ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
การเจริญสติปัญญา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=25301 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | Supareak Mulpong [ 30 ส.ค. 2009, 05:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | การเจริญสติปัญญา |
ปัญญา หมายถึง ความรู้ที่ดับทุกข์ได้ ความรู้ที่ดับทุกข์ไม่ได้ไม่ใช่เป็นปัญญาทางธรรม เป็นเพียงความรอบรู้เท่านั้น สติ หมายถึง การระลึกได้ สติเป็นธรรมชาติอันหนึ่งที่มีเฉพาะในตัวคนเท่านั้น มีมากไม่ต้องเจริญหรือไม่ต้องสร้างมันขึ้นมาใดๆ อีกทั้งสิ้น ทุกคนมีสติอยู่แล้วมันทำหน้าที่ของมันตลอดเวลา ตั้งแต่เราตื่นขึ้นมาจนถึงหลับ คือ ทำหน้าที่ระลึก หรือลาก หรือดึงความทรงจำที่เป็นสัญญาที่เก็บอยู่แล้วในใจแล้วแต่ว่าในใจของผู้นั้นจะเก็บบวกหรือลบ หรือกุศล อกุศล ไว้ในใจมากว่ากัน อันใหนมีมากกว่า สติก็จะดึง หรือระลึก หรือลากเอาอันนั้นออกมารับการกระทบสัมผัสจากภายนอก ถ้ามีลบมาก ก็ดึงเอาลบออกมารับ ถ้ามีบวกมากก็ดึงเอาบวกออกมารับ จากนั้นก็จะมีการคิดปรุ่งแต่งต่อไป จากนั้นจะไปสู่การกระทำผลจะออกมาตามที่เหตุทำไว้เช่น มีเสียงด่ากระทบหู ถ้าใจเราเก็บเอาอกุศลไว้มาก สติก็จะระลึก หรือลากเอาอกุศลออกมารับเสียงด่า ทำให้เกิดความไม่พอใจแสดงออกมาจะอาจจะไปทำร้ายคนด่าได้ แต่ถ้าในใจเก็บข้อมูลที่เป็นกุศล (บวก) ไว้มาก สติก็จะระลึกหรือลากเอากุศลเหล่านั้นออกมารับเสียงด่า แล้วมองเห็นเสียงด่านั้นเป็นคำตักเตือนทันที มองเห็นคุณค่าของเสียงด่านั้น นี่คือหน้าที่ของสติ มันทำหน้าที่อย่างนี้ การเจริญสติที่ทำกันมานั้นไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องจะต้องเจริญความรู้ที่ดับทุกข์ได้ หรือปัญญา ให้สติลากออกมาต้อนรับการกระทบสัมผัส เพื่อแก้ไขปัญญหารือทุกข์ตั้งแต่ที่ถูกกระทบสัมผัสหรือที่ที่มันเกิด ซึ่งตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า ทุกข์เกิดที่ใหนดับที่นั่น ปัญญาในพระธรรมคำสอนของพระพทธเจ้าหมายถึงพระธรรมในส่วนที่เป็นผล ไม่ใช่ส่วนที่เห็นเหตุ คำว่าเอาปัญญาไปดับทุกข์ จะต้องรู้และเข้าใจต่อไปว่าปัญญาที่เป็นความรู้ที่ดับทุกข์ได้นั้น มีต้นตอหรือแหล่งกำเนิด หรือเหตุปัจจัยของการเกิดอยู่ที่ใหน ปัญญาเกิดได้อย่างไร ปัญญาที่เป็นความรู้ที่ดับทุกข์ได้นั้น เกิดจากความจริงที่เป็นความจริงของโลกและชีวิตเท่านั้น ความจริงๆ ที่เป็นต้นตอของปัญญา ความจริงของโลกและชีวิต คือ กฏธรรมชาติ 2 กฏ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือ กฎไตรลักษณ์ หรืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และ กฎของเหตุและปัจจัย หรือ อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุทปบาท กฎนี้แหละ เป็นต้นตอหรือแม่เหตุปัจจัยของปัญญา ปัญญาจะเกิดกับความจริงเท่านั้น อวิชชาจะเกิดจากความพอใจไพอใจ หรือความเชื่อ ความเชื่อเป็นเหตุปัจจัยหรือต้นตอของอวิชชา เมื่อเรารู้จักที่มาที่ไปของสติปัญญาแล้วจะเห็นว่า การปฏิบัติธรรมโดยการเจริญสติปัญญาโดยตรงอย่างที่มีการสอนการปฏิบัติกันในปัจจุบันนี้ไม่ถูกต้องตามธรรม ไม่ถูกเหตุถูกปัจจัย เมื่อรู้เหตุของสติปัญญาแล้ว การปฏิบัติก็จะเริ่มเจริญปัญญา ไม่ต้องเจริญสติเพราะมีอยู่แล้ว แต่คนเราขาดปัญญาจึงจำเป็นต้องเจริญปัญญามาดับทุกข์หรือแก้ปัญหา การเจริญปัญญาที่ถูกต้อง ต้องเจริญที่เหตุของการเกิดปัญญา เหตุปัจจัยของการเกิดปัญญาหรือสัมมาทิฏฐิ นั้นคือ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ตรัสไว้เป็นทางสายเอก คือ การวิปสสนาภาวนา พิจารณาขันธ์ 5 อินทรีย์ 6 ให้รู้ให้เห็นสิ่งทั้งปวงที่มากระทบสัมผัสตามตัวเรา ความเป็นจริงของโลกและสิ่งมีชีวิตว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนเป็นของตัวเอง พิจรณาให้รู้ให้เห็นตามความเป็นจริงอย่างนี้จนเป็นปกตินิสัยในชีวิตประจำวันแล้วจะมีปัญญาหรือสัมมาทิฏฐิเกิดขึ้น รู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต ดับความพอใจ (โลภ) ไม่พอใจ (โกรธ) ทันที อย่างนี้เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ปัญญาเกิดขึ้น มรรคมีองค์แปดเกิดขึ้น องค์ธรรมอื่นๆ จะเกิดมาจนครบโพธิปักขยิธรรม 37 ประการ แล้วมีปญญาดับทุกข์แก้ไขปัญญหากับตังเองได้อย่างถาวร เมื่อมีปัญญา รู้แจ้ง รู้จริง เกิดขึ้นในใจตลอดเวลาแล้ว ปัญญาจะเกิดขึ้นเข้ามาแทนที่อวิชชา เมื่อมีอะไรมากระทบสัมผัสเรา สติก็จะระลึกหรือดึงหรือลากเอาเอาความจริงที่เป็นปัญญาที่เก็บอยู่ในใจ ใจเป็นสัญญา (ความจำ) ออกมารับกระทบสัมผัส ปัญหาหรือทุกข์ก็จะถูกแก้ไขหรือดับที่มันเกิดทันที ยกตัวอย่างเช่น มีเสียงด่ามากระทบหู สติก็จะลากหรือระลึกเอาปัญญาหรือความจริงออกมารับเสียงด่าว่าไม่เที่ยง ปัญญาจะทำหน้าที่พิจารณาว่าเสียงด่าเกิดดับ คนด่าก็เกิดดับ คนถูกด่าก็เกิดดับ หรือพูดง่ายๆ ว่าคนด่าก็ตาย คนถูด่าก็ตาย เช่นกัน แล้วปัญญาจะสั่งให้ยิ้มกับคนด่าทันที เพราะความน่ามืดที่เกิดจากความพอใจไม่พอใจถูกดับไปก่อนแล้ว ถ้าเราไม่ฝึกเจริญความจริงไว้ในใจแล้วก็จะไม่มีปัญญาออกมารับเสียงด่า สติก็จะลากเอาความเชื่อที่เป็นความพอใจไม่พอใจที่เก็บเป็นอวิชชาอยู่ในใจออกมารับกระทบกับเสียงด่า ความพอใจไม่พอใจเกิดขึ้นทำให้เราควบคุมตัวเองไม่ได้ ความจริงแล้ว คำว่าสติปัญญาในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นคำตรัสย่อๆ ของพระพุทธเจ้าใช้ตรัสกับอริยบุคคล ตรัสอย่างนี้ อริยบุคคลเข้าใจได้ จะเอาคำว่าสติปัญญาไปปฏิบัติหรือเจริญโดยตรงไม่ได้ไม่ถูกธรรม วิธีปฏิบัติหรือเจริญปัญญาที่ถูกต้องนั้นต้องเอาพระธรรมที่เป็นเหตุของการได้ปัญญามาปฏิบัติก่อน จนมีปัญญาเกิดขึ้นแล้วเก็บไว้ในใจจนเป็นปกตินิสัยประจำวันแล้ว ปัญญาก็จะเข้าไปแทนอวิชชา (ความหลง) อยู่ในใจของเรา ใจเราก็เต็มไปด้วยปัญญารู้จริง รู้แจ้ง เมื่อมีอะไรมากระทบสัมผัส สติก็จะลากหรือระลึกเอาปัญญาออกมากระทบแล้วแก้ปัญญหาหรือดับทุกข์ได้ กระบวนการเจริญสติปัญญาเต็มรูปแบบตามคำสอนของพระพุทธเจ้าต้องปฏิบัติอย่างนี้ สรุป การเจริญสติปัญญาที่ถูกต้องตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ต้องปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา พิจารณาขันธ์ 5 อนทรีย์ 6 ตามทางสายเอกที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นั่นเอง |
เจ้าของ: | bbb [ 22 ต.ค. 2009, 12:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การเจริญสติปัญญา |
![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Supareak Mulpong [ 17 มี.ค. 2010, 01:09 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การเจริญสติปัญญา |
๗. ปวิฏฐเถรคาถา สุภาษิตเกี่ยวกับการเห็นเบญจขันธ์ [๒๒๔] เราเห็นเบญจขันธ์ตามความจริงได้แล้ว ทำลายภพทั้งปวงได้แล้ว ชาติสงสารสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี. |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |