ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ไม่มีทางถึงพระนิพพาน
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=25349
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ningnong [ 01 ก.ย. 2009, 01:21 ]
หัวข้อกระทู้:  ไม่มีทางถึงพระนิพพาน

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:


ไม่มีทางถึงพระนิพพาน


:b18: :b18: :b18: รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เรื่องนึกคิด ทันทีที่จิตขึ้นสู่วิถีรับรู้ทางตา จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็พร้อมจะไหลทะลักเข้า เอาอารมณ์ ความรู้สึกทั้งดีและร้ายมาหยิบยื่นให้ หากเราไม่ระวังก็หลงรับ และขึ้น-ลง ไปตามกระแสของมัน โดยเฉพาะรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งสัมผัส เรื่องนึกคิด ที่น่าปรารถนาพอใจ ชวนให้รักชักให้ใคร่พาใจให้กำหนัด มันพร้อมจะรึงรัดไว้ให้อยู่ในวังวนสังสารวัฏ กลิ่นอายความเร่าร้อนของมัน ช่างมีเสน่ห์ยั่วยวนที่ยากจะสลัดทิ้ง จนทำให้เรายินดี สยบยอมเป็นทาส ไม่ปรารถนาความเป็นไท เพลิดเพลินกับการเห็นรูปสวย ๆ ฟังเสียงเพราะ ๆ ดมกลิ่นหอม ๆ ลิ้มรสอร่อย ๆ ต้องสัมผัสอ่อนนุ่ม นึกคิดจินตนาการบรรเจิดอยู่ตลอดเวลา วิมุตติหลุดพ้นนั่นหรือวางไว้ก่อน ส่วนพระนิพพานก็ถือเป็นเพียงอุดมคติที่อยู่ไกลแสน

:b16: :b16: :b16: พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงตลอดพระชนมชีพของพระองค์ รวมถึง ๘๔.๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ได้ถูกจารึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร หลังพุทธปรินิพพานประมาณ ๔๕๐ ปี แม้พระธรรมจะถูกแสดงไว้โดยอเนกปริยาย แต่ถ้ากล่าวโดยสังเขปก็มีเพียง ๒ คือ ๑. ธรรมที่ถูกปัจจัยปรุงประกอบกันขึ้น เรียกว่า สังขตธรรม ๒. ธรรมที่ไม่ถูกปัจจัยปรุงประกอบกันขึ้น เรียกว่า อสังขตธรรม ระหว่างธรรมทั้งสองนี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงลักษณะของอสังขตธรรมไว้ว่า ความเกิดขึ้นไม่ปรากฎ ๑ ความดับไปไม่ปรากฎ ๑ เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนไปเป็นอื่นไม่ปรากฎ ๑ ซึ่งตรงกันข้ามกับสังขตธรรมอย่างสิ้นเชิง อสังขตธรรมจึงอยู่เหนือสังขตธรรม อสังขตธรรมก็คือพระนิพพานนั่นเอง พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสพระนิพพานว่ายอดยิ่ง (นิพฺพานัง ปรมัง วทนฺติ พุทฺธา)

:b6: :b6: :b6: เมื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสพระนิพพานว่ายอดยิ่ง พระนิพพานจึงถือเป็นอุดมคติสูงสุดของพระพุทธศาสนา การทำทานการกุศลใด ๆ ของพุทธศาสนิกชนจะมุ่งเข้าถึงพระนิพพาน ดังที่พากันตั้งความปรารถนาไว้ว่า “นิพฺพานปจฺจโย โหตุ.....ขอให้เป็นปัจจัยเพื่อพระนิพพานด้วยเถิด” หากพุทธศาสนิกชนมั่นอยู่ในความปรารถนานี้ ก็ตรงตามพุทธประสงค์โดยแท้ เพราะเป็นการปรารถนาวิวัฏฏะออกไปจากวังวนของการเวียนว่ายตายเกิด (สังสารวัฏ) การตั้งความปรารถนาไว้อย่างนี้ มีผลดีตรงที่ทำให้อยู่เหนือโลกธรรม ผู้ทำทานการกุศล จะไม่มัวรอคอยฟังคำสรรเสริญเยินยอ และรอรับผลตอบแทนอย่างใดอย่างหนึ่ง (วัตถุข้าวของเงินทอง) ซึ่งถือว่ามิใช่สาระสำหรับผู้มุ่งเข้าถึงพระนิพพาน

:b1: :b1: :b1: การทำทานการกุศลโดยสัมพันธ์กับพระนิพพาน ก็ไม่หมายความว่าจะเข้าถึงพระนิพพานได้ง่าย ๆ ถือว่าเพียงเป็นปัจจัยหนึ่งมาเชื่อมกับปัจจัยอื่น ๆ อีกมาก ปัจจัยสำคัญของการเข้าถึงพระนิพพานคือ โพธิปักขิยธรรม (ธรรมอยู่ในฝ่ายตรัสรู้) ผู้ปรารถนาจะเข้าถึงต้องบำเพ็ญโพธิปักขิยธรรมโดยตรง ทาน ศีล เพียงอยู่ในขั้นพื้นฐาน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธทาน ศีล ว่าจะไม่เป็นปัจจัยเชื่อมต่อ คนไม่เคยให้ทาน รักษาศีลมาก่อน จะให้มาบำเพ็ญโพธิปักขิยธรรมทันที คงเป็นไปได้ยาก มองในแง่พัฒนาการเห็นว่าต้องไต่ไปตามลำดับ ใช่จะปุบปับฉับพลันหรือลัดสั้นแต่อย่างใด

:b43: :b43: :b43: ผู้ปรารถนาเข้าถึงพระนิพพานต้องมีพฤติกรรมสัมพันธ์กับพระนิพพานจริง ๆ มีหลายท่านถือว่าพระนิพพานเป็นอุดมคติสูงสุด ตั้งความปรารถนาเอาไว้เป็นอย่างดี แต่กลับมีพฤติกรรมสวนทางกับพระนิพพาน พระนิพพานไปทางขวาแต่กลับเดินไปทางซ้าย สวนทางกันอยู่อย่างนี้ เมื่อไรจะถึงพระนิพพานสักที ในพระนิพพานนั้นไม่มีรูปสวย ๆ เสียงเพราะ ๆ กลิ่นหอม ๆ รสอร่อย ๆ สิ่งสัมผัสอ่อนนุ่ม เรื่องนึกคิดจินตนาการบรรเจิด (อนิมิตตวิโมกข์) ท่านที่ปรารถนาพระนิพพานแต่ชอบที่จะดูรูปสวย ๆ ฟังเสียงเพราะ ๆ ดมกลิ่นหอม ๆ ลิ้มรสอร่อย ๆ สัมผัสอ่อนนุ่ม นึกคิดจินตนาการบรรเจิด เกิดความเพลิดเพลินพอใจ ก็ยิ่งห่างไกลพระนิพพาน

:b21: :b21: :b21: อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องพระนิพพานกันเลยดีกว่า มาพิจารณาดูว่า ตาเห็นรูปรู้สึกอย่างไร หูฟังเสียงรู้สึกอย่างไร จมูกดมกลิ่นรู้สึกอย่างไร ลิ้นลิ้มรสรู้สึกอย่างไร กายสัมผัสจับต้องรู้สึกอย่างไร ใจนึกคิดรู้สึกอย่างไร หากยังยินดียินร้ายรู้สึกชอบเมื่อตาเห็นรูปสวยงาม ชังเมื่อตาเห็นรูปขี้ริ้วขี้เหร่ ชอบเมื่อหูได้ยินเสียงไพเราะ ชังเมื่อหูได้ยินเสียงไม่ไพเราะ ไม่เห็นสักแต่ว่าเห็น (ทิฏฺเฐ ทิฏฺฐมตฺตัง ภวิสฺสติ) ไม่ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน (สุเต สุตมตฺตัง ภวิสฺสติ) ซ้ำยังตกไปสู่กระแสอารมณ์นั้น ๆ เก็บมานึกคิดปรุงแต่งไปต่าง ๆ นา ๆ อยู่ในลักษณะเช่นนี้ก็อย่าริพูดถึงพระนิพพาน ไม่ต้องบอกถึงความปรารถนาของตน ดูเหมือนว่าไกลแต่ก็ใกล้เหลือเกิน ดูเหมือนว่าใกล้แต่ก็ห่างไกลแสน พระนิพพานมิได้อยู่ไกลจากเราเลย อยู่ใกล้ ๆ ตัวเราเสียด้วยซ้ำ เราต่างหากที่อยู่ไกลจากพระนิพพาน ไม่เคยพบพานแม้แต่น้อย เหมือนตาไม่เห็นขนตา ขณะที่มันอยู่ปลายเปลือกตาแท้ ๆ (พระนิพพานอยู่ปลายจมูกแต่ไม่เคยมองเห็น) พระนิพพานมีลักษณะสงบ (สนฺติลกฺขณัง) เป็นอมตะสถิตอยู่ในทุกแห่งสถานรายล้อมเราตลอดเวลา พร้อมเสมอที่จะโอบรับเราไปอยู่ในความสงบนั้น เพียงแต่เหตุปัจจัยแห่งโพธิปักขิยธรรมต้องถึงพร้อมบริบูรณ์ และตัวเราเองต้องหยุดความเร่าร้อน สงบเยือกเย็นลงอย่างถึงที่สุด ลักษณะสงบนั้นมิได้ล่วงอดีตและเลยไปหาอนาคต หากแต่อยู่ที่ปัจจุบัน เพียงแต่ทุก ๆ ปัจจุบันขณะ เราต้องหยุดความเร่าร้อนลง เมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายสัมผัส จิตนึกคิดทางใจ ไม่เกิดความยินดียินร้าย นี้แลเป็นเหตุปัจจัยให้เดินเข้าไปถึงความสงบเย็น อยู่ในปัจจุบันนิพพาน... ...

(คัด ย่อ จากบางส่วน พระไตรปิฏกร่วมสมัย ๓...พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์)


เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8:


:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

ไฟล์แนป:
3_1216204741.jpg
3_1216204741.jpg [ 9.16 KiB | เปิดดู 2505 ครั้ง ]

เจ้าของ:  moddam [ 01 ก.ย. 2009, 09:11 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไม่มีทางถึงพระนิพพาน

สู้ และสร้าง บารมีกันต่อครับ

จนกว่า จะไปถึง

สู้ตายครับ

cool

เจ้าของ:  ลูกโป่ง [ 01 ก.ย. 2009, 11:42 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไม่มีทางถึงพระนิพพาน

สาธุ สาธุ สาธุค่ะ

เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะคะ

ธรรมะสวัสดีค่ะ

รูปภาพ

เจ้าของ:  eragon_joe [ 20 พ.ค. 2012, 13:40 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ไม่มีทางถึงพระนิพพาน

:b8: :b20: :b20: :b8:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/