ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
อานิสงส์บวช http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=26070 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | จารุวัณโณภิกขุ [ 06 ต.ค. 2009, 10:54 ] |
หัวข้อกระทู้: | อานิสงส์บวช |
อานิสงส์บวช ![]() ![]() ![]() ...บวชนี้ย่อมมีผลานิสงส์อย่างมากมาย องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ตรัสเทนาอานิสงส์แห่งการ บรรพชาอุปสมบทไว้โดยอเนกประการว่า ทาสสฺส อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลใดมีศรัทธาบรรพชาทาสกรรมกรให้เป็นสามเณร หรือสามเณรี มีอานิสงส์ ๔ กัล์ป บวชเป็นภิกษุหรือภิกษุณี มีอานิสงส์๘ กัล์ป และถ้าอุปสมบทจะได้รับอานิสงส์ ๑๖ กัล์ป หากอุปสมบทได้อานิสงส์ ๓๒ กัล์ป ถ้าอุปสมบทตนเองในพระพุทธศาสนา ด้วยศรัทธาเลื่อมใสจะได้อานิสงส์ถึง ๖๔ กัล์ป บุคคลใดได้บรรพชาบุตรตนก็ดี บุตรของผู้อื่นก็ดี ก็จะไม่ไปสู่อบายภูมิแล้วพระองค์ตรัสอีกว่าดูกรอานนท์ดังจะเห็นได้จากหญิงผู้หนึ่ง เขามีบุตรอยู่คนเดียว บุตรชายเขาขอไปบวชมารดาก็ไม่ให้บวชบุตรชายจึงหนีไปบวช อยู่มาวันหนึ่งมารดาของสามเณรนั้นออกจากบ้านไปแต่เช้า เพื่อจักแสวงหาฟืน มารดาสามเณร ครั้นหาฟืนได้พอสมควรแล้วก็กลับบ้าน พอมาถึงระหว่างทางได้พักอยู่โคนต้นไม้ใหญ่ แล้วลงนอนพัก ผ่อนก็หลับไป ได้นิมิตรฝันไปว่ามีพระยายมราชมาถามว่า ดูกรผู้หญิง เธอได้กระทำบุญหรือว่าไม่ได้กระทำเลย มารดาของสามเณรนั้นตอบว่าข้าแต่เจ้า ดิฉันไม่ได้กระทำบุญอย่างไรเลย พระยายมราชทราบแล้ว ก็จับเอาผู้หญิงนั้นไปใส่นรกทันที ได้และเห็นไฟนรกลุกโพรงก็ถามพระยายมราชว่า อันไฟแดงนั้นเป็นอย่างไร พระยายมราชว่า อันไฟแดงนั้นเป็นไฟนรก ผู้หญิงจึงบอกว่าเหมือนกับผ้าจีวรของลูกชายของข้าพเจ้าอันได้บวชเป็นสามเณรนั้นแล พระยายมราชจึงกล่าวว่าดูกรผู้หญิง ลูกชายของเธอยังได้บวชหรือ ? นางก็ตอบว่าลูกชายยังได้บวชเป็นสามเณรอยู่พระยายมราชได้ยินคำของนางดังนั้นแล้ว จึงนำนางมาคืนไว้เดิมเสีย เหตุอันนี้ก็เพราะบุญของลูกชายตนได้บวชเป็นสามเณร ในพุทธศาสนาไปกั้นไว้ในนรกได้ ครั้นนางตื่นขึ้นมาก็ตกใจกลัวรีบกลับบ้าน ตั้งแต่นั้นนางก็เลื่อมใสในพุทธศาสนา เฝ้าปฏิบัติสามเณรลูกชายของตน มิได้ขาดจนนางได้ตายไปตามอายุขัยก็ไปบังเกิดในสวรรค์ดั้งนี้ เป็นต้น ท่านผู้อ่านที่ใจบุญทั้งหลายมีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องราวที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ? |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 06 ต.ค. 2009, 12:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อานิสงส์บวช |
![]() ![]() ![]() ธรรมเนียมบวชในพระพุทธศาสนา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=19770 หนังสือที่พระบวชใหม่พึงอ่าน (เสฐียรพงษ์ วรรณปก) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=19682 การบวช http://www.dhammajak.net/buad-phra/8.html |
เจ้าของ: | วรานนท์ [ 06 ต.ค. 2009, 18:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อานิสงส์บวช |
![]() ![]() ![]() ยังไม่เข้าใจว่าผลเป็นอย่างไร ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | bbb [ 09 ต.ค. 2009, 15:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อานิสงส์บวช |
ท่านพระพุทธทาสกล่าวไว้ว่า "เด๋วนี้คนเราจัดงานบวชครั้งหนึ่ง ต้องเชิญแขก คนรู้จัก มาดื่มสังสรร ทั้งที่ผิดไปจากหลัก พุทธศาสนาอย่างยิ่ง " เราจึงเรียก "พุทธศาสนาเนื้องอก" ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | จารุวัณโณภิกขุ [ 23 ก.พ. 2010, 20:48 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: อานิสงส์บวช | ||
บวชทำไม พระอาจารย์ กิตฺติวุฑฺโฒ ภิกฺขุ ***** .....................ประเพณีของคนไทยเรา ที่นับถือพระพุทธศาสนา ส่วนมากนิยมให้ลูกหลาน ได้เข้าสู่การบรรพชาอุปสมบท เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ถึงแม้ว่า จะดำรงภาวะของความเป็นนักบวช เพียงชั่วระยะเวลาอันเล็กน้อย ก็ยังมีความพอใจในภาวะเช่นนั้น ซึ่งเราจะสังเกตุได้ เมื่อถึงฤดูกาลใกล้เข้าพรรษา พุทธศาสนิกส่วนมาก มักจะได้รับฏีกาบอกบุญ หรือ การ์ดเชิญให้ไปร่วมการกุศล เนื่องในงานอุปสมบท ข้าราชการตามกรมกองต่าง ๆ ก็ลาราชการออกบวช ชั่วระยะเวลา ๔ เดือน คนไทยเราถือว่า ถ้าชีวิตของเราเกิดมาเป็นชาย ย่างเข้าสู่วัยฉกรรจ์แล้ว จะต้องหาโอกาสเข้ามาสู่ภายใต้ร่มกาสาวพัตร์ กันครั้งหนึ่ง ฉะนั้น จึงปรากฏว่า ผู้ชายที่นับถือพุทธศาสนานั้น ส่วนมากแล้ว มักจะเคยบวชกันมาอย่างน้อยก็ ๑ ครั้ง ***** ......................เพราะเหตุใด คนโบราณ จึงถือว่า การบวช เป็นเรื่องสำคัญ แม้แต่ทางราชการก็ถือว่า การบวชเป็นเรื่องสำคัญ อีกเหมือนกัน ซึ่งคุณสมบัติ ของผู้ที่จะเข้ารับหน้าที่ในราชการ ก็มีการสอบประวัติ ว่าเคยผ่านการบวชเรียนมาหรือไม่ นี้เป็นการชี้ให้เห็นถึง ความสำคัญ ในการบวช คนโบราณ ถือว่าคนที่ยังไม่ได้บวชเรียน เป็นคนที่ไม่บรรลุนิติภาวะ เป็นผู้ที่ยังไม่ควรแก่การครองเรือน ซึ่งคนแก่คนเฒ่าเคยเล่าให้ฟังว่า ในสมัยก่อนนั้น ถ้าผู้ชายจะไปขอลูกสาวใครมาเป็นภรรยาแล้ว พ่อแม่ฝ่ายหญิง เขาจะถามก่อนว่า ผู้ที่จะมาเป็นบุตรเขยนั้น เคยบวชเคยเรียนมาแล้วหรือยัง ถ้าปรากฏว่า ยังไม่เคยบวชเคยเรียนมาก่อน พ่อแม่ฝ่ายหญิง ก็ไม่ยอมยกลูกสาวให้ ด้วยการบ่ายเบี่ยงเกี่ยงให้ชายผู้ที่จะมาเป็นเขย ได้บวชได้เรียนเสียก่อน ***** .......................ที่เป็นเช่นนี้ เพราะเหตุว่า " คนโบราณนั้น เป็นผู้เคร่งครัดในทางพระพุทธศาสนา " ถือว่า ผู้ที่จะมีความรู้เกี่ยวแก่การครองเรือน เกี่ยวแก่การรับผิดชอบในเรื่องครอบครัวได้ดีนั้น จะต้องผ่านการบวชมาก่อนทั้งสิ้น ถ้าผู้ชายคนใด ยังไม่เคยศึกษาอบรมจากพระศาสนาแล้ว ก็ถือว่า ผู้ชายเหล่านั้นยังไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ ทั้งนี้ คนโบราณถือว่า คนที่ยังไม่บวชเป็น คนดิบ ซึ่งเมื่อเราฟังดูแล้ว อาจจะนึกฉงนก็ได้ว่า ทำไมจึงเรียกคนที่ยังไม่เคยบวชว่าเป็น " คนดิบ " ซึ่งความจริง คนเราจะบวชหรือ ไม่บวชก็ตาม ก็เป็นคนดิบทั้งนั้น เพราะ เนื้อของเราทุกคนก็เป็นเนื้อดิบ ๆ มันจะสุกก็ตอนที่เราตายแล้ว และ กำลังถูกนำไปไว้ที่เชิงตะกอน เผาในขณะนั้น นั่นแหละจึงจะเรียกว่า เป็น "คนสุก" ***** .......................เรื่องนี้ ถ้าเราไม่ศึกษาให้เข้าใจเอาไว้เสียก่อน เราจะไม่เข้าใจคำพูดของคนโบราณว่า ทำไม ท่านจึงพูดเช่นนั้น คือ คำว่า ดิบ นี้ ไม่ใช่หมายถึง เนื้อหนังมังสานี้ดิบ แต่ท่านหมายถึง จิตใจ ของบุคคลเหล่านั้น ยังดิบอยู่ คือ ยังมิได้อบรมในด้านพระธรรมวินัยมาก่อน ซึ่งอุปมาเหมือนผลไม้ที่มันยังดิบอยู่ ยกตัวอย่างเช่น กล้วยที่ดิบ ๆ มันมีรสฝาด รสชาดก็ไม่อร่อย ถ้าเราจะให้กล้วยนั้นมีรสชาดดีขึ้น หวานขึ้น เราก็ต้องเอาไปอบไปบ่มให้กล้วยนั้นสุกเสียก่อน และ ถ้าจะให้อร่อยยิ่งขึ้นก็ต้องไปบวช ที่เรียกกันว่า บวชชี รสชาดของกล้วยก็อร่อยขึ้นกว่าเดิม ***** .........................เรื่องของคนดิบนี้ก็คงจะเหมือนกับกล้วยดิบ ๆ นั่นเอง เพราะ คนที่ไม่เคยอบรมในด้านพระธรรมวินัย จิตใจอาจจะหยาบกระด้างเหมือนกับกล้วยที่ดิบ ซึ่งมันมีรสฝาดไม่อร่อย ฉะนั้น การที่คนโบราณ มีความเข้าใจว่า คนที่ยังไม่ได้บวชนั้นเป็น คนดิบ ท่านหมายถึง จิตใจ นั้นดิบ ไม่ใช่เนื้อหนังมังสาดิบ คนที่เคยผ่านการบวชการเรียนมาแล้ว เรียกว่า "คนสุก" ก็หมายถึง คนเหล่านั้นได้ผ่านการอบรมบ่มนิสัย จนกระทั่ง จิตใจ ไม่หยาบกระด้าง "มี หิริ โอตตัปปะ คือ ความละอายต่อบาปกรรม และ มีความเกรงกลัวต่อบาปกรรม ที่ตนเองกระทำขึ้น" คนอย่างนี้เรียกว่า คนสุก ทั้งบุคคลเหล่านี้ ย่อมจะเข้าใจในหลักการดำเนินชีวิตได้โดยถูกต้อง ตามแนวทางพระพุทธศาสนาดีแล้ว ถึงแม้ว่า จะยกลูกสาวให้ก็คงไม่เอาไปทุบ ไปตี หรือ ปล่อยปละละเลย ให้ตกทุกข์ได้ยาก อด ๆ อยาก ๆ หรือ ทอดทิ้งกลางคัน ให้ได้รับความเดือดร้อนในภายหลัง ***** .........................สุขในธรรม มีแด่ทุกท่าน http://larnbuddhism.com/webboard/forum8/thread655.html
|
เจ้าของ: | LOCOMOTIVE [ 23 ก.พ. 2010, 21:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อานิสงส์บวช |
yothininsuk เขียน: ท่านพระพุทธทาสกล่าวไว้ว่า "เด๋วนี้คนเราจัดงานบวชครั้งหนึ่ง ต้องเชิญแขก คนรู้จัก มาดื่มสังสรร ทั้งที่ผิดไปจากหลัก พุทธศาสนาอย่างยิ่ง " เราจึงเรียก "พุทธศาสนาเนื้องอก" ![]() ![]() ![]() ธรรมอาสาทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีสิครับ อย่าทำลายภาษาไทย อย่าใช้ภาษาวิบัติสิครับ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |