ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ธรรมะสอนศิลปการใช้ชีวิต
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=25046
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ningnong [ 20 ส.ค. 2009, 10:48 ]
หัวข้อกระทู้:  ธรรมะสอนศิลปการใช้ชีวิต

:b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41:

cool


ชีวิตของคนเราล้วนมีปัญหาเกิดขึ้นและต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไขเรื่องที่คาใจนั้นให้ได้อยู่ตลอดเวลา อาจเป็นปัญหาที่เล็กน้อย กระทั่งเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้น แต่เราผู้เกี่ยวข้องกับปัญหาก็ควรรู้จักเกี่ยวข้องอย่างผู้รู้จักปล่อยวางและเข้าใจ แม้จะไม่สามารถละวางได้ทั้งหมดก็ตาม แต่ก็ควรรู้จักวางใจให้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความรู้เท่าทัน แล้วปัญหาที่มีอยู่ย่อมมีทางคลี่คลายลงได้ในสักวัน

การสอนให้ผู้อื่นให้ทำตาม ไม่ควรสอนในขณะที่ตัวเองมีความโกรธและเต็มไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แต่ควรสอนในขณะที่สติปัญญามีอยู่อย่างบริบูรณ์ และควรสอนด้วยความปรารถนาดีที่มาจากใจ เพราะหากสอนโดยการใช้อารมณ์ ผู้ถูกสอนจะไม่จำคำสอนที่ถูกว่ากล่าวตักเตือน แต่เขาจะจดจำใบหน้าที่ดุร้ายและกิริยาที่แสดงความเกรี้ยวกราดของผู้สอน นั่นถือว่าเป็นความทรงจำที่เลวร้ายของผู้ถูกสอนตราบนานเท่านาน

คำพูดที่คนเราเปล่งออกมาแต่ละครั้ง ถือว่าเป็นพลังงานของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ภาวะใหม่เสมอ อาจเป็นไปในทางที่ดีหรือเลวร้ายก็อยู่ที่เราผู้ออกคำสั่งเป็นหลัก ด้วยเหตุที่คำพูดล้วนมาจากใจเป็นผู้กรองข้อมูลของถ้อยคำ ปราชญ์จึงเตือนให้รู้จักคิดเสียก่อนแล้วจึงค่อยพูด เพราะเมื่อเปล่งวาจาออกไปแล้ว นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่เราไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรก็ตามมา สุนทรภู่ กวีเอกแห่งแผ่นดินสยามจึงกล่าวให้ข้อคิดเกี่ยวกับการพูดไว้ว่า

“ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้พูดชั่วตัวตายทำลายมิตร
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา”


การค้นพบว่าตัวเองชอบอะไรนั้นชื่อว่าเป็นคุณค่าอย่างหนึ่งของการได้เกิดมา แต่การค้นพบความเป็นอิสระที่มีอยู่ในตัวเองแล้วนำไปสู่การดำรงชีวิตอยู่ด้วยความสงบมีค่ายิ่งกว่า เพราะทำให้เรารู้จักจัดระเบียบชีวิตของตัวเองได้ง่ายขึ้น แม้ว่าจะไม่ยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของคนอื่น แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ตัวเราค้นพบความสุขที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งถือว่าเป็นความสุขที่เรียบง่ายแต่งดงามในความทรงจำของการได้ชีวิตมา คนที่ไม่รู้จักการดำเนินชีวิตอย่างผู้มีปัญญา ชื่อว่าเป็นชีวิตที่มืดบอดจากความดีงามทั้งหลาย เพราะเมื่อสติปัญญาถูกปิดบัง การเห็นสิ่งต่างๆย่อมกลับกลายเป็นความพร่ามัวไปในที่สุด แม้นว่าเราจะชื่อว่ามีตาที่มองเห็น แต่หากไร้ปัญญาในการทำความเข้าใจ เราก็เป็นได้แค่คนตาดีที่ไม่สามารถแสวงหาความดีงามมาประดับชีวิตได้เช่นเคย

โปรดทำความเข้าใจไว้เสมอว่า ไม่มีอะไรที่เราไม่รู้เสียเลย และก็ไม่มีอะไรที่เรารู้ไปเสียทุกอย่าง ถ้าเราทำความเข้าใจอย่างนี้อยู่เสมอ เราจะรู้ว่า ควรจะปัดปัญหาที่เปรียบเสมือนเส้นผมที่บังตาไม่ให้เราเห็นภูเขา คือ ความจริงที่อยู่เบื้องหน้าได้อย่างไร

บางครั้งปัญหาของชีวิตก็เกิดจากเรื่องเล็กๆที่เราไม่เคยมอง กระทั่งก่อตัวเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นในเวลาต่อมา เศษผงเล็กๆที่เข้าตาคนอื่น เรามักจะช่วยเอาออกจากตาของเขาได้ แต่เมื่อปัญหาอันเปรียบเหมือนเป็นผงเล็กๆที่เข้าตาตัวเอง เรากลับมีความรู้สึกว่ามันช่างยากลำบากที่จะทำให้ออกไปจากตาได้ ดังนั้น เราจึงไม่ควรมองข้ามปัญหาเล็กๆที่อยู่ใกล้ชิด แต่ควรรู้จักมองปัญหาที่ใกล้ตัวด้วยใจที่มีวิจารณญาณ เพื่อไม่ให้สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ยิ่งในโอกาสต่อไป

การปรับทัศนคติของชีวิตถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากรู้จักปรับความเห็นในมุมที่เป็นบวก เราย่อมรู้จักที่จะคัดเลือกสิ่งดีให้กับตัวเอง แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายก็ตาม แต่หากมีทัศนคติที่ติดลบ มองโลกแต่แง่ร้ายในฝ่ายเดียว เราย่อมเหมือนคนที่อยู่ในมุมที่คับแคบ ย่อมก่อให้เกิดความอึดอัดขัดเคือง แม้จะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นมากมาย แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ เพราะเรามองว่าทุกอย่างเป็นเรื่องเลวร้ายไปเสียหมด อนาคตที่ควรจะถูกต่อยอดเป็นความดีงามจึงยุติบทบาทลงในทันที

บางครั้งการพ่ายแพ้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ชีวิตรู้สึกแย่เสมอไป เพราะหากเคยได้รับแต่ชัยชนะเพียงอย่างเดียว เราย่อมไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกอีกด้านหนึ่งที่เป็นความผิดหวัง ด้วยเหตุที่ไม่เคยแพ้ เมื่อวันหนึ่งความผิดหวังเข้ามาเยือน ย่อมทำให้เราระทมตรมตรอมจากภาวะที่พ่ายแพ้นั้น แต่หากเรียนรู้ที่จะแพ้บ้างในบางโอกาสที่เหมาะสมเพื่อยอมรับที่จะแก้ไขสิ่งที่บกพร่องให้ดีขึ้น เมื่อชัยชนะใหม่มาครอบครอง เราย่อมรู้จักรสชาติชองความสมหวังอย่างรู้คุณ

การที่เราผิดพลาดแล้วได้รับการให้อภัยจากผู้อื่น ถือว่าเป็นความโชคดีอย่างมากของชีวิต เพราะเป็นการได้รับโอกาสที่จะแก้ไขสิ่งบกพร่องให้ดีขึ้น ขณะเดียวกัน เราก็ควรรู้จักที่จะพัฒนาตนเองให้ดีกว่าเดิม มิใช่ยินดีกับการได้รับการให้อภัยแล้วหยุดเรียนรู้ที่จะแก้ไข เพราะเมื่อวันหนึ่งที่ไม่มีใครเห็นใจ เราจะเดียวดายจากคนรอบข้างที่เคยเห็นคุณค่าในตัวเรา เพราะเราเป็นผู้ผลักไสให้เขามองเราว่าเป็นคนไร้ค่าด้วยตัวของเราเอง

(จาก ...ธรรมะสอนศิลปะการใช้ชีวิต : พระมหาวีระพันธ์ ชุติปัญโญ)
smiley


เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8:


:b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41:

ไฟล์แนป:
612.jpg
612.jpg [ 24.59 KiB | เปิดดู 4473 ครั้ง ]

เจ้าของ:  น้องนุ่น [ 20 ส.ค. 2009, 19:58 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ธรรมะสอนศิลปการใช้ชีวิต

ขอบคุณจร้า

อนุโมทนาสาธุด้วยนะคร้า


:b8: :b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  damjao [ 23 ส.ค. 2009, 16:28 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ธรรมะสอนศิลปการใช้ชีวิต

อัพพะยา ปัชฌัง สุขัง โลเก
การไม่เบียดเบียนกันเป็นความสุขในโลก


การไม่เบียดเบียนกันก็ต้องมีความรัก มีความเมตตากัน
ความรักที่เป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิตประจำวัน
เราควรรักอะไร..? เราควรรักพระพุทธเจ้า รักพระธรรม รักพระสงฆ์
เอาธรรมะมาเป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
เหมือนเรามีประทีปส่องทาง ทำให้เราเดินไม่ผิดทาง
ทำให้ก้าวหน้า ชีวิตไม่ตกตำ

ขอกราบอนุโมทนาบุญ สาธุ....... tongue

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/