ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ปรุงแต่งใจให้เป็นสุข (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต))
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=25168
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ลูกโป่ง [ 24 ส.ค. 2009, 16:15 ]
หัวข้อกระทู้:  ปรุงแต่งใจให้เป็นสุข (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต))

รูปภาพ

ใช้ความสามารถปรุงแต่งสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ภายนอก
แล้วอย่าลืมใช้ความสามารถนั้น ปรุงแต่งสร้างสรรค์ความสุขภายในด้วย
พระพุทธศาสนาเปิดเผยความจริงว่า ความสุขมีมากมาย
ความสุขมีหลายแบบ ความสุขมีหลายชั้นหลายระดับ
ทั้งความสุขภายนอกภายใน
ทั้งความสุขแบบแบ่งแยกและความสุขแบบประสาน
ทั้งความสุขที่อาศัยวัตถุและไม่อาศัยวัตถุ
ทั้งความสุขทางร่างกายและความสุขทางจิตใจ
ทั้งความสุขระดับจิตและความสุขระดับปัญญา
ทั้งความสุขแบบมัวเมาติดจม และความสุขแบบโปร่งโล่งผ่องใส

ความสุขของมนุษย์อย่างหนึ่ง
คือ ความสามารถในการปรุงแต่งสร้างสรรค์คิดค้น ซึ่งสัตว์อื่นไม่มี
การที่มนุษย์เจริญขึ้นมามีเทคโนโลยีมีสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ มากมาย
ก็เกิดจากความสามารถของมนุษย์ในการปรุงแต่งสร้างสรรค์นี่แหละ
แต่กว่าจะออกมา เป็นวัตถุปรุงแต่งสร้างสรรค์ได้
ต้นเดิมมันมาจากไหน มันก็มาจากในใจของเรา
คือ ใจที่มีสติปัญญาเริ่มด้วยใช้ปัญญาคิดปรุงแต่งข้างใน
แล้วจึงแสดงออกมาเป็นการปรุงแต่งประดิษฐ์วัตถุ
สร้างสรรค์วัตถุข้างนอกได้จนกระทั้งเป็นคอมพิวเตอร์และดาวเทียม
ก็เกิดจากความคิดในใจเป็นจุดเริ่ม

ทีนี้ความคิดของเรานี่น่ะ นอกจากปรุงแต่งสร้างสรรค์วัตถุข้างนอกแล้ว
อีกอย่างหนึ่งก็คือปรุงแต่งสุขปรุงแต่งทุกข์ข้างใน
เราไม่รู้ตัวหรอกว่าเราใช้ความสามารถนี้ตลอดเวลา
ด้วยการปรุงแต่งความสุข และปรุงแต่งความทุกข์
จริงไหมว่าที่เราทุกข์เราสุขกันนี้
ส่วนมากเป็นสุขและทุกข์ที่เราปรุงแต่งขึ้นเอง ไม่เหมือนกับสัตว์อื่น

สัตว์อื่นนั้นไม่รู้จักความทุกข์ความสุขมากเหมือนมนุษย์
มันมีความสุขความทุกข์ที่เกิดจากทางกาย
ได้กินอาหาร ได้หลับนอนพักผ่อนหรือต่อสู้หนีภัยอะไร ๆ ก็ตามประสา
แต่ความสุขความทุกข์ทางใจที่เกิดจากการคิดปรุงแต่งมันไม่มี
เราจะเห็นว่าสัตว์กลุ้มใจไม่เป็น สัตว์มันเครียดไม่เป็น
เครียดได้แต่เรื่องที่สืบเนื่องจากทางกาย ไม่เหมือนมนุษย์

มนุษย์นี้ปรุงแต่งสุขทุกข์ในใจกันมากมายพิสดารปรุงแต่ง
ทุกข์ให้กลุ้มให้กังวลให้เครียดจนกระทั้งเสียจิตไปเลย
สัตว์อื่นปรุงแต่งใจให้เป็นบ้าไม่ได้
แต่มนุษย์ปรุงแต่งจิตใจจนกระทั่งกลายเป็นบ้าไปก็มี
มนุษย์มีความสามารถนี้อยู่มากมายนัก
แต่น่าเสียดายที่มนุษย์ใช้ความสามารถนี้
ไปในการปรุงแต่งทุกข์มากกว่าปรุง แต่งสุข
มีอะไรมากระทบตากระทบหู ไม่สบายใจนิดหน่อย
ก็เก็บเอามาปรุงแต่งต่อเสียยืดยาวใหญ่โต
เวลาอยู่ว่าง ๆ แทนที่จะปรุงแต่งสุข ก็ปรุงแต่งทุกข์
เอาเรื่องที่ไม่ดีมาวาดเป็นภาพ ทำให้เกิดความรู้สึกกลุ้มใจกังวล
มีความโกรธเคียดแค้นต่าง ๆ ทำให้มีความทุกข์มากมาย
แสดงว่ามนุษย์ส่วนมากใช้ความสามารถไม่ถูกทาง
จึงเป็นโทษแก่ตนเอง ทีนี้ถ้ามนุษย์ฝึกตัวให้ใช้ความสามารถนั้นให้ถูก
เขาก็จะปรุงแต่งความสุขได้มากมายมหาศาล
ในทางพระพุทธศาสนาท่านแนะนำให้เราปรุงแต่งความสุข

ท่านสอนวิธีทำใจหรือฝึกจิตฝึกใจ และบอกวิธีใช้ปัญญามากมาย
อย่างเช่น การบำเพ็ญสมาธิต่าง ๆ ก็คือวิธีปรุงแต่งจิตใจนั่นเอง
แต่เป็นการปรุงแต่งให้เป็นสุข ในการมองโลกแม้แต่สิงเดียวกัน
ถ้าเรามองไม่เป็น ก็เป็นเรื่องร้ายเกิดทุกข์
แต่ถ้ามองเป็น ก็กลายเป็นดีเกิดสุขได้


ขอเล่าเรื่องพระท่านหนึ่งที่เป็นเพื่อนกันตอนเรียนหนังสือ
ที่ มหาจุฬาฯ ในวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์
เวลาชั่วโมงว่างไม่ได้เรียนหนังสือ
ท่านจะมองไปที่ท่าพระจันทร์ซึ่งมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาขวักไขว่จำนวนมาก
ท่านมองไปมองมาแล้วก็นั่งหัวเราะ อาตมาก็ถามว่าหัวเราะอะไร ไม่เห็นมีอะไร
ท่านบอกว่ามองไปเห็นผู้คนเดินไปเดินมา ท่าทาง
รูปร่างเครื่องแต่งกาย เสื้อผ้าสีสันต่าง ๆ กัน
คนนั้นเดินอย่างนี้ คนนี้เดินอย่างนั้น
ดูแล้วขำ ท่านก็เลยหัวเราะ นี่ก็เป็นวิธีมองโลกอย่างหนึ่ง

บางคนมองอะไรก็น่าขำไปทั้งนั้น
บางคนมองเห็นอะไรก็รู้สึกขัดหู ดูขัดตาไปทุกอย่าง
บางคนไม่มีอะไรก็นั่งกังวลไม่สบายใจ ทุกข์ไปหมด
นี้เป็นตัวอย่างง่าย ๆ ของการปรุงแต่งจิตใจ
เราตั้งท่าทีของจิตใจอย่างไรก็สร้างจิตใจให้เป็นอย่างนั้น สุข-ทุกข์ก็เกิดตามมา

ในชีวิตประจำวัน เมื่อทำงานทำการ เราก็มองโลก
เราก็มองคนที่พบเห็นมาหาไปหา
เช่นเป็นแพทย์เป็นพยาบาลก็มองคนไข้ไปด้วย
เราต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนทั่วไป กับผู้ร่วมงาน
เราจะต้องหัดมองให้เป็น อย่ามองในแง่ที่กระทบหูกระทบตา

วิธีมองให้ไม่เกิดโทษมีหลายอย่าง
อย่างน้อยก็ควรมองเห็นว่าเป็นประสบการณ์แปลก ๆ
ในวันหนึ่ง ๆ เราพบเห็นผู้มีกิริยาอาการต่างๆ มากมาย
คนนั้นลักษณะอย่างนั้น คนนี้ลักษณะอย่างนี้
เราก็มองในแง่ที่ว่า เป็นสิ่งที่ได้รู้ได้เห็น เป็นประสบการณ์ หลากหลาย
เป็นข้อมูลความรู้ อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์
เราอาจจะสบายใจหรือพอใจว่านี่เราได้รู้เห็นรู้จักโลกมากขึ้น
โลกเป็นอย่างนี้ เมื่อเราทำใจอย่างนี้
สิ่งที่พบเห็นก็ไม่กระทบหูไม่กระทบตา ไม่กระทบใจ เราก็สบายใจ
แต่ไม่แค่นั้น ยังดีกว่านั้นอีกคือเราได้ความรู้ด้วย


ที่มา...คัดตัดตอนมาจากหนังสือ "ทำอย่างไรจะให้งานประสานกับความสุข"
โดย พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยุตโต)

เจ้าของ:  ตรงประเด็น [ 24 ส.ค. 2009, 16:22 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปรุงแต่งใจให้เป็นสุข (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต))

:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  bbb [ 22 ต.ค. 2009, 12:12 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ปรุงแต่งใจให้เป็นสุข (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต))

:b8: :b8: :b8:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/