ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
เญยยธรรม : หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=28191 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 04 ม.ค. 2010, 22:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | เญยยธรรม : หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี |
![]() เ ญ ย ย ธ ร ร ม พระนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาจารย์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) วัดหินหมากเป้ง อ. ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย เญยยธรรม คือ ธรรมที่ควรรู้ควรเห็นอันเป็นส่วนที่ควรละแลควรเจริญ แล้วก็เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ของใจ มิได้หมายเอาความรู้ทั่วไปซึ่งมีอยู่ในโลก เช่นวิชาเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น ดังความเข้าใจของคนบางคน เพราะความรู้เหล่านั้นซึ่งเป็นของมีไว้ใช้เฉพาะในโลกนี้เท่านั้น แล้วก็เป็นวิชาที่เศร้าหมองใช้ไม่มีที่สิ้นสุดลงได้ วิชาในสมัยก่อนพุทธกาลซึ่งคณาจารย์ทั้งหลายนิยม กันว่าเป็นของสูงสุด มีถึง ๑๘ แขนง อันมีไตรเภทแลสรีรศาสตร์เป็นต้น เมื่อใครได้เรียนจบแลแตกฉานแล้ว ได้รับความยกย่องว่า เป็นยอดของปราชญ์ ถึงแม้พระองค์จะได้เรียนจบคล่องแล้ว แต่เมื่อ ครั้งยังทรงพระเยาว์อยู่แล้วก็ตาม แต่วิชาเหล่านั้นก็ไม่สามารถจะนำมาใช้ ให้พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ซึ้ง เญยยธรรม ได้เลย “เพราะวิชาเหล่านั้นเป็นโลกิยะวิชา มีไว้สำหรับใช้อยู่ในโลกนี้เท่านั้น เรียนรู้ส่งออก นอก ไม่ใช่เรียนรู้ไว้เพื่อฟอกกายใจของตน ยิ่งเรียนยิ่งรู้ก็มีแต่จะยิ่งเพิ่มความหดหู่เศร้าหมองของใจ เกิดความลังเลสงสัยไม่มีที่สิ้นสุดลงได้ จึงเรียกว่าโลก ส่วนความรู้อันเรียกว่าเญยยธรรมนี้นั้น เป็น ความรู้อันเกิดจากจิตซึ่งบริสุทธิ์ อันมีสัมมาสมาธิเป็นสมุฏฐาน รู้ชัดแจ้งในแนวสัจธรรมอันมีเหตุมีผล ของกันและกัน ณ ที่ใจแห่งเดียว จนเชื่อมั่นในพระทัยของพระองค์ว่า เราได้ตรัสรู้วิชชาอันยอดเยี่ยม แล้ว วิชชาอื่นนอกเหนือไปจากนี้ย่อมไม่มีอีกแล้ว” พูดง่าย ๆ เรียกว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ซึ่งเญยยธรรม อันได้แก่รู้ของจริงทั้งสี่ตามเป็นจริง ไม่หลงไม่โกหกหลอกลวงตนเองแลผู้อื่นเหมือนเมื่อก่อน อันได้แก่ รู้เห็นทุกข์ที่มีอยู่ในกายแลใจทั้ง ของตนแลของคนอื่นว่าเป็นทุกข์จริง ๆ แล้วก็เบื่อหน่ายอยากหนีให้พ้นไปเสียจากทุกข์นั้นด้วย ๑ รู้เห็นกายใจของตนแลของคนอื่น ที่พากันทะเยอทะยานดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่ตลอดกาล ว่าเป็นเหตุหรือบ่อให้เกิดทุกข์โดยส่วนเดียว แล้วก็กลัวพยายามละเหตุนั้น ๆ จนเป็นผลสำเร็จ ๑ เห็นคุณค่า ประโยชน์เพราะได้รับความสุขสงบอันเกิดจากปัญญา ที่เข้าไปรู้ไปเห็นทุกข์ตามเป็นจริง พร้อมทั้ง เหตุให้เกิดทุกข์นั้น ๆ แล้วก็ละทุกข์นั้นได้จริง ๆ ด้วย ๑ เชื่อมั่นในปฏิปทาที่สัมมาทิฏฐิเป็นผู้นำจนได้ บรรลุผลสุดยอดซึ่งไม่เคยได้พบได้เห็นมาแต่ก่อนเลย ๑ ผู้ที่มาเรียนรู้แลปฏิบัติตามหลักสี่ประการดังได้อธิบายมานี้แล้ว เรียกว่าเรียนรู้หรือรู้จากการ ภาวนา นับได้ว่าเป็นวิชชาที่สุดของโลกตามบาทยุคลของพระองค์ นี่แลเญยยธรรม แล้วจะไปแสวงหา วิชชาที่ไหนอีกเล่า “เพราะที่โลกนี้ก็คือทุกข์เท่านั้นแหละ เมื่อพ้นจากทุกข์ได้แล้วก็เรียกว่าเป็นผู้เกิดมา ไม่เสียชาติกับเขา ก็คือผู้ไม่มองข้ามทุกข์มาเห็นทุกข์เป็นทุกข์จริง ๆ” ผู้มาประกอบกรรมในอาชีพใด ๆ ก็ตามในโลกนี้ แม้ที่สุดแต่โยคาวจรเจ้าผู้มาเจริญกรรมฐาน ภาวนา ฝ่าฝืนต่ออุปสรรคนานัปการ บางครั้งถึงขนาดเอาชีวิตเป็นเดิมพันก็ตาม ก็เพื่อปลดแอกต้อง การอิสระจากการทารุณบีบคั้นจากอิทธิพลของกิเลส ซึ่งมีอวิชชาเป็นหัวหน้านั่นเอง หมอยาผู้วิเศษผู้ เรียนรู้ซึ่งสรรพโรคทั้งปวงในตัวของคนเราแล้ว เมื่อมาตรวจอาการของคนไข้รู้ชัดว่าเขาเป็นโรคชนิด นั้น ๆ แล้ว วางยาให้เหมาะกับโรคที่เขาเป็นอยู่นั้น โรคนั้นก็จะหายโดยฉับพลันในเวลาอันควร แล้วกิจ ของคนไข้ที่จะต้องรักษาโรคนั้นต่อไปอีกก็ดี หรือกิจภาระของหมอที่จะตามไปรักษาอีกก็ดีย่อมไม่มี อีกแล้ว อนึ่งเญยยธรรมคำสอนของพระองค์นั้น อุปมาเหมือนแว่นขยายสามารถมองเห็นวัตถุ ที่ ละเอียดอันตาเปล่ามองเห็นไม่ได้ ให้มองเห็นชัดได้ ปัญญาอันเกิดจากการเจริญธรรมกรรมฐานทั้ง หลาย อันมี สมถะแลวิปัสสนาหรือสติปัฏฐานสี่ เป็นต้น ของผู้เจริญธรรมนั้น ๆ ให้มองเห็นสภาพธรรม ตามเป็นจริงอย่างไร (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 04 ม.ค. 2010, 22:57 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เญยยธรรม : หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี |
เปรียบเหมือนผู้นำเอาแว่นขยายนั้นมาใช้ สรรพกิเลสทั้งหลายอันมีนิวรณธรรม เป็นต้น ซึ่งปกคลุมจิตของมนุษย์ปุถุชนทั้งหลายอยู่ มิให้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมนั้น ๆ โยคาวจรทั้ง หลายมาเห็นโทษในเรื่องนั้นแล้ว แลเกิดศรัทธามาตั้งใจปฏิบัติขัดเกลาจิตใจของตน ด้วยการเจริญ พระกรรมฐานมีสติปัฏฐานสี่เป็นต้น ดังได้อธิบายมาแล้ว ก็จะกำจัดฝ้า คือ ความมืดของจิตนั้นให้หาย กระจายออกจากความหลงมัวเมานั้นได้ในที่สุด เมื่อผู้มาปฏิบัติตามโดยนัยดังได้อธิบายมานี้แล้ว ได้ชื่อว่าเดินตามรอยบาทยุคล รู้ซึ่งเญยยธรรมและเข้าถึงองค์พระไตรสรณาคมแล้วโดยสมบูรณ์ ณ ที่กาย ใจ ของตนโดยเฉพาะ ไม่ต้องเชื่อต่อวาจาของผู้อื่นอีกแล้ว เญยยธรรมคำสอนที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติไว้นั้น ไม่ว่าจะเป็นพระวินัยหรือพระธรรมก็ตาม ย่อมเกิดขึ้นจากพระสัพพัญญุตญาณ และได้ทรงวินิจฉัยด้วยพระทัยอันบริสุทธิ์ด้วยพระองค์เอง โดยที่มิได้ขอมติจากใคร ๆ ทั้งนั้น ฉะนั้นธรรมวินัยเหล่านั้นจึงเป็นของบริสุทธิ์ ทรงไว้ซึ่งความศักดิ์ สิทธิ์ตลอดกาลนาน มวลมนุษย์ผู้มีจิตเลื่อมใส มารับเอาเญยยธรรมคำสอนของพระองค์ไปปฏิบัติตาม ย่อมได้รับผลนำมาซึ่งสันติ ตามฐานะชั้นภูมิแลความสามารถของตน ๆ ดังปรากฏเห็นชัดแก่ใจของตนอยู่แล้วทุกคนในขณะนี้ “เนื่องด้วยเญยยธรรมเป็นของละเอียดลึกซึ้งสุขุมมาก อันเกิดจากใจบริสุทธิ์ของท่านผู้ที่ได้ อบรมฝึกฝนมาดีแล้ว จึงยากที่ปุถุชนคนธรรมดา ๆ อย่างพวกเราทั้งหลายที่จะตามเข้าไปพิสูจน์ให้รู้ และเข้าถึงอรรถรสของเญยยธรรมนั้นได้ทั่วถึง เพราะเญยยธรรมเป็นวิชชานอกเหนือไปจากปรัชญา แลตำราใด ๆ ทั้งหมด ธรรมและวินัยบางอย่างจะมาพิสูจน์ด้วยวัตถุธาตุย่อมไม่ได้ ต้องพิสูจน์ด้วย มโนธาตุที่บริสุทธิ์เท่านั้นจึงจะรู้ได้ด้วยภาษาใจ แล้วก็เป็นความรู้เฉพาะตน (ปัจจัตตัง) อีกด้วย แม้ถึงกระนั้นก็ตาม พระองค์ก็ยังได้ทรงบัญญัติไว้ด้วยภาษาคำพูด ให้พวกเราได้รู้แลได้ปฏิบัติตามจนกระทั่งบัดนี้ จึงนับว่าเป็นบุญอักโขแก่พวกเรามิใช่น้อย ฉะนั้น ผู้ที่มีการศึกษามากหรือการศึกษาน้อย ก็ดี ปฏิบัติมามากหรือปฏิบัติมาน้อยก็ดี เมื่อชำระจิตของตนยังไม่บริสุทธิ์พอ จะเป็นพื้นฐานรับรอง ของเญยยธรรมแล้ว จะมาพิสูจน์ซึ่งเญยยธรรมด้วยตัวหนังสือ หรือการเทียบในหลักปรัชญานั้น ๆ หาได้ไม่ ดีไม่ดีอาจเกิดเป็นมิจฉาทิฏฐิขึ้นมาก็ได้ การพิสูจน์นั้นหากไปตรงกับเญยยธรรมคำสอนของ พระพุทธเจ้าก็ดีไป หากไม่ไปตรงกันเข้าก็อย่าพึงคัดค้าน หรือยกโทษคำสอนของพระองค์ก่อนเลย จะเป็นบาปเปล่า จงทำตนเป็นเถรตรงศึกษาจดจำแลนำไปปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจ ทำตนให้เป็น เหมือนตู้ทึบเก็บพระไตรปิฎกของพระองค์ไว้ เพื่อประโยชน์ความสุขแก่โลกแลอนุชนภายหลังก็ยังจะ ดีกว่า” ![]() ![]() ![]() (คัดลอกบางตอนมาจาก : ประมวลแนวปฏิบัติธรรม ของพระนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาจารย์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) วัดหินหมากเป้ง จ. หนองคาย, จัดพิมพ์โดยคณะศิษยานุศิษย์, พ.ศ. ๒๕๒๐, หน้า ๒๙๗-๓๐๑) |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |