ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
มุมมองทางศาสนา ของ อ.ระวี ภาวิไล ที่น่าสนใจ…คัดมาฝาก…. http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=27862 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลูกโป่ง [ 21 ธ.ค. 2009, 10:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | มุมมองทางศาสนา ของ อ.ระวี ภาวิไล ที่น่าสนใจ…คัดมาฝาก…. |
![]() มุมมองทางศาสนา ของ ท่านอ.ระวี ภาวิไล ที่น่าสนใจ…คัดมาฝาก…. คัดมาฝาก บางตอนจาก บทสัมภาษณ์ ท่านอ.ระวี ภาวิไล “ไขรหัสลับชีวิตมนุษย์ “ จากกรุงเทพธุรกิจ จุดประกาย ฉบับวันที่ 8 ธันวาคม 2541 เป็นมุมมองที่น่าพิจารณาของท่านอาจารย์ ระวี ภาวิไล ![]() จะให้คำตอบวิกฤติโลกปี ค.ศ. 2000อย่างไร ? ![]() เคยมีคนประกาศว่า โลกจะพินาศ บอกให้คนทั้งหลายสำนึกบาป ชำระบาป การพยากรณ์ว่าโลกจะพินาศมีมาเรื่อย แล้วพินาศหรือเปล่า ![]() ![]() ถึงโลกไม่พินาศ..คนเกิดมาแล้วตายไหม ทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย ทุกอย่างก็เปลี่ยนตามเงื่อนไขตัวแปรที่มนุษย์เรารู้ก็มี ไม่รู้ก็มี ถ้าเราถือตามคำสอนของพระพุทธเจ้าคือ ถ้ามีภัยคุกคามมนุษย์ก็หาที่พึ่ง แล้วท่านก็บอกว่า ที่พึ่งเหล่านั้นพึ่งไม่ได้ ท่านบอกว่าที่พึ่งได้คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผู้ใดเห็นอริยสัจ 4 นั่นแหละคือที่พึ่งที่แท้จริง ถ้าให้ตีความหมายก็คือควรสนใจปฏิบัติธรรมแบบอุกฤษณ์คือเต็มที่ ![]() ![]() แล้วคำว่าผมไม่สนใจอาจมากกว่าคำว่าไม่เชื่อเสียด้วยซ้ำ ผมไม่เสียเวลาเรื่องนี้หรอกผมมีเวลาที่ต้องใช้ประโยชน์มากกว่านั้น หากผมใช้เวลาศึกษาคำสอนของพระศาสดาต่างๆ จะทำให้ชีวิตผมดีขึ้นแล้วพระศาสดาทั้งหมด ผมเชื่อว่าประกาศธรรมอันเดียวกัน แต่ว่าท่านประกาศกับคนต่างยุค ต่างสมัย แตกต่างความเชื่อ ![]() ![]() ลองคิดดูสิมนุษย์ไม่ได้แตกต่างกัน ถึงจะเป็นคนชาติไหน และอ้างตัวว่าถือศาสนาอะไร แล้วมีโทสะ โมหะเหมือนกันไหม มีความโง่เหมือนกันไหม เราคิดให้มันต่างกันเอง ![]() ![]() ความรู้ก็คือความรู้ ความพยายามจะเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต วิทยาศาสตร์ก็พยายามจะเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต ศาสนาก็คือ ความพยายามจะพัฒนาความเข้าใจโลกคือ เรื่องเดียวกันหมด เรื่องความเป็นมนุษย์ของเรา ไม่ใช่อยู่อย่างงมงาย อยู่อย่างไม่รู้อะไรแล้วตายไปอย่างไม่รู้อะไร ![]() ![]() ผมไม่อยากวิจารณ์ ถ้าเริ่มวิจารณ์ก็จะมีเรื่องต้องวิจารณ์อีกมาก แต่อยากมองว่าคนเราถ้าไม่พยายามแสวงหาความรู้ความเข้าใจ ก็จะไม่รู้อะไร มนุษย์เกิดมาก็ควรเกื้อกูลมากกว่าแก่งแย่งกัน ![]() ![]() เมื่อลุ่มหลงแล้วก็จะเห็นแก่ตัว แล้วความเห็นแก่ตัวนี่ลึกซึ้งมาก ถ้าไม่มีความสามารถรู้ทันความคิดของตัวเอง คิดทีไรคิดเข้าข้างตัวเองและเห็นแก่ตัวพฤติกรรมของคน ก็พยายามแสวงหาประโยชน์เข้าตัว เมื่อต่างคนต่างแสวงหาประโยชน์ ก็เกิดความขัดแย้ง เกิดพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความสับสน ![]() ![]() ความหลงรสอร่อยมันเกิดในใจคนแล้วเครื่องแบบต่างๆ หัวโขนต่างๆ ที่มาสวมว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ไม่ได้ช่วยให้ความหลงทั้งหมดคลายไป มีแต่จะทำให้หลงมากขึ้น กลายเป็นว่า มองไม่เห็นอะไร กลายเป็นว่าใช้ประโยชน์จากทุกอย่างด้วยความเห็นแก่ตัว จะอ้างในนามของคนทำความดี ในนามของศาสนาหรืออะไรก็ตามแต่ มองให้ดีก็จะรู้ว่าเป็นเรื่องหลอกไม่จริงทั้งสิ้น ![]() ![]() เพราะมีกฎหมาย คุ้มครององค์การศาสนา ถ้าเราละเมิด บางคนอาจหาว่าดูหมิ่น ต้องหนีไปต่างประเทศ ผมไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับกลไกของรัฐ ผมไม่อยากยุ่งกับเรื่องกฎหมาย คำสอนของพระศาสดาให้ลดตัวตน ความเห็นแก่ตัว ให้ลดด้วยปัญญาและความรัก ความสำนึกในความเป็นมนุษย์ต้องมี ถ้าคำสอนไหนแอบแฝงยั่วยุความเห็นแก่ตัวก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกนัก ![]() ![]() เพราะมีคนให้คำจำกัดความศาสนาหลายอย่าง ถ้าคนในศาสนาที่มีพระเจ้า เรื่องศาสนาก็คือ เรื่องเชื่อฟังพระเจ้า ถ้าเป็นชาวพุทธก็ว่าต้องเชื่อคำสอนพระพุทธเจ้า ที่จริงแล้วการที่ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็ควรมีความเข้าใจสถานการณ์ปรากฏการณ์โลก และชีวิตแต่ละวันว่า มีความหมายอย่างไร เข้าใจลึกซึ้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขั้นตอนต้องอาศัยศึกษาผลงานของเพื่อนมนุษย์ที่ได้เกิดมาแล้ว เพื่อให้เราเข้าใจชีวิตที่เผชิญอยู่ทุกขณะทุกวัน ไม่ใช่ยึดติดคำสอนของท่าน ไม่ใช่เอาคำสอนท่านมาพูดต่อแล้วรู้สึกภูมใจว่าจำได้ หรืออวดว่าเป็นลูกศิษย์คนนั้นคนนี้ สิ่งที่ควรจะทำก็คือ ประมวลทั้งหมดเพื่อนำไปใช้กับประสบการณ์ของเราในทุกขณะจิต ผมอยากบอก ว่า ศาสนาเป็นแค่คำสอนหรือคำกล่าวของผู้รู้ คำสอนจะมีความหมายก็ต่อเมื่อเข้ามาอยู่ในใจคนจนเป็นเลือดเนื้อของเรา ไม่ใช่เป็นความจำในสมองของเรา ต้องเอาคำสอนมาปฏิบัติจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรา ธรรมะในการปฏิบัติเกือบทั้งหมดเป็นเหมือนเรือจ้าง พอมาถึงฝั่งคงไม่มีใครแบกเรือจ้างเดิน เมื่อข้ามฝั่งแล้ว เรือจ้างก็ต้องทิ้ง ![]() ![]() เส้นผมบังภูเขาไหม…ตรงนี้ไม่มีคำตอบ ที่จริงการอยู่ในโลกนี้ไม่มีปัญหา ปัญหาเกิดเพราะตัวตน เข้ามาบอกว่า kuมีปัญหา ฉันมีปัญหา เมื่อไม่มีฉันก็ไม่มีปัญหา ตอนท่านพุทธทาสอยู่ที่อำเภอไชยา สุราษฏร์ธานี ช่วงนั้นผมยังอายุน้อย ท่านเคยเดินทางมาบรรยายธรรมที่กรุงเทพ ฯ เรื่อง ภูเขาแห่งพุทธธรรม แล้วท่านถามว่า แล้วอะไรบังอยู่…พระพุทธรูปบังพุทธธรรม คนไหว้พระพุทธรูปเลยไม่บรรลุธรรม เพราะไปยึดติดพระพุทธรูป พอท่านบรรยายไปแล้ว คนที่ฟังยุคนั้นเป็นระดับผู้นำในพุทธสมาคม จึงไปฟ้องสมเด็จพระสังฆราชว่า ท่านพุทธทาสสอนให้คนไม่เคารพพระพุทธเจ้า เป็นตัวอย่างอันหนึ่งที่ทำให้ผมนึกถึงเรื่องเส้นผมบังภูเขา เราถูกบังแล้ว สิ่งที่บังเป็นสิ่งที่คิดขึ้นด้วยใจ เรานึกถึงพระพุทธเจ้าทีไรต้องนึกถึงพระพุทธรูป ไม่ได้นึกถึงการตรัสรู้ไม่ได้นึกถึงตัวปัญญาที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วตัว ปัญญาแสดงชัดเจนแล้วว่า มนุษย์ที่คิดว่าตัวเองคือ “ อัตตา “ สิ่งที่ “ อัตตา “ แบกไว้คือ ตัวทุกข์หรือปัญหาที่คิดขึ้นเองแล้วแบกรับปัญหา คำสอนทั้งหมดในพุทธศาสนาสอนให้รู้ทันไม่ยึดตัวตน เราเป็นทุกข์เพราะยึดตัวตน ทั้งหมดก็เป็นเราเท่านั้นเอง ชีวิตก็อยู่ในโลกทั้งสองคือ โลกของความแท้จริงที่เหนือตัวตน และโลกที่เราจำเป็นต้องอยู่คือโง่ที่จะอยู่สมมติขึ้นเอง มีเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่มากระทบเราก็เล่นละครไป แสดงไป พอปิดฉากก็ให้ปิดฉาก อย่าพยายามดึงฉากแล้วโชว์ต่อ ที่เรามีตัวตน เพราะคนส่วนใหญ่คิดจะเหนือคนอื่น อย่าคิดอย่างนั้น …อย่างในสวนแห่งหนึ่งดอกไม้มีกี่ดอก ใบไม้มีมากกว่าดอกไม้ แล้วโอกาสที่ได้เกิดเป็นมนุษย์มันน้อยนัก พอเกิดมาเป็นมนุษย์ได้เพราะสิ่งที่สร้างดีแล้ว ก็ควรใช้โอกาสนี้ให้เต็มที่ ใช้เวลาเท่าที่จะสามารถใช้ได้ในชีวิต เพื่อจะบรรลุความรู้ในความไม่เป็นตัวตน การอยากได้ความสุขก็คือ ความโลภอย่างหนึ่ง ตัวความคิดก็คือตัวตนที่แฝงมา คิดทีไรตัวตนแฝงอยู่เบื้องหลังทุกที คือต้องเฝ้าดูความคิด เหมือนแมวคอยเฝ้าหนู ที่มา... http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/003188.htm ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |