วันเวลาปัจจุบัน 21 มิ.ย. 2025, 19:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2009, 14:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


ถาม – ทราบว่าเคยมีผู้ถวายประทีบแล้วอธิษฐานขอให้มีปัญญา ชาติต่อมาก็ได้มีปัญญาสมใจ แต่ก็มีผู้ถวายมีดโกนแล้วขอให้มีปัญญา ชาติต่อมาก็ได้มีปัญญาสมใจเช่นกันอีก ที่สงสัยคือตกลงถ้าอยากมีปัญญามากควรถวายอะไรกันแน่?

ของถวายเป็นแค่ตัวตั้งครับ ถวายอะไรจิตก็จับสิ่งนั้นเป็นเครื่องหมายของบุญ ทีนี้ประสงค์ให้บุญบันดาลผลอันใด ผลอันนั้นก็จะปรากฏตามคำอธิษฐาน ส่วนจะช้าหรือเร็ว จะมีคุณสมบัติหรือคุณภาพเพียงใดก็ต้องว่ากันเป็นกรณีไปบุญเป็นสิ่งที่มีพลังในตัวเอง พอเทียบเคียงได้กับความร้อน เราใช้ความร้อนทำอะไรได้หลายอย่างตามประสงค์ ไม่จำกัดเฉพาะว่าจะต้องเอามาต้มน้ำ เอามาทำให้เสื้อผ้าแห้ง หรือเอามาทำให้อาหารสุก คุณเล็งความร้อนไปที่วัตถุชิ้นไหน วัตถุชิ้นนั้นก็ร้อนขึ้นตามต้องการถ้าหากคุณทำบุญเป็นข้าวของเครื่องใช้ ตั้งต้นด้วยความปรารถนาดี อยากให้ผู้รับได้ใช้ประโยชน์จากของชิ้นนั้นๆ ผลโดยตรงคือจะทำให้เป็นผู้มีรสนิยมดี เกิดชาติหน้าวิบากกรรมจะจัดสรรให้เป็นผู้มีสิทธิ์เกิดในบ้านคนรวย และในชาตินี้เองถ้าทำทานด้วยเจตนาเดิมนี้เป็นประจำ ก็อาจปรับฐานะให้ดีขึ้นพอสบายสมควรแก่อัตภาพได้ (แต่จะไม่ให้ผลใหญ่เท่าตอนล้างไพ่เกิดชาติใหม่) นอกจากนี้ยังมีอานิสงส์เป็นการลดละความละโมบโลภมาก จิตใจเยือกเย็นลง ได้ความสบายทางใจในปัจจุบันอีกโสดแต่หากคุณทำบุญเป็นข้าวของเครื่องใช้ชิ้นเดียวกันกับข้างต้น มีความยินดีในการให้เปล่า มีความยินดีที่มีผู้ใช้ของของคุณแล้ว และแถมด้วยการอธิษฐานหวังผลในทางใดทางหนึ่ง ผลของทานก็จะแคบลงมา กล่าวคือไม่ได้ให้ผลแบบเหวี่ยงแหกว้างๆ ทว่าเล็งตรงจำเพาะเจาะจงตามปรารถนา ซึ่งถ้าหากอธิษฐานซ้ำๆจนสั่งสมกำลังบุญมากพอ ก็อาจเกิดผลที่สมน้ำสมเนื้อใน ๓ วันหรือ ๓ ปีได้ ไม่ต้องรอชาติหน้า


กลับมาพูดถึงเรื่องของการทำบุญหวังความมีปัญญา ก่อนอื่นต้องมองว่าปัญญาเป็นสมบัติติดตัว เป็นนามธรรม เป็นคุณภาพของจิตอย่างหนึ่ง ซึ่งโดยรวมแล้วเป็นสิ่งที่ไม่ต้องรอองค์ประกอบมากมายเหมือนข้าวของเงินทองภายนอกที่เป็นรูปธรรม เพราะตามธรรมชาติของจิตนั้น ขอเพียงหนักไปในทางกุศลสว่าง ขจัดม่านหมอกความหลงผิด สามารถเห็นอะไรตามจริง ก็เริ่มเกิดปัญญาได้ทันทีแล้วฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจ หากทำบุญอย่างสม่ำเสมอแล้วอธิษฐานขอให้สติปัญญาดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ก็มักได้ผลกันในเวลาไม่เนิ่นช้าเกินรอเหมือนอย่างอธิษฐานขอเงินทองคราวนี้มาดูในคำถาม เกี่ยวกับวัตถุบุญอันเป็นที่ตั้งของการอธิษฐานขอมีปัญญาดี ผมขอแจกแจงรายละเอียดดังนี้
๑) การถวายโคมไฟประดับโบสถ์หรือปักตามทางเดินในวัดให้สว่างไสวเห็นทั่ว กำจัดจุดอันตรายอันเกิดจากสัตว์ที่แฝงอยู่ในความมืดนั้น เมื่อทำสำเร็จแล้ว เกิดความยินดีแล้วว่าโบสถ์หรือทางเดินวัดสว่างไสวด้วยทานของคุณ จิตจะจับความสว่างเป็นที่ตั้งของบุญ ดังนั้นเมื่ออธิษฐานขอให้ได้เป็นผู้มีปัญญาสว่างไสวเช่นนั้น ก็ย่อมสัมฤทธิ์ผลตามปรารถนา มีปัญญาอันสว่างแจ้งเมื่อถวายทานด้วยไฟเป็นประจำ ทำมาก ทำด้วยความเข้าใจ ทำด้วยความยินดีว่าวัดจะสว่างเพราะทานของคุณ กระทั่งถึงจุดที่กำลังบุญใหม่เหนือระดับบุญเก่าทางปัญญา ปัญญาของคุณจะดีขึ้นผิดหูผิดตา เมื่อต้องคิดอ่านแก้ปัญหา จิตจะมีลักษณะของความสว่างแจ้ง ผุดความเข้าใจกระจ่างขณะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ชวนให้คนอื่นรู้สึกมืดมนแปดด้านการทำบุญในลักษณะนี้ขอแนะนำสำหรับผู้รู้สึกตัวว่ามีปัญญาทึบ คือพอจะต้องแก้ปัญหาอะไรแล้วมืดแปดด้านไปหมด หรือคลำหาจุดเริ่มต้นของทางออกไม่ค่อยเจอ หากทำบุญลักษณะนี้ไปตลอดชีวิต เกิดชาติใหม่ปัญญาจะเรืองรอง คือรู้แจ้งได้ไม่ติดขัด ไม่มีปัญหาอันเป็นมุมมืด หรือยากจะมีจุดอับที่จิตส่องสว่างเข้าไปไม่ถึง นอกจากนั้น ผลของปัญญาที่เกิดจากบุญประเภทนี้มักเป็นไปในทางนุ่มนวล ประนีประนอม ไม่ชอบใช้วิธีแก้ปัญหาแบบหักด้ามพร้าด้วยเข่าอีกด้วย
๒) การถวายมีดโกนเพื่อให้พระโกนศีรษะปลงผม คิดเกื้อกูลให้พวกท่านโกนหนวดเคราอันเป็นสภาพรกเรื้อดูไม่สบายตา เมื่อเกิดความยินดีว่าพระภิกษุสงฆ์จะได้กำจัดความรุงรังทางกายออกจนเกลี้ยงเกลาโดยง่ายด้วยมีดโกนอันคมกริบของคุณแล้ว จิตจะจับความคมกริบของใบมีดเป็นที่ตั้งของบุญ ดังนั้นเมื่ออธิษฐานขอให้ได้เป็นผู้มีปัญญาคมกล้าเช่นนั้น ก็ย่อมสัมฤทธิ์ผลตามปรารถนา มีปัญญาอันคมกล้าเมื่อถวายทานด้วยมีดโกนเป็นประจำ ทำมาก ทำด้วยความเข้าใจ ทำด้วยความยินดีว่าพระท่านจะมีรูปศีรษะเกลี้ยงเกลาตามพระวินัยเพราะทานของคุณ กระทั่งถึงจุดที่กำลังบุญใหม่เหนือระดับบุญเก่าทางปัญญา ปัญญาของคุณจะดีขึ้นผิดหูผิดตา พอต้องคิดแก้ปัญหา จิตจะมีลักษณะของสติสัมปชัญญะคมชัด จับจุดปัญหาได้เร็ว เพ่งเล็งเห็นเป้าที่ต้องตีให้แตกได้ชัดถนัด และสามารถฝ่าฟันปัญหาได้หลายชั้นไม่ติดขัด ขบปัญหาได้แตกเป็นเปลาะๆแบบฉับพลัน หรืออย่างน้อยก็ไม่เนิ่นช้าจนสายเกินการณ์การทำบุญในลักษณะนี้ขอแนะนำสำหรับผู้รู้สึกตัวว่ามีปัญญาทื่อ คือรู้ตัวว่าเฉื่อย ใช้สมองกัดปัญหาไม่ได้ลึก เห็นปัญหาทั้งหลายเป็นของยากเย็นแสนเข็ญไปหมด หากทำบุญลักษณะนี้ไปตลอดชีวิต เกิดชาติใหม่ปัญญาจะคมเหมือนดาบซามูไร คือฟันปัญหาฉับๆขาดเป็นท่อนๆไม่ติดขัด ไม่มีกำแพงปัญหาใดแข็งเกินคมปัญญาของคุณทะลวงผ่าน อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงของปัญญาที่เกิดจากบุญประเภทนี้มักเป็นไปในทางแข็งกระด้าง เทียบแล้วมีแนวโน้มว่าอัตตาจะแรงกว่าปัญญาประเภทแรก และธรรมดาผู้เกิดมาพร้อมปัญญาคมกล้ามักบ้าบิ่น ทะนงว่าไอคิวสูง ชอบข่มชาวบ้านด้วยความฉลาดพลิกแพลงแห่งตน ตรงนี้ก็สามารถทำบุญเพิ่มเติมเพื่อแก้เคล็ด โดยขออาสาพระขัดห้องน้ำห้องท่าในวัด แล้วอธิษฐานให้ตนเป็นผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตัว ไม่ดูถูกดูหมิ่นใครเพราะทะนงในปัญญาอันคมกล้า นี่ก็จะเป็นบุญที่คานกันพอดีไม่ให้เหลิงได้

จิตนั้นมีความวิจิตรพิสดารนัก ทำบุญอะไรแล้วอธิษฐานก็จะได้ผลตามทิศทางนั้นๆมากบ้างน้อยบ้างเสมอ คุณจะคิดปรุงแต่งบุญให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างไรก็ได้ เช่นซื้ออาหารอร่อยๆไปให้พ่อแม่หรือผู้ทรงศีลสัตย์กิน เมื่อเห็นถูกปากพวกท่าน จนคุณเกิดความปลื้มใจในทานของตนดีแล้ว ก็อาจอธิษฐานขอให้มีปัญญาขบคิดปัญหาได้อย่างเอร็ดอร่อย อันนี้ผลอาจได้เป็นผู้เพลินคิดแก้ปัญหา จำพวกเล่นหมากรุกได้นานๆ ยิ่งคิดยิ่งมัน ยิ่งคันสมอง ยิ่งแตกแขนง ใช้สมองได้ไม่รู้เบื่อ เป็นต้นในแง่ของการทำทานด้วยวัตถุเพื่อหวังปัญญา คงไม่มีอะไรเกินถวายหนังสือธรรมะ สร้างห้องสมุดให้วัด แต่จิตคุณต้องจับอยู่ที่เนื้อหาในหนังสือจนปลื้มจริงๆ พูดง่ายๆคือคุณต้องอ่านก่อน ได้ประโยชน์ก่อน แล้วจึงคิดบริจาค แต่ละคนจะเข้าใจธรรมะไม่เหมือนกัน นับถือแนวคำสอนของพระหรือครูบาอาจารย์ต่างกัน ขอให้เลือกตามที่คุณมีจิตแช่มชื่น และให้แน่ใจว่าหนังสือนั้นนำไปสู่ความเข้าใจที่ถูกที่ตรงจริงๆเถิด (หากไม่แน่ใจ ถวายพระไตรปิฎกฉบับของท่านอาจารย์สุชีพ จะประกันความปลอดภัยสูงสุด หนังสือธรรมะนั้น ถ้าปลื้มผิดๆแล้วเอาไปถวายพระ จะชักนำให้คุณติดอยู่ในแนวทางผิดๆแบบนั้นลึกเกินกว่าจะคะเนถูก)

ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ความจริงแล้ว คือการทำบุญซึ่งไม่ใช่เหตุแห่งปัญญาโดยตรง เมื่อไม่ใช่เหตุโดยตรงย่อมไม่ให้ผลสม่ำเสมอ ไม่ให้ผลกว้างใหญ่ไพศาลสมบูรณ์แบบ ทางที่ดีขอให้เผื่อทางเลือกสุดท้ายตามคำแนะนำของพระพุทธเจ้าเอาไว้ด้วยพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม จะได้ชื่อว่าสร้างเหตุแห่งการเป็นผู้มีปัญญามาก ก็เมื่อเข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วสอบถามว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ อะไรที่ทำแล้วเป็นโทษ หรือเป็นไปเพื่อต้องทนทุกข์จนสิ้นกาลนาน อะไรที่ทำแล้วเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล หรือเป็นไปเพื่อความสุขจนสิ้นกาลนานเมื่อไถ่ถามหรือใฝ่รู้อยู่โดยอาการอย่างนี้ ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดถามในสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุด เมื่อเผชิญกับปัญหาให้ขบคิด จิตจะมีลักษณะตื่นรู้ตามจริง ทั้งสว่างไสวและคมกริบ เมื่อค้นคิดจะพยายามตัดตรงเข้าสู่แก่นของปัญหาไม่เนิ่นช้า ใช้ใจชั่งตวงวัดเอาได้ว่าทางแก้ไหนมีน้ำหนักผลดีผลเสียมากกว่ากัน นอกจากนั้นยังมีปัญญามากอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่ผลุบๆโผล่ๆเอาแน่ไม่ได้เหมือนคนทั่วไปนอกจากนั้น สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการรอผลยาวไกลถึงชาติหน้า พระพุทธองค์ยังตรัสเหตุที่จะก่อให้เกิดผลเป็นปัญญาในปัจจุบัน คือการพยายามตั้งสติระลึกรู้ความเป็นไปต่างๆในร่างกายอยู่เสมอๆ นับตั้งแต่ดูว่าลมหายใจกำลังเข้าหรือออก กำลังยาวหรือว่าสั้น ดูไปๆจนกระทั่งเห็นชัดล่วงเข้าไปถึงกิริยาท่าทางต่างๆ ว่ากำลังนั่งเดินยืนนอนด้วยลักษณะอย่างไร และในแต่ละขณะรู้สึกเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ สงบหรือฟุ้งซ่าน ดูเป็นตอนๆไปเรื่อยๆโดยไม่ปล่อยให้จิตเสียกำลังสติไปในเรื่องฟุ้งซ่านมั่วซั่วทั้งหลาย ในที่สุดก็จะเกิดปัญญาชนิดพิเศษ เห็นแจ้งว่ากายไม่น่ายึดมั่นถือมั่นผู้ฝึกสติดังกล่าวนี้ เมื่อเผชิญปัญหา จิตจะมีลักษณะของการรู้แจ้งแทงตลอด ประกอบด้วยกำลังสติสัมปชัญญะเกินสามัญมนุษย์ คือถึงขั้นแก้ปัญหาได้ด้วยญาณหยั่งรู้ลึกซึ้ง ผิดแผกแตกต่างจากธรรมชาติของการคิดนึกธรรมดา คนอื่นใช้เวลาเป็นชั่วโมง ผู้ทรงสติสัมปชัญญะตามแนวทางพระพุทธเจ้าอาจใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวก็ได้คำตอบออกมาแล้วอันที่จริงการฝึกฝนให้เกิดปัญญานั้น จะอาศัยกลวิธีแบบโลกๆก็ได้ ไม่ใช่ว่าจะต้องประกอบการอันเป็นบุญกุศลในขอบเขตของพุทธศาสนาอย่างเดียว เพียงแต่ความฉลาดหรือไอคิวที่เกิดขึ้นโดยปราศจากบุญในพุทธศาสนารองรับนั้น ไม่มีอะไรเป็นประกันว่าส่งขึ้นฟ้าหรือผลักลงเหว โน้มเอียงไปก่อกรรมทำชั่วหรือสร้างคุณประโยชน์ให้แก่โลก เอาความมีใจบุญเป็นฐานหล่อเลี้ยงความฉลาดนั่นแหละครับ จะได้ชื่อว่าฉลาดอย่างประเสริฐสุดแล้ว



http://www.agalico.com/board/images/smi ... are034.htm
(http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare034.htm)

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2009, 17:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


สาธุ สาธุ สาธุค่ะ...คุณ Bwitch

ธรรมะสวัสดีค่ะ

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2009, 18:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2008, 09:18
โพสต์: 635

อายุ: 0
ที่อยู่: กองทุกข์

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอบคุณมากครับ สาธุ... :b8:

.....................................................
"ผู้ที่ฝึกจิต ย่อมนำความสุขมาให้"
คิดเท่าไหรก็ไม่รู้ หยุดคิดจึงจะรู้

http://www.luangta.com
รูปภาพ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร