ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
สรุปหลักการปฏิบัติกัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐาน http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=26314 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | พระอาจารย์แสนปราชญ์ [ 16 ต.ค. 2009, 09:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | สรุปหลักการปฏิบัติกัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐาน |
สรุปหลักการปฏิบัติกัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐาน จากนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา สติปัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้งของสติบ้าง การที่สติเข้าไปตั้งอยู่ คือมีสติกำกับอยู่บ้าง ว่าโดยหลักการก็คือ การใช้สติ หรือ วิธีปฏิบัติเพื่อใช้สติให้บังเกิดผลดีที่สุด การเจริญสติปัฏฐานนี้ เป็นวิธีปฏิบัติธรรมที่นิยม กันมาก และยกย่องนับถือกันอย่างสูง ถือว่ามีพร้อมทั้งสมถะและวิปัสสนาในตัว สติปัฏฐาน (รวมทั้งวิปัสสนาด้วย) ไม่ใช่หลักการที่จำกัดว่าจะต้องปลีกตัวหลบลี้ไปนั่งปฏิบัติอยู่นอกสังคม หรือจำเพาะในกาลเวลาตอนใดตอนหนึ่ง โดยเหตุนี้จึงมีปราชญ์หลายท่านสนับสนุนให้นำมาปฏิบัติในชีวิต- ประจำวันทั่วไป ว่าโดยสาระสำคัญแล้วหลักของสติปัฏฐาน ๔ บอกให้ทราบว่า ชีวิตของเรานี้มีจุดที่ควรใช้ สติคอยกำกับดูแลทั้งหมดเพียง ๔ แห่งเท่านั้นเอง คือ (๑) ร่างกายและพฤติกรรมของมัน (๒) เวทนาคือ ความรู้สึกสุขทุกข์ต่าง ๆ (๓) ภาวะจิตที่เป็นไปต่าง ๆ (๔) ความคิดนึกไตร่ตรอง ถ้าดำเนินชีวิตโดยมีสติ คุ้มครอง ณ จุดทั้งสี่นี้แล้ว ก็จะช่วยให้เป็นอยู่อย่างปลอดภัย ไร้ทุกข์ มีความสุขผ่องใส และเป็นปฏิปทา นำไปสู่ความรู้แจ้งอริยสัจธรรม[1] องค์ประกอบ หรือหัวใจสติปัฏฐาน ๔ นั้น คือ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา ซึ่งมีหน้าที่ คือ อาตาปี (วิริยะ) ทำหน้าที่เพียรพยายาม ตั้งใจใส่เอาใจใส่ มีโยนิโสมนสิการตามกำหนด สภาวการต่าง ๆ สติมา (สติ) ทำหน้าที่กำหนดไม่ให้คลาดเคลื่อนจากปัจจุบันอารมณ์ ไม่เผลอเรอหลงลืม และมีสมาธิเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย สมฺปชาโน (สัมปชัญญะ) ทำหน้าที่กำหนดรู้การเกิดดับของรูปนาม สังขาร มีความรู้ความเข้าใจสภาวการนั้นตามความเป็นจริง เห็นอนิจจัง ทุกขัง[2] อนัตตา สรุปรวมเป็นองค์ประกอบ ๔ ประการ คือ วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ทำหน้าที่กำหนดปัจจุบันอารมณ์ การกำหนดแต่ละครั้ง เป็นการกัดกร่อนบั่นทอนกิเลสที่เกาะกุมจิตใจทีละนิดทีละน้อย เรียกว่า “กร่อนทีละนิดกัดทีละหน่อย” กิเลสจะค่อย ๆ เบาบางจางไปในที่สุด องค์ประกอบทั้ง ๔ นี้ เกิดขึ้นพร้อมกันและดับไปพร้อมกัน[3] การเจริญสติปัฏฐาน คือ การมีสติจดจ่ออย่างต่อเนื่องตามรู้เท่าทันอาการต่าง ๆ ที่กำลังเกิดอยู่ในกายกับจิต ตามความเป็นจริง รู้เท่าทันปัจจุบันอารมณ์ได้โดยละเอียดไม่ขาดช่วง ไม่ลืมกำหนดรู้อารมณ์ที่ปรากฏ ทางทวารทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อมีรูปกระทบที่ตา มีเสียงกระทบที่หู มีกลิ่นกระทบที่จมูก มีรสกระทบที่ลิ้น มีสัมผัสกระทบที่กาย มีความคิดเกิดที่ใจ ก็สามารถตามรู้เท่าทันปัจจุบันอารมณ์นั้น ๆ ได้ เพื่อก่อให้เกิดวิปัสสนาปัญญาที่รู้แจ้งไตรลักษณ์ ได้แก่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ผู้ที่ต้องการรู้แจ้งไตรลักษณ์ ต้องมีธรรมที่สนับสนุน ๔ อย่าง คือ วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา และจะได้รับผลของการเจริญสติปัฏฐาน คือกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกคืออุปาทานขันธ์ได้[4] ในการปฏิบัติกัมมัฏฐานหรือสติปัฏฐานให้มีสรณะและศีลเป็นพื้นฐาน เบื้องต้นให้ระลึกถึงสรณะทั้ง ๓ สำรวมกายวาจาให้เป็นศีล และเลือกข้อกัมมัฏฐาน คือเลือกข้อปฏิบัติที่จะทำจิตให้เป็นสมาธิ เมื่อได้ข้อ กัมมัฏฐาน ให้เริ่มปฏิบัติโดยทำวิตก คือการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ของสมาธิ หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้ และทำวิจาร คือการคอยประคองจิตให้ตั้งในอารมณ์ของสมาธินั้น หายใจเข้าก็ให้อยู่กับลมหายใจเข้า หายใจออกก็ให้อยู่กับลมหายใจออก หากว่าจิตออกไปเมื่อใดก็นำเข้ามาตั้งไว้ใหม่คอยประคองไว้ใหม่ หน้าที่ของผู้ปฏิบัติต้องให้จิตเข้ามาตั้งและดำรงอยู่อย่างนี้ จะทำให้จิตรวมกันตั้งอยู่ได้ดีไม่ต้องคอยจับ อารมณ์ ตอนนี้เรียกว่า อุเบกขา คือการเพ่งดูเข้ามาข้างในจิตซึ่งสงบตั้งมั่น รู้เห็นอยู่ที่จิตสงบตั้งมั่น ดูอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไร ใช้อุเบกขารักษาจิตไว้ในกัมมัฏฐาน ชั้นของสมาธิจะขึ้นไปเอง ลมหายใจจะละเอียด กายสังขารปรากฏและสงบเป็นกายานุปัสสนา เมื่อจิตรู้กายสังขารแล้วจะเกิด ปีติปราโมทย์ ให้กำหนดรู้ทั่วถึงปิตีให้รู้ทั่วถึงสุข รู้ทั่วถึงจิตตสังขารและระงับจิตตสังขาร ขั้นนี้เป็น เวทนานุปัสสนา ขั้นต่อไปเป็นจิตตานุปัสสนา ให้คอยห้ามจิตไม่ให้ติด ไม่ให้พะวักพะวง เมื่อมีนิมิต หรือวิปัสสนูปกิเลสเกิดขึ้น คอยเปลื้องจิตและนำจิตมาตั้งไว้ในอารมณ์ของสมาธิต่อไป จะทำให้เป็น จิตควรแก่งาน นำมาปฏิบัติธรรมานุปัสสนาต่อ โดยเริ่มจากการพิจารณารูปธรรมนามธรรมว่าไม่เที่ยง คือ อนิจจานุปัสสนา เมื่อได้อนิจจานุปัสสนาก็ได้วิราคะคือความสิ้นติดใจยินดีต่อกันไป ให้กำหนดดูวิราคะว่าเป็นอย่างนี้เกิดขึ้นในจิต เมื่อเกิดวิราคะแล้วนิโรธะความดับก็จะบังเกิดขึ้นติดต่อกัน ไปเอง เป็นความดับทุกข์ จิตจึงเป็นจิตที่พ้นทุกข์ เป็นจิตที่ปลอดโปร่งจากทุกข์ทั้งหมด ให้กำหนดดูนิโรธะต่อให้มากขึ้น อาจจะเห็นสิ่งที่สละไม่ยึดถือนั้นโผล่ขึ้นมาอีก ต้องตัดใจสละออกไป แล้วก็แล่นออกไปไม่พะวงลังเลใจ ในชั้นธรรมานุปัสสนานี้ เป็นการปฏิบัติละอภิชฌาคือความยินดี โทมนัสคือความยินร้ายด้วยปัญญา เป็นยอดของสติปัฏฐาน ก็เป็นอันว่าสิ้นธุระของ สติปัฏฐาน[5] การปฏิบัติพระกัมมัฏฐานในทางพระพุทธศาสนานั้น มีหลายวิธีด้วยกันแต่พระพุทธศาสนาฝ่าย เถรวาท มีความเชื่อและยอมรับแนวการปฏิบัติพระกัมมัฏฐานตามที่ปรากฏหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎก และอรรถกถาว่าเป็นวิธีที่ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งแบ่งเป็น ๒ วิธี คือ สมถกัมมัฏฐานและ วิปัสสนากัมมัฏฐาน และในมหาสติปัฏฐานสูตรมีกัมมัฏฐาน ๒๑ วิธี สำหรับให้ผู้ปฏิบัติได้กำหนดมีทั้ง สมถกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐาน จิตจะมีสมาธิ เกิดขึ้นมาเองได้โดยไม่ต้องกังวลกับสมถกัมมัฏฐาน ใช้ได้กับบุคคลทุกจริต และสามารถสำรวจผลการ ปฏิบัติได้จากโสฬสญาณ (ญาณ ๑๖) ซึ่งเป็นเครื่องวัดถึงความเจริญก้าวหน้าของการปฏิบัติ[6] หัวข้อใหญ่ในการปฏิบัติโดยสรุปแล้ว ประกอบด้วยสิ่งที่ถูกกำหนดคืออารมณ์ อาการของการกำหนด และผลที่เกิดขึ้น อารมณ์สำหรับกำหนดมี ๒ อย่าง คือ ลมหายใจและอิริยาบถ ส่วนอาการของการ กำหนดแจกได้ ๑๐ ประการ คือ (๑) กำหนดโดยความเป็นอารมณ์ (๒) กำหนดนามรูป (๓) กำหนดอาการเกิดดับ (๔) กำหนดโดยความเป็นของไม่เที่ยง (๕) กำหนดโดยความเป็นทุกข์ (๖) กำหนดโดยความเป็นอนัตตา (๗) กำหนดเป็นวิราคะ-จางคาย (๘) กำหนดเป็นนิโรธะ-ความดับ (๙) กำหนดความเป็นปฏินิสสัคคะ-สละคืน (๑๐) กำหนดความเป็นสุญญตา-หมดแล้ว ตัวตนว่างจากสิ่งทั้งปวง ส่วนผลที่เกิดขึ้นท่านอธิบายว่า เกิดจากของแต่ละสิ่งที่ถูกกำหนด และอาการกำหนด ๑๐ อาการ จะเกิดญาณตั้งร้อยตั้งพันตั้งหมื่นตั้งแสนก็ได้ แล้วแต่จะเอาอะไรมากำหนด การกำหนดเป็นญาณทุกชนิด แต่สงเคราะห์ให้สั้นเข้า ก็เหลือแค่ธัมมัฏฐิติญาณ กับนิพพานญาณ ผลที่เกิดขึ้นหรือญาณนี้มีทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ต้องสังเกตศึกษาจึงจะเห็นก็มี เห็นได้ตรง ๆ ก็มี[7] การที่จะปฏิบัติได้ถูกต้องจะต้องศึกษาให้รู้เข้าใจจากคัมภีร์ที่บันทึกรวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ได้รับการถ่ายทอดนำสืบกันมาโดยพระสาวกทั้งหลาย และคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรคที่พระสารีบุตรแสดง ไว้ได้รับการยอมรับว่า เป็นคัมภีร์เล่มแรกสำหรับผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐาน พระสารีบุตรผู้แต่งคัมภีร์นี้ได้อธิบาย ความด้วยนัยและอรรถอย่างวิจิตรลึกซึ้งรวม ๓๐ เรื่อง หรือ ๓๐ กถา ในแต่ละกถามีเป้าหมายตรงกัน คือเพื่อให้ผู้ศึกษามีความรู้แตกฉานในอรรถในธรรม ในนิรุตติ และในปฏิภาณ วิธีการอธิบายของท่านคือ บทที่เป็นพุทธวจนะหรือภาษิตของพระอานนท์ท่านจะอ้างที่มาไว้ด้วย ส่วนที่เป็นของท่านจะไม่อ้างไว้ ต่อจากนั้นท่านจะอธิบายขยายความในส่วนที่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงอธิบายไว้ ทั้งด้านอรรถและพยัญชนะได้อย่างผสมกลมกลืนสอดคล้องกับที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เมื่อผู้ปฏิบัติศึกษาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติของตนซึ่งมีความมั่นใจว่า จะไม่ผิดจากหลักการและยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เจริญแพร่หลาย ยิ่งขึ้นไป[8] เนื้อหาที่กล่าวมาเป็นเพียงการสรุปจาก “วิทยานิพนธ์การศึกษาเชิงวิเคราะห์ สติปัฏฐานกถาใน คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค” ซึ่งถูกคัดเลือกตัดสินให้เป็นวิทยานิพนธ์ดีเด่น ๒๕๕๑ ของมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผู้เรียบเรียงมีซีดีในรูปแบบ word และ pdf พร้อมหนังสือ เก็บเพชรจากวิทยานิพนธ์ดีเด่น จำนวนจำกัดแจกฟรี หรือผู้ใดสงสัยการปฏิบัติ หรือครูบาอาจารย์ท่านใดที่ต้องการจะแนะนำเสริมเติมแต่งให้สมบูรณ์สามารถติดต่อ ผู้เรียบเรียงได้ที่ ๐๘๓๑๒๕๖๓๗๕ -------------------------------------------------------------------------------- อ้างอิง : [1] พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ. [2] สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ในภาษาไทยบางทีใช้อย่างภาษาพูดว่า ทุกขัง, อ้างใน พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ, หน้า ๗๐. [3] พระภัททันตะ อาสภเถระ, การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตามหลักสติปัฏฐาน ๔, (ชลบุรี : สำนักวิปัสสนามูลนิธิวิเวกอาศรม, ๒๕๔๑). [4] พระคันธสาราภิวงศ์, การเจริญสติปัฏฐาน, (ลำปาง : จิตวัฒนาการพิมพ์, ๒๕๔๑). [5] สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญสุวฑฺฒโน), การปฏิบัติกรรมฐาน, (กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๒). [6] พระศรีวรญาณ (วิ) (บุญชิต ญาณสํวโร ป.ธ. ๙ ), “หลักการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน ในพระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย”, หน้า ๓๐๑-๓๒๐. [7] พุทธทาสภิกขุ, วิธีฝึกสมาธิวิปัสสนา ฉบับสมบูรณ์, (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ สุนทรสาส์น, ๒๕๔๕). [8] เสนาะ ผดุงฉัตร, “การศึกษาเชิงวิเคราะห์อานาปานัสสติกถา ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค”. |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |