ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
พระโปฐิลเถระ - พระที่มีนามว่า "ใบลานเปล่า" - เรื่องน่าคิดสำห http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=25461 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ชาติสยาม [ 06 ก.ย. 2009, 22:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | พระโปฐิลเถระ - พระที่มีนามว่า "ใบลานเปล่า" - เรื่องน่าคิดสำห |
วันนี้ขออนุญาตนำเรื่องน่าคิดมาฝาก โดยผมได้ช่วยแปลให้พออ่านกันได้ ตามทิฐิของผม กะว่าเอาพออ่านแล้วไปได้นะครับ ไม่ได้แปลแบบวิชาการ ถือว่าอ่านเล่นๆเอาสาระสำคัญก็แล้วกัน Quote Tipitaka: เรื่องพระโปฐิลเถระ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=30&p=5 ๕. เรื่องพระโปฐิลเถระ [๒๐๘] ข้อความเบื้องต้น พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเถระนามว่าโปฐิละ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " โยคา เว " เป็นต้น. รู้มากแต่เอาตัวไม่รอด ดังได้สดับมา พระโปฐิละนั้นเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกในศาสนาของพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ บอกธรรมแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป. ช่วยแปล - ท่านเป็นนักปริยัติทรงพระไตรปิฏกมานานมาก นานจริงๆ นานขนาดว่าได้เป็นผู้ทรงพระไตรปิฏกในกาลที่มีพระพุทธเจ้ามาแล้ว ถึง 7 พระองค์ !!!! ![]() ![]() Quote Tipitaka: พระศาสดาทรงดำริว่า " ภิกษุนี้ ย่อมไม่มีแม้ความคิดว่า 'เราจักทำการสลัดออกจากทุกข์แก่ตน; เราจักยังเธอให้สังเวช." (ช่วยแปล - พระพุทธเจ้าดำริว่า พระรูปนี้ แม้ฉลาดมากเพียงใด แต่เอาตัวไม่รอด ไม่พ้นจากทุกข์ได้ จึงทรงดำริว่าจะทรงทรมานด้วยการแกล้งให้พระโปฐิละเกิดสังเวชตนเอง) Quote Tipitaka: จำเดิมแต่นั้นมา พระองค์ย่อมตรัสกะพระเถระนั้น ในเวลาที่พระเถระมาสู่ที่บำรุงของพระองค์ว่า " มาเถิด คุณใบลานเปล่า, นั่งเถิด คุณใบลานเปล่า, ไปเถิด คุณใบลานเปล่า, แม้ในเวลาที่พระเถระลุกไป ก็ตรัสว่า " คุณใบลานเปล่า ไปแล้ว." ช่วยแปล- พระโปฐิละมีชื่อของตัวเองอยู่แล้ว แต่พระพุทธเจ้าดำริว่าจะทรงทรมาน จึงเรียกท่านว่า โปฐิละ ซึ่งแปลว่าใบลานเปล่า เปรียบเทียบสมัยนี้ก็คล้ายๆว่าเป็นเหมือนกระดาษจดพระไตรปิฏก จดเรื่องราวมากมาย เช่นนิพพาน แต่ตัวกระดาษนั้นไม่สามารถจะนิพพานได้ คือรู้หมดทุกอย่าง แต่เอาตัวไม่รอด เวลาท่านโปฐิละมาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์จะเรียกท่านว่า "คุณใบลานเปล่า คุณใบลานเปล่า" จะมาจะไปอะไร พระพุทธเจ้าก็จะเรียกท่านว่า "คุณใบลานเปล่า" เสมอๆ เพื่อให้ท่านโปฐิละเกิดความสังเวชในตนขึ้นให้ได้ Quote Tipitaka: พระโปฐิละนั้นคิดว่า "เราย่อมทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกพร้อมทั้งอรรถกถา, บอกธรรมแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ถึง ๑๘ คณะใหญ่, ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศาสดายังตรัสเรียกเราเนือง ๆว่า ' คุณใบลานเปล่า ' พระศาสดาตรัสเรียกเราอย่างนี้ เพราะความไม่มีคุณวิเศษ มีฌานเป็นต้นแน่แท้" ท่านมีความสังเวชเกิดขึ้นแล้ว จึงคิดว่า "บัดนี้เราจักเข้าไปสู่ป่าแล้วทำสมณธรรม" จัดแจงบาตรและจีวรเองทีเดียว ได้ออกไปพร้อมด้วยภิกษุผู้เรียนธรรม แล้วออกไปภายหลังภิกษุทั้งหมดในเวลาใกล้รุ่ง. แล้วก็ได้ผล พระโปฐิละท่านเกิดสังเวชจริงๆ ว่าเราอุตส่าห์ทรงพระไตรปิฏก เป็นครูบาร์อาจารย์ สอนคนตั้งมากมาย พระศาสดายังตรัสเรียกว่าคุณใบลานเปล่าอยู่เนืองๆ นี่คงเป็นเพราะเราไม่มีคุณวิเศษ เช่นไม่มีฌาน เป็นแน่แท้ ก็เลยตัดสินใจเข้าป่าไปแสวงหาสิ่งนั้นให้จงได้ Quote Tipitaka: พวกภิกษุนั่งสาธยายอยู่ในบริเวณ ไม่ได้กำหนด ท่านว่า " อาจารย์." พระเถระไปสิ้นสองพันโยชน์แล้ว, เข้าไปหาภิกษุ ๓๐ รูป ผู้อยู่ในอาวาสราวป่าแห่งหนึ่ง ไหว้พระสังฆเถระแล้ว กล่าวว่า " ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของกระผม." พระสังฆเถระ. " ผู้มีอายุ ท่านเป็นพระธรรมกถึก, สิ่งอะไรชื่อว่าอันพวกเราพึงทราบได้ ก็เพราะอาศัยท่าน, เหตุไฉนท่านจึงพูดอย่างนี้ ?" พระโปฐิละ. ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงอย่าทำอย่างนี้, ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของกระผม. วิธีขจัดมานะของพระโปฐิละ ก็พระเถระเหล่านั้นทั้งหมด ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งนั้น. ลำดับนั้นพระมหาเถระ ส่งพระโปฐิละนั้นไปสู่สำนักพระอนุเถระ ด้วยคิดว่า" ภิกษุนี้มีมานะ เพราะอาศัยการเรียนแท้. " แม้พระอนุเถระนั้นก็กล่าวกะพระโปฐิละนั้น อย่างนั้นเหมือนกัน. ถึงพระเถระทั้งหมด เมื่อส่งท่านไปโดยทำนองนี้ ก็ส่งไปสู่สำนักของสามเณรผู้มีอายุ ๗ ขวบ ผู้ใหม่กว่าสามเณรทั้งหมด ซึ่งนั่งทำกรรมคือการเย็บผ้าอยู่ในที่พักกลางวัน. พระเถระทั้งหลายนำมานะของท่านออกได้ ด้วยอุบายอย่างนี้. - ท่านไปหาใครให้สอนท่าน ก็ไม่มีใครสอนท่านได้ เพราะมานะท่านมาก แม้ไปหาพระอรหันต์ พระเถระ ก็ไม่มีใครจะสามารถสอนท่านได้ จึงได้ออกอุบายให้ท่านไปเรียนกับเณรน้อย 7 ขวบ กล่าวคือ ถ้าท่านยอมแม้กระทั้งไปขอให้เณรบวชใหม่อายุ 7 ขวบสอนให้ ก็แสดงว่าท่านโปฐิละยอมลดมานะลงแล้ว อยากจะรู้จริงๆ Quote Tipitaka: พระโปฐิละนั้น มีมานะอันพระเถระทั้งหลายนำออกแล้ว จึงประคองอัญชลีในสำนักของสามเณรแล้วกล่าวว่า " ท่านสัตบุรุษ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของผม." สามเณร. "ตายจริง ท่านอาจารย์ ท่านพูดอะไรนั่น, ท่านเป็นคนแก่ เป็นพหูสูต, เหตุอะไร ๆพึงเป็นกิจอันผมควรรู้ในสำนักของท่าน พระโปฐิละ. "ท่านสัตบุรุษ ท่านอย่าทำอย่างนี้,ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของผมให้ได้." สามเณร. "ท่านขอรับ หากท่านจักเป็นผู้อดทนต่อโอวาทได้ไซร้, ผมจักเป็นที่พึ่งของท่าน." พระโปฐิละ. "ผมเป็นได้ ท่านสัตบุรุษ, เมื่อท่านกล่าวว่า ' จงเข้าไปสู่ไฟ,' ผมจักเข้าไปแม้สู่ไฟได้ทีเดียว." พระโปฐิละท่านหมดมานะจริงๆ ยอมแล้ว สิโรราบแล้ว ถึงกับกล่าวว่า ถ้าเณรสั่งให้กระโดลงไปในกองไฟ ท่านก็ยินดีจะทำตามเลยทีเดียว Quote Tipitaka: ลำดับนั้น สามเณรจึงแสดงสระๆ หนึ่งในที่ไม่ไกล แล้วกล่าวกะท่านว่า "ท่านขอรับ ท่านนุ่งห่มตามเดิมนั่นแหละ จงลงไปสู่สระนี้." จริงอยู่ สามเณรนั้น แม้รู้ความที่จีวรสองชั้นซึ่งมีราคามาก อันพระเถระนั้นนุ่งห่มแล้ว เมื่อจะทดลองว่า " พระเถระจักเป็นผู้อดทนต่อโอวาทได้หรือไม่" จึงกล่าวอย่างนั้น. แม้พระเถระก็ลงไปด้วยคำ ๆ เดียวเท่านั้น. -เณรก็ฉลาด อยากทดสอบดู จึงแกล้งทดสอบพระเถระด้วยการสั่งให้เดินลงไปในคลอง จีวรของท่านโปฐิละซึ่งเป็นพระเถระ มีราคามาก จึงแกล้งสั่งท่านให้เดินลงน้ำ เพื่อทดสอบดูว่า จะทำตามทุกอย่างจริงหรือไม่ Quote Tipitaka: ลำดับนั้น ในเวลาที่ชายจีวรเปียก สามเณรจึงกล่าวกะท่านว่า " มาเถิดท่านขอรับ" - แล้วท่านก็เดินลงน้ำในบัด now ทันที ไม่มีอิดออด เณรเห็นดังนั้นแล้ว พอชายจีวรแตะน้ำเท่านั้นแหละ ก็ห้ามท่านโปฐิละไว้ เพราะเณรได้ทดสอบแล้ว และเณรก็ไม่ใจร้ายขนาดจะให้ท่านลงคลองไปทั้งตัว Quote Tipitaka: แล้วกล่าวกะท่านผู้มายืนอยู่ด้วยคำๆ เดียวเท่านั้นว่า " ท่านผู้เจริญ ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง มีช่องอยู่ ๖ ช่อง, ในช่องเหล่านั้น เหี้ยเข้าไปภายในโดยช่อง ๆ หนึ่ง บุคคลประสงค์จะจับมัน จึงอุดช่องทั้ง ๕ นอกนี้ ทำลายช่องที่ ๖ แล้ว จึงจับเอาโดยช่องที่มันเข้าไปนั่นเอง; บรรดาทวารทั้งหก แม้ท่านจงปิดทวารทั้ง ๕ อย่างนั้นแล้ว จงเริ่มตั้งกรรมนี้ไว้ในมโนทวาร." ด้วยนัยมีประมาณเท่านี้ ความแจ่มแจ้งได้มีแก่ภิกษุผู้เป็นพหูสูต ดุจการลุกโพลงขึ้นแห่งดวงประทีปฉะนั้น. - แล้วเณรก็ให้กรรมฐานทันที คือให้ทำสมาธิจดจ่ออยู่ในแต่ที่จิตของตน แล้วท่านโปฐิละจะทราบเอง Quote Tipitaka: พระโปฐิละนั้นกล่าวว่า " ท่านสัตบุรุษ คำมีประมาณเท่านี้แหละพอละ" แล้วจึงหยั่งลงในกรชกาย๒ ปรารภสมณะธรรม. - แต่ด้วยความที่ยังมีมานะอยู่บ้าง ท่านก็บอกเณรว่า พอแล้ว พูดแค่นั้นพอ จะลงมือทำแล้ว Quote Tipitaka: พระศาสดาประทับนั่งในที่สุดประมาณ ๑๒๐ โยชน์เทียว ทอดพระเนตรดูภิกษุนั้นแล้วดำริว่า "ภิกษุนั้นเป็นผู้มีปัญญา (กว้างขวาง) ดุจแผ่นดินด้วยประการใดแล, การที่เธอตั้งตนไว้ด้วยประการนั้นนั่นแล ย่อมสมควร." แล้วทรงเปล่งพระรัศมีไป ประหนึ่งตรัสอยู่กับภิกษุนั้น - พระพุทธเจ้าก็เล็งตาทิพย์มาดูแล้วตรัสสอนกรรมฐาน ดังพระคาถาว่า Quote Tipitaka: ตรัสพระคาถานี้ว่า :- ๕. โยคา เว ชายตี ภูริ อโยคา ภูริสงฺขโย เอตํ เทฺวธา ปถํ ญตฺวา ภวาย วิภวาย จ ตถตฺตานํ นิเวเสยฺย ยถา ภูริ ปวฑฺฒติ. " ปัญญาย่อมเกิดเพราะการประกอบแล, ความสิ้นไปแห่งปัญญาเพราะการไม่ประกอบ, บัณฑิตรู้ทาง ๒ แพร่ง แห่งความเจริญและความเสื่อมนั่น แล้ว พึงตั้งตนไว้โดยประการที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้." อันนี้ บทแก้อรรถกาถา Quote Tipitaka: บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โยคา ความว่า เพราะการกระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคายในอารมณ์ ๓๘. คำว่า "ภูริ" นั่น เป็นชื่อแห่งปัญญาอันกว้างขวาง เสมอด้วยแผ่นดิน. ความพินาศ ชื่อว่า ความสิ้นไป. สองบทว่า เอตํ เทวฺธา ปถํ คือ ซึ่งการประกอบและการไม่ประกอบนั่น. บาทพระคาถาว่า ภวาย วิภวาย จ คือ แห่งความเจริญและความไม่เจริญ. บทว่า ตถตฺตานํ ความว่า บัณฑิตพึงตั้งตนไว้ โดยประการที่ปัญญา กล่าวคือภูรินี้จะเจริญขึ้นได้. Quote Tipitaka: ในกาลจบพระคาถา พระโปฐิลเถระตั้งอยู่ในพระอรหัตแล้ว ดังนี้. เรื่องพระโปฐิลเถระ จบ. เื่มื่อพระพุทธเจ้าตรัสจบ พระโปฐิละก็ "ตั้งอยู่ในพระอรหัตแล้ว" แต่จะแปลว่า"กำลังเข้าสู่กระบวนการ" สำเร็จพระอรหันต์ หรือจะแปลว่า "สำเร็จกระบวนการแล้ว" ก็ไม่ทราบได้นะ แต่เอาว่าท่านสำเร็จอรหันต์ในที่สุด |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 08 ก.ย. 2009, 02:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระโปฐิลเถระ - พระที่มีนามว่า "ใบลานเปล่า" - เรื่องน่าคิดสำห |
สาธุค่ะ...คุณน้อง ![]() ![]() ![]() "...บวชต้องมี สัพพะ ทุกขะนิสสะระณะ นิพพานัสสะ สัจฉิ กะระนัตถายะ บวชมาแล้ว ต้องรู้จักทำให้แจ้งในธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงประกาศ ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ถึงแม้ว่าไม่ถึงพระนิพพาน ก็มีความพากเพียรพยายามปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จึงจะสมศักดิ์ศรี ของผู้ที่บวชมาในพระพุทธศาสนา" ![]() ![]() ![]() (ที่มา : คัดลอกบางตอนมาจาก ศิษย์พระพุทธเจ้า ใน "รักษ์วงศ์กรรมฐาน" โดย พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย), หน้า ๑๔) |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |