วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 22:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2009, 13:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิบัติธรรมอย่างไรจึงจะถูกทาง?

การจะปฏิบัติธรรมให้ถูกทางได้นั้น ก็มีลักษณะเดียวกับการกระทำใดๆ ของเราในทางโลก ที่จะทำให้ถูกต้องได้นั้น ต้องมีการศึกษาเรียนรู้สิ่งที่เราจะไปทำนั้นให้รู้และเข้าใจสิในสิ่งนั้นๆ ให้ดีก่อน การกระทำของเราในสิ่งนั้นจะถูกต้องครบถ้วนมีผลสำเร็จเกิดขึ้นตามที่เราได้ตั้งใจไว้ มีเพียงความตั้งใจเฉยๆ ไม่มีความรู้ประกอบ การกระทำของเราไม่ว่าจะเป็นทางโลกหรือทางธรรมก็ไม่ประสพความสำเร็จ เพราะเป็นการหลับตากระทำ หรือทำโดยความไม่รู้

การปฏิบัติธรรมนั้น หนทางที่ถูกต้องและมีผลสำเร็จเกิดขึ้นตามที่ตัวเองตั้งใจไว้คือดับทุกข์ให้ได้ ต้องเรียนรู้พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกจนเข้าใจในพระธรรมคำสอนนั้นพอสมควร อย่างน้อยจับหลักใหญ่ใจความของพระธรรมให้ได้ก่อน คือ เข้าใจว่า พระธรรมคำสั่งสอนส่วนใดเป็นผลของการตรัสรู้ พระธรรมส่วนใดเป็นเหตุของการตรัสรู้ พระธรรมคำสั่งสอนแต่ละสูตรนั้นพระพุทธเจ้าตรัสสอนผู้ใด สอนพระอริยะ สอนนักบวชนอกศาสนา สอนฌานลาภีบุคคล หรือสอนบุคคลปุถุชนทั่วไป ตรัสสอนเป็นคำย่อ หรือเป็นคำเต็ม ถ้าเป็นคำย่อแล้ว คำเต็มว่าอย่างไร

ถ้าผู้ปฏิบัติไม่เข้าใจพระธรรมคำสั่งสอน การปฏิบัติจะให้ถูกทางนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ พาตัวเองหลงไปในคำสอนของศาสนาอื่นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว พากันไปหลบทุกข์หลังความสงบ ยิ่งถ้าเข้าใจว่าตัวเองปฏิบัติถูกแล้ว เกิดเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือเป็นทิฏฐิมานะ ก็แทบจะเรียกได้ว่าเสียชาติเกิดไปชาติหนึ่ง เป็นการบำเพียรความพอใจไม่พอใจ พากันเดินลงนรกเหมือนจับไปวางไว้ ไปด้วยความเต็มใจไม่ได้มีใครบังคับ

ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมเข้าใจคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า การปฏิบัติธรรมนั้นง่ายมาก ถ้าจับคำสอนในส่วนที่เป็นเหตุให้เกิดตรัสรู้ ที่พระองค์บอกชาวโลกทั้งหลายว่าเป็นทางสายเอกสายเดียวที่ปฏิบัติแล้วจะพาเราพ้นทุกข์ ได้ผลอย่างเร็วภายในเวลา ๗ วัน ๗ เดือน หรือ ๗ ปี เป็นอย่างช้า ก็คือ การรู้จักพิจารณาขันธ์ ๕ อินทรี ๖ ให้รู้เห็นสิ่งทั้งปวงที่กระทบสัมผัสเราในขณะปัจจุบันตามความเป็นจริงของโลกและชีวิตว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เกิดดับ เป็นเหตุปัจจัยที่มารวมตัวกันชั่วคราว ไม่มีตัวตนเป็นของตัวเอง ซึ่งต้องเข้าใจกฎธรรมชาติ ๒ กฎ คือ กฎไตรลักษณ์ และกำของเหตุปัจจัย ความจริงของกฎ ๒ กฎนี้สรุปรวมเป็นคำง่ายๆว่า ไม่เที่ยง เกิด ดับ

การปฏิบัติธรรมถูกทางนั้นสำคัญต่อชีวิตคนเรามาก ผิดพลาดไม่ได้ ถ้าผิดพลาดหลงทางไปแล้ว โอกาสที่จะกลับมาปฏิบัติถูกทางนั้นแทบจะไม่มีอีกเลยในชีวิต ขอให้ท่านทั้งหลายตระหนักในเรื่องนี้ให้มาก หากท่านหลงไปแล้ว จะเป็นการเสียเวลาไปชาติหนึ่ง ได้เพียงการหลบทุกข์ชั่วคราวเท่านั้น ชาติต่อไปไม่รู้ว่าจะได้เกิดมาพบศาสนาพุทธอีกหรือเปล่าก็ยังไม่รู้

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 12 ก.ย. 2009, 16:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 00:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


พระนครสาวัตถี ฯลฯ

ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลเมื่อรู้อย่างไร เห็นอย่างไร จึงจะละอวิชชาได้ วิชาจึงจะเกิดขึ้น

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกรภิกษุบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งจักษุ โดยความเป็นของไม่เที่ยงจึงจะละอวิชชาได้ วิชา จึงจะเกิด บุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งรูป ... จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัสสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละอวิชชาได้ วิชาจึงจะเกิดขึ้น บุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งหู จมูก ลิ้นกาย ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ มโนสัมผัส สุขเวทนาทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นของไม่เที่ยง จึงจะละอวิชชาได้ วิชาจึงจะเกิด ดูกรภิกษุ บุคคลรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงจะละอวิชชาได้ วิชาจึงจะเกิด ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งจักษุ โดยความเป็น อนัตตา สังโยชน์จึงจะถึงความเพิกถอน เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งรูป จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัส สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นอนัตตาสังโยชน์จึงจะถึงความเพิกถอน เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ธรรมารมณ์มโนวิญญาณ มโนสัมผัส สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโน สัมผัสเป็นปัจจัย โดยความเป็นอนัตตา สังโยชน์จึงจะถึงความเพิกถอน ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้แล สังโยชน์จึงจะถึงความ เพิกถอน ฯ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร