฟไหม้ ท่านดับโคมไฟได้ทุกดวงนะครับ ท่านมีฤทธิ์มาก พวกเศรษฐี พวกพระมหากษัตริย์จุดไว้ใหญ่โตเท่าไร ท่านก็เหาะไปดับได้ แต่เทียนเล่มน้อยๆของคนขอทานเล่มนี้ ท่านดับเท่าไรก็ดับไม่ได้ จึงเข้าไปทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าต้องเสด็จออกมาดับเอง พระพุทธเจ้าตรัสว่า เทียนเล่มน้อยนี้ เกิดจากจิตอันเป็นกุศล จิตอันบริสุทธิ์ ของคนยากคนจน จิตอันบริสุทธิ์ที่ทำบุญให้ทานนั้น ประเสริฐกว่าเศรษฐีที่ทำเพื่ออวดความยิ่งใหญ่ด้วยเทียนเล่มโตๆ เพื่อที่จะอวดความมั่งคั่งมั่งมี อันนี้เป็นประเด็นสำคัญนะครับ เพราะถ้าจิตบริสุทธิ์ แม้สิ่งที่ทำทานนั้นจำนวนน้อยขนาดไหน แต่มุ่งประโยชน์ให้เต็มที่นั้น มีคุณค่าอันมหาศาล

อนึ่ง การให้ทานของพวกเราที่มีสตังค์ เป็นคนชั้นกลางจะให้ทานนั้น ถ้าให้เพื่อคนยากไร้ ทางฝ่ายมหายานเขาแนะนำ ท่านสันติเทวะ ซึ่งคนไทยไม่ค่อยรู้จัก ท่านสันติเทวะนี่ ท่านเป็นนักคิดคนสำคัญของฝ่ายมหายาน ซึ่งพระจีนพระญวนของเราอยู่ในฝ่ายมหายาน ท่านสันติเทวะท่านบอกว่า การให้ทานต่อคนยากไร้ ผู้ที่ให้ทานจะต้องปรับตัวปรับใจให้มีสภาพเหมือนคนยากไร้ ถ้าเขาเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา ก็ต้องเข้าใจว่าการเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขามีความเดือดร้อนอย่างไรบ้าง และพร้อมที่จะเดือดร้อนเช่นเขา ถ้าเขาคนตาบอด ก็พร้อมที่จะรู้สึกว่าคนตาบอดเดือดร้อนอย่างไร ถ้าการทำบุญเช่นนี้ ถือว่าเป็นกรุณาคุณ มีคุณค่าสำคัญเป็นหนึ่งในพรหมวิหารธรรม คนไทยเวลานี้ ๘๕% เป็นคนยากไร้ เป็นคนที่ถูกเอาเปรียบ และพวกเรา คนชั้นกลางจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม วิถีชีวิตของเรา ยิ่งฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเท่าไร ใช้ไฟมากเกินไป ติดแอร์มากเกินไป ใช้รถยนต์มากเกินไป ต้องสร้างเขื่อนมากขึ้น มีเขื่อนมากเท่าไร คนจนเดือดร้อนมากเท่านั้น เราต้องเห็นเลยนะครับ หากเราไม่สนใจ เอาแต่ทำบุญกับพระที่ร่ำรวยนั้น เป็นความผิดที่มหาศาล

เพราะฉะนั้น การทำบุญที่ถูกต้องตามที่ท่านสันติเทวะพูด ก็คือว่า การทำบุญให้มุ่งที่คนยากไร้ และวิถีชีวิตของเราต้องเป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ไม่สะสมสมบัติยิ่งๆขึ้นไปในขณะที่คนส่วนใหญ่ยากไร้ อันนี้เป็นทาน ที่เรียกว่าเป็น ปัตติทานมัย ให้อะไรก็ตาม ให้คนอื่นมามีส่วนร่วมมากที่สุด ให้สัตว์อื่นมีส่วนร่วมให้มากที่สุด ให้สิ่งแวดล้อมมีส่วนร่วมมากที่สุด

การทำบุญนั้น หมายถึง การเคารพแม่น้ำ ลำธาร เคารพต้นหมากรากไม้ทั้งหมด จะเห็นได้จากประเพณีลอยกระทงที่จะมีเร็วๆนี้ ประเพณีลอยกระทงเรามีไว้เพื่อเคารพน้ำ ทีนี้เราไม่เข้าใจเนื้อหาสาระของการเคารพน้ำว่ามีบุญคุณต่อเรา ให้ถือว่าน้ำเป็นแม่ ถือข้าวเป็นแม่ ไม่ใช่คิดว่าจะหาซื้อข้าวมากินเมื่อไรก็ได้ จะกินทิ้งกินขว้างอย่างไรก็ได้ เวลาลอยกระทงก็เอาโฟมไปทับถมน้ำทำให้น้ำเป็นมลพิษ เห็นไหมครับ พิธีกรรมเดี๋ยวนี้ไม่ส่อเป็นบุญ การลอยกระทงส่วนใหญ่เวลานี้เป็นบาป เป็นอกุศล คนก็คิดจะขาย จะเซ็งลี้ จะมีอเมซิ่งไทยแลนด์ โฆษณาชวนเชื่อ หลอกลวง โกหกตอแหล เป็นบุญที่เป็นบาป เป็นอกุศล

ท่านต้องเข้าใจนะครับว่าเนื้อหาสาระของบุญนั้น ต้องชำระจิตใจเราให้สะอาด จะทำทานต้องมุ่งให้ได้ประโยชน์ต่อคนผู้ยากไร้ มุ่งประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ และการมุ่งประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ ด้วยการทำบุญนั้น ไม่จำเป็นต้องไปให้เขาด้วยซ้ำไป เพียงแต่ปรับปรุง เปลี่ยนชีวิตของเราให้เรียบง่าย อย่าเอาเปรียบคนอื่น ให้เข้าใจคนอื่นผู้ยากไร้ อันนี้แหละครับคือ ศีล ศีลและทานถึงจะไปด้วยกัน และทานนั้น นอกจากปัตติทานมัยแล้ว ท่านบอกต้องมี ปัตติทานุโมทนา โดยเฉพาะในงานศพนั้น ถ้าเรามุ่งไปที่ผู้ตายอย่างเคารพ มีจิตที่บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะทำอะไร จะผ่านพระหรือไม่ก็ตาม ถ้ามุ่งจิตที่บริสุทธิ์และพร้อมที่จะทำทาน โดยให้มีส่วนร่วมให้มาก ท่านผู้ตายจะมีส่วนร่วมในการอนุโมทนา ถ้าท่านไปเกิดเป็นเทพชั้นสูงขึ้น เทวดาก็จะนำการทำบุญของเราไปแจ้งให้ท่านทราบ ถ้าท่านอยู่ในอันดับที่ต่ำลงไป อำนาจบุญนั้น โดยการภาวนา โดยการขอให้พระพุทธานุภาพ ให้อานุภาพของพระโพธิสัตว์ เช่น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ หรือที่เราเรียกว่าเจ้าแม่กวนอิม หรือ พระกษิติครรภโพธิสัตว์ ซึ่งในมหายานมี แต่คนไทยไม่เข้าใจไปเรียกว่าเป็นพระมาลัย พระกษิติครรภโพธิสัตว์นั้นสามารถลงไปได้แม้ในนรก เจ้าแม่กวนอิมก็เหมือนกัน โดยเนื้อหาสาระท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งรับฟังความทุกข์ยากทั้งหมด ไม่ว่าสัตว์นรก หรือเราผู้เป็นมนุษย์เวลานี้ ถ้าเรามีจิตใจที่สงบ ใช้ภาวนามยปัญญาขอบารมีท่าน บารมีท่านจะช่วยเราและจะช่วยผู้ที่ตายจากเราไป การทำบุญตามเนื้อหาสาระของพุทธศาสนานั้น ถ้าจิตบริสุทธิ์ และทำบุญเพื่อให้เกิดปัตติทานมัย ให้คนส่วนใหญ่รับรู้ หรือมุ่งที่ผู้ตาย หรือมุ่งที่ผู้เกิด หรือที่ผู้บวช หรือที่ผู้ใดก็ตาม เป็นปัตติทานมัย และขอให้ท่านเหล่านั้น มีปัตติทานุโมทนา

การอนุโมทนานั้นถ้าเราอาศัยบารมีพระ ถ้าพระทรงศีลสิกขาที่ดี ที่เรียบง่ายก็จะเกิดปัตติทานุโมทนาจากพระ ถ้าเป็นพระอลัชชี เป็นสมี ไม่ช่วย อันที่จริงการส่งส่วนกุศลให้ผู้ตาย เราทำได้โดยตรง ถ้าเราทำบุญด้วยจิตอันเป็นกุศล ไม่ว่าจะด้วยทาน ด้วยการให้ของ หรือด้วยการถือศีล ไม่เอาเปรียบตัวเอง ไม่เอาเปรียบผู้อื่น มีชีวิตอยู่เพื่อเกื้อกูลผู้อื่น ซึ่งเป็นศีล และไม่ว่าจะเป็นภาวนาทำจิตให้บริสุทธิ์ ทำจิตให้สงบ ทั้ง ๓ ประการนี้แหละครับจะเป็นบุญ ที่ส่งกุศลถึงผู้ตายโดยตรง ไม่ว่าจะอยู่ภพไหนชั้นไหน

อันนี้เป็นเนื้อหาสาระซึ่งคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ถ้าคนรุ่นใหม่ที่ไม่เข้าใจอยากจะเข้าใจก็ไม่ยาก ท่านบอกให้เจริญจิตสิกขา ภาวนาที่ลมหายใจ ติดตามลมหายใจ เพราะลมหายใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา เราหายใจครั้งแรกเมื่อปฏิสนธิในครรภ์มารดา หายใจออกครั้งสุดท้ายเมื่อได้จากโลกนี้ไป แต่ตลอดชีวิตเราไม่ให้ความสำคัญกับลมหายใจ ถ้าเราให้ความสำคัญกับลมหายใจ หายใจอย่างรู้ตัวทั่วพร้อม อันนี้แหละเป็นภาวนามัย จะเกิดภาวนามัยบุญกุศลอย่างสูงสุด และถ้าเข้าใจอย่างละเอียดอ่อนแล้วเราจะเห็นได้ด้วยว่า ก่อนเรามาเกิดเราเป็นใครมาจากไหน เมื่อจากไปแล้วเราไปอยู่ที่ไหน แม้เราทำไม่ได้ถึงขั้นนั้น ก็มีผู้ทำได้ถึงขั้นนั้น ซึ่งจะบอกเราได้ และท่านเหล่านั้นที่จะบอกเราได้จะไม่บอกเราด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ จะไม่อวดอ้างว่าเป็นพระอรหันต์ จะไม่อวดอ้างเป็นผู้วิเศษ แต่จะบอกเราเตือนเรา ว่าแม่เราไปอยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้ พี่เราไปอยู่ที่ไหนแล้วเวลานี้ พ่อเราไปอยู่ที่ไหนเวลานี้ เตือนไม่ใช่เพื่อจะอวดฤทธิ์ อวดอำนาจ แต่เตือนเพื่อให้เกิดอัปปมาทธรรม จะได้เห็นว่าชีวิตไม่ใช่มีเฉพาะแต่ชีวิตนี้เท่านั้น แต่ชีวิตเป็นวงจรวัฏฏะ ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ทำดีขึ้นไปเกิดในสวรรค์ ทำเลวก็เกิดเป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นเดรัจฉาน หรือสัตว์นรก อันนี้เป็นธรรมดาครับ

เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจในเรื่องนี้แล้ว การทำบุญเราจะทำได้ตลอดเวลา ทั้งการให้ การสำรวมกาย วาจา ใจ และทำจิตใจให้สงบ เพื่อรู้ว่ามันมีสิ่งวิเศษมหัศจรรย์ เป็นรหัสยนัยนอกเหนือจากชีวิตนี้ นอกเหนือวัตถุ ซึ่งเป็นนามธรรม เป็นจิตเป็นวิญญาณ เป็นโอปปาติกะ เป็นสิ่งซึ่งล้อมรอบเราอยู่นี้ และผมเชื่อนะว่าที่ผมพูดเวลานี้ ที่พระอภิปรายเมื่อตะกี้นี้ ผมเชื่อว่าท่านผู้ตายรับรู้ได้ รับรู้ได้ดีจริงๆ เพราะตามหนังสือธิเบต เขาสอนไว้ชัดเจนเลยครับ ผู้ตายจะรับรู้ได้ ถ้ามีจิตเป็นกุศลต่อท่าน คิดในทางดีต่อท่าน ท่านก็จะอนุโมทนา และอันนี้แหละครับเป็นส่วนบุญอันหนึ่ง ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ ก็ขอให้ท่านผู้วายชนม์ จงได้รับทราบและอนุโมทนาด้วยเถิด .

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/