ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ยอดสุขในพระพุทธศาสนา โดยท่านปัญญานันทภิกขุ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=23578 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | damjao [ 08 ก.ค. 2009, 05:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | ยอดสุขในพระพุทธศาสนา โดยท่านปัญญานันทภิกขุ |
ถ้าเราอยู่ด้วยสติ ด้วยปัญญา พิจารณาสิ่งทั้งหลายให้ถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริงแล้ว ท่านก็จะเป็นสุขของท่านเอง แม้จะไม่มีใครให้พรให้ท่านเป็นสุข ท่านก็จะเป็นสุข แม้ใครจะแช่งท่านให้เป็นทุกข์ ท่านก็จะไม่ทุกข์ เพราะท่านไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆที่เกิดขึ้น ท่านมองเห็นสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริงว่า เป็นของว่างเปล่า ไม่มีอะไรที่ควรจะยึดถือไว้ ว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นเขา นั่นแหละคือสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เป็น "ยอดสุขในทางพระพุทธศาสนา" ![]() ![]() |
เจ้าของ: | rawisada [ 08 ก.ค. 2009, 10:54 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ยอดสุขในพระพุทธศาสนา โดยท่านปัญญานันทภิกขุ |
ขอบคุณค่ะได้รับประโยชน์มากมายจริงๆ ![]() ![]() ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | อมิตาพุทธ [ 09 ก.ค. 2009, 00:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ยอดสุขในพระพุทธศาสนา โดยท่านปัญญานันทภิกขุ |
สาธุ ![]() |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 09 ก.ค. 2009, 00:57 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ยอดสุขในพระพุทธศาสนา โดยท่านปัญญานันทภิกขุ |
damjao เขียน: ถ้าเราอยู่ด้วยสติ ด้วยปัญญา พิจารณาสิ่งทั้งหลายให้ถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริงแล้ว ท่านก็จะเป็นสุขของท่านเอง แม้จะไม่มีใครให้พรให้ท่านเป็นสุข ท่านก็จะเป็นสุข แม้ใครจะแช่งท่านให้เป็นทุกข์ ท่านก็จะไม่ทุกข์ เพราะท่านไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆที่เกิดขึ้น ท่านมองเห็นสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริงว่า เป็นของว่างเปล่า ไม่มีอะไรที่ควรจะยึดถือไว้ ว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นเขา นั่นแหละคือสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เป็น "ยอดสุขในทางพระพุทธศาสนา" ![]() ![]() ขออนุโมทนาครับ มีคำถามนิดว่า..ที่มองสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงว่าเป็นของว่างเปล่า ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ของเรา อยากรู้ว่า..จนถึง หรือมีอาการอย่างไร จึงรู้ว่า เห็นจริงแล้ว ครับ |
เจ้าของ: | damjao [ 09 ก.ค. 2009, 04:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ยอดสุขในพระพุทธศาสนา โดยท่านปัญญานันทภิกขุ |
การมองตามความเป็นจริง ก็คือ การมองตามพุทธพจน์ ที่ว่า... ภิกษุทั้งหลาย รูป...เวทนา... สัญญา...สังขาร...วิญญาณ เป็นอนัตตา 1.สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง............ 2.สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์........... 3.ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา.............. 1 หลักอนิจจตา แสดงความไม่เที่ยง ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของสิ่งทั้งหลาย 2.หลักทุกขตา ทุกข์ที่เป็นธรรมดาของสังขาร 3.หลักอนัตตตา การรู้สิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็นอย่างแท้จริง เพราะสิ่งทั้งหลายไม่มีตัวตน ![]() |
เจ้าของ: | ไหว้พระปล่อยปลา [ 09 ก.ค. 2009, 12:20 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ยอดสุขในพระพุทธศาสนา โดยท่านปัญญานันทภิกขุ | ||
โลกธรรม 8 (worldly conditions) โลกธรรม คือ ธรรมดาของโลก, เรื่องของโลก, ธรรมที่ครอบงำโลก หรือธรรมที่มีประจำโลก หมายถึง ธรรมที่ครอบงำสัตว์โลกและสัตว์โลกต้องเป็นไปตามธรรมนี้ หรือทุกคนในโลกนี้ย่อมถูกโลกธรรมนี้กระทบทั้งนั้น ไม่มีใครพ้นไปได้เลย ยกเว้นพระอรหันต์ผู้อยู่เหนือโลกเท่านั้น โลกธรรมมี 8 ประการแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายแรกฝ่ายที่น่าปรารถนาและพึงพอใจ (อิฏฐารมณ์) และฝ่ายที่ไม่น่าปรารถนา ที่ 1 ได้ลาภ เสื่อมลาภ ลาภ หมายถึง การให้มาซึ่งสิ่งที่พึงพอใจ เช่น เงินทอง สิ่งของ บุคคล เป็นต้น เมื่อได้มาแล้วยังมีทุกข์ติดตามแอบแฝง ซ่อนเร้นมากับลาภนั้นอีก บางคนต้องเสียชีวิตเพราะมีลาภและป้องกันลาภ ครั้นเมื่อสิ่งที่ได้มาแล้วมีอันต้องวิบัติสูญหายไปหรือถูกแย่งชิงไป เช่น เสียเงินเสียทอง เสียที่อยู่อาศัย เสียสิ่งที่รักที่หวงแหน หรือสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เรียกว่าเสื่อมลาภ จิตใจก็เป็นทุกข์ ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องโลกธรรมตามความเป็นจริง ย่อมมีพฤติกรรมเกี่ยวกับลาภในทางที่ผิด เช่น มุ่งแสวงหาในทางทุจริต เกิดความโลภหรือความต้องการไม่มีสิ้นสุด จึงก่อให้เกิดการกระทำที่ไม่ดีไม่ถูกต้องเพื่อให้ได้มาซึ่งลาภที่ตนต้องการ และหากสูญหายไปก็เกิดความเศร้าโศกเสียใจ เป็นทุกข์จนเกินเหตุ หากเข้าใจก็พึงแสวงหามาได้ตามกำลังความสามารถและสติปัญญาของตน ไม่โลภมาก หากสูญหายไปก็ถือว่าเป็นธรรมดาของสรรพสิ่งทั้งหลายย่อมเสื่อมสลายไปในที่สุด ทำให้เกิดความสบายใจ เข้าใจกฎของธรรมชาติในข้อนี้ ดุจดังสังขารในขันธ์ 5 ที่ปรุงแต่งขึ้นมา ย่อมเสื่อมสลายไปในที่สุด คู่ที่ 2 ได้ยศ เสื่อมยศ ยศ แปลว่า ความยิ่ง ความเด่น ซึ่งหมายถึง ความยิ่งของคน ความเด่นของคน ยิ่งด้วยความเป็นใหญ่ เรียกอิสริยยศ ยิ่งด้วยชื่อเสียงคุณความดี เรียก เกียรติยศ ยิ่งด้วยบริวาร พวกพ้อง เรียกบริวารยศ ทั้ง 3 ยศ หากมีความกระหายต้องการให้ได้ได้ยศมา ก็เกิดความวิตกกังวล เกิดความทุกข์ เพราะเกิดทั้งความโลภ เมื่อไม่ได้มาก็เกิดความโกรธ เมื่อมีแล้วก็เกิดความหลง ดังนั้นจะต้องเข้าใจว่ายศเหล่านี้มีวันเสื่อมสลายไปในที่สุด เรียกว่า เสื่อมยศ หากเราไม่เข้าใจหลักธรรมข้อนี้ก็จะเกิดความหลงมัวเมาเมื่อมียศ เกิดความวิตกกังวล คับข้องใจ และเป็นทุกข์เมื่อเสื่อมยศ เป็นต้น คู่ที่ 3 สรรเสริญ นินทา สรรเสริญ ได้แก่การกล่าวขวัญถึงความดี จะต่อหน้าหรือลับหลังก็ตาม การได้ฟังคำสรรเสริญ คำยกย่องคำชมเชย ทำให้ใจเบิกบาน มีความสุข ในทางตรงกันข้าม หากใครถูกนินทา หรือการพูดให้ร้ายหรือพูดในทางที่ไม่ดีในที่ลับหลัง ก็เกิดความไม่พึงพอใจ เกิดความโกรธ ทั้งสองประการนี้ หากไม่เข้าใจหลักธรรมเช่นนี้ ก็เกิดความลุ่มหลงมัวเมา หลงระเริง ทำให้เกิดความลืมตัว ก่อให้เกิดความเห็นผิด หลงตนเอง เมื่อคนอื่นสรรเสริญ และเกิดความไม่พึงพอใจ และทุกข์ใจในที่สุดเมื่อถูกนินทา เป็นต้น ดังนั้นเมื่อเข้าใจหลักธรรมนี้จะช่วยให้เกิดหลักของความอุเบกขา คือ ไม่แสดงอาการใด ๆ เมื่อถูกสรรเสริญ หรือนินทา ถือว่าเป็นธรรมดาของโลก คู่ที่ 4 สุข ทุกข์ โลกธรรมคู่นี้เป็นคู่รวบยอด คือสภาพความเป็นอยู่ของคนเราเมื่อกล่าวโดยรวมยอดแล้วมี 2 สภาพคือ สุขและทุกข์เป็นสภาพที่มนุษย์เราจะต้องเผชิญทั้ง 2 ประการ ดังนั้นพึงเข้าใจว่าเราจะดำเนินวิถีชีวิตอย่างไรให้มีความสุขมากกว่าทุกข์ นั่นก็คือจะต้องใช้ปัญญาพิจารณาถึงความดับทุกข์ ซึ่งทางพระพุทธศาสนาได้นำเสนอหลักของอริยสัจ 4 เป็นหลักธรรมในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากความทุกข์ที่เกิดขึ้น สรุปก็คือโลกธรรมทั้งสองฝ่ายคือ ฝ่ายอิฏฐารมณ์ และอนิฏฐารมณ์ เมื่อเกิดมาแล้ว มันไม่เที่ยง ไม่คงทนถาวร ไม่แน่นอน ย่อมเสื่อมสลายไปในที่สุด ดังนั้นจึงไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น จะก่อให้เกิดความทุกข์ในที่สุด
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |