ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
มาลดทิฐิมานะของตัวเอง...กันเถอะ!!! http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=22650 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 29 พ.ค. 2009, 23:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | มาลดทิฐิมานะของตัวเอง...กันเถอะ!!! |
![]() [รวงข้าวอันสมบูรณ์] มาลดทิฐิมานะของตัวเอง...กันเถอะ!!! ที่ยอดบนต้นไม้ มีใบเขียวชอุ่มเหลืองอ่อน พลิกพลิ้วไหวไปตามแรงลม ไล่ลำต้นต่ำลงมามีสะเก็ดเปลือกไม้แข็งขรุขะ คือ ความจริงว่า ของอ่อนอยู่ข้างบน ของแข็งอยู่ข้างล่าง ดุจเดียวกัน คนที่อ่อนน้อมถ่อมตนไม่ถือตัว แม้อยู่ในที่ต่ำแต่ใจก็สูง คนที่มีทิฐิมานะแข็งกระด้าง แม้อยู่ในที่สูงแต่ใจก็ต่ำ การแสดงอาการอันอ่อนน้อมค้อมเคราพ ไม่มีอะไรสูญเสียหรอก นอกจากทิฐิมานะ และทิฐิมานะก็ไม่เคยให้อะไร นอกจากความด้านกระด้าง ถ้าไม่บรรเทาถอนมันจะฝังติดตัวแน่นขวางกั้นทุกอย่าง แสงสว่างทางพระนิพพาน ก็อย่าหวังเลย คนถือดีดื้อรั้นดันทุรังด้วยทิฐิ จะรองรับอะไรได้ มีแต่จะล้นทะลักออกมา ![]() ![]() ![]() มานัตถัทธสูตร มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อ มานัตถัทธะ พำนักอยู่ในกรุงสาวัตถี ไม่ยอมไหว้มารดา บิดา อาจารย์ และพี่ชายเลย สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามีบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อม ทรงแสดงธรรมอยู่ มานัตถัทธพราหมณ์คิดว่า "พระสมณโคดมนี้ มีบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อม ทรงแสดงธรรมอยู่ ทางที่ดีเราควรเข้าไปหาพระสมณโคดม ถ้าพระสมณโคมทักทายเรา เราก็จะทักทายท่าน ถ้าท่านไม่ทักทายเรา เราก็จะไม่ทักทายท่านเหมือนกัน" มานัตถัทธพราหมณ์เข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงที่ประทับ ยืนนิ่งอยู่ ณ ที่ควร พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงทักทาย เขาคิดว่า "พระสมณโคดมนี้ไม่รู้อะไร" หมุนตัวจะกลับ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสกับเขาด้วยพระคาถาว่า พราหมณ์ในโลกนี้ ใครที่ยังมีมานะไม่ดีเลย บุคคลมาด้วยประโยชน์ใด พึงเพิ่มพูนประโยชน์นั้นไว้เถิด มานัตถัทธพราหมณ์คิดว่า "พระสมณโคดมนี้ทรงทราบจิตของเรา" จึงน้อมศีรษะลงแนบแทบพระยุคลบาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ ที่นั้นเอง จุมพิตพระยุคลบาทพระผู้มีพระภาคเจ้า และนวดด้วยมือ ประกาศชื่อว่า "ท่านพระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ชื่อมานัตถัทธะ ท่านพระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ชื่อมานัตถัทธะ" หมู่บริษัทที่อยู่ในที่นั้นต่างก็ฉงนสนเทห์ว่า "น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยปรากฏมาก่อน มานัตถัทธพราหมณ์นี้ไม่ยอมไหว้มารดาบิดา อาจารย์และพี่ชาย แต่พระสมณโคมทรงทำคนเช่นนี้ให้นอบน้อมได้อย่างดียิ่ง" ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับมานัตถัทธพราหมณ์ว่า "พอเถิด พราหมณ์ เชิญท่านลุกขึ้นนั่งบนที่นั่งเถิด เพราะท่านมีจิตเลื่อมใสในเราแล้ว" มานัตถัทธพราหมณ์ลุกขึ้นนั่งบนที่นั่งแล้ว กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า "บุคคลไม่ควรทำมานะในใคร ควรมีความเคราพในใคร พึงยำเกรงในใคร บูชาใครด้วยดีแล้วจึงจะเป็นการดี" พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบด้วยพระคาถาเช่นกันว่า "บุคคลไม่ควรทำมานะในมารดาบิดา พี่ชาย และในอาจารย์เป็นที่ ๔ พึงมีความเคราพในบุคคลเหล่านั้น พึงยำเกรงในบุคคลเหล่านั้น บูชาบุคคลเหล่านั้นด้วยดีแล้วจึงเป็นการดี บุคคลพึงทำลายมานะ ไม่ควรกระด้าง พึงนอบน้อมพระอรหันต์ ผู้เยือกเย็น ทำกิจเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ ไม่มีผู้ใดยิ่งกว่า" ธรรมชาติฝ่ายลบอย่างหนึ่ง ซึ่งติดตามมาตั้งแต่แรกเกิด และเริ่มขยายตัวเติบโต แสดงผลออกมาทางกิริยาท่าทางในลักษณะกร่างวางก้าม ครั้นมันเพิ่มปริมาณมากขึ้น ก็กลายเป็นความแข็งกระด้างหยิ่งยโส ไม่ยอมอ่อนน้อมค้อมเคารพใคร ในคราวประชุมปรึกษาหารือกัน มักจะยืนกระต่ายขาเดียว ยืดตัวนั่งตรงคอแข็งหน้าเชิด ไม่ยอมรับฟังความเห็นของคนอื่น ยิ่งถึงคราวทะเลาะวิวาท ก็ยิ่งยากจะยินยอม ธรรมชาติฝ่ายลบนั้นท่านเรียกว่า ทิฐิมานะ คือ ความเห็นถือตนถือตัว คนที่มีทิฐิเป็นเจ้าเรือนเต็มไปด้วยมานะกระด้างถือตัว เวลาแสดงความคิดเห็น ก็ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ประเภทกูถูกอยู่คนเดียว เชื่อว่า หลาย ๆ ท่านคงเอือมระอา ไม่ปรารถนาจะร่วมเสวนาด้วย เพราะรู้ว่า แม้แสดงความคิดเห็นดีเพียงใด เขาก็ไม่ยอมรับ ผลร้ายหลายประการนี้ ล้วนเกิดจากเจ้าทิฐิมานะนี้ทั้งสิ้น ทิฐิมานะเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นจาก อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ซึ่งทำให้หลง อยาก ยึดมั่นสำคัญผิด เข้าใจอนัตตาว่าเป็นอัตตา คือเห็นชีวิตสังขารซึ่งตกอยู่ในสภาพอนัตตาหาตัวตนมิได้ โดยความเป็นอัตตามีตัวตน เมื่อเห็นว่ามีอัตตาตัวตน ก็สำคัญว่านี่เรา นี่ของเรา นั่นเขานั่นของเขา ทิฐิมานะก็ก่อตัวทันที และเปิดทางให้สรรพกิเลสเข้ามาอาศัย ทิฐิมานะก็ครองเหย้าเนานอนสบาย การถือตนถือตัว และการยึดถือนานัปการ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่เห็นว่าเป็นอัตตา* การรื้อถอนทิฐิมานะ ให้ได้จริง ๆ ต้องรื้อถอนที่ต้นตอคือ อัตตาตัวตน โดยปรับมุมมองใหม่ว่า แท้จริง ชีวิตสังขารตกอยู่ในสภาพอนัตตาหาตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวรไม่ได้ ครั้นเห็นเป็นอนัตตา ทิฐิมานะก็จะพังทลาย สร่างคลายจากการยึดถือไปเอง การรื้อถอนทิฐิมานะละอัตตามิใช่เรื่องง่าย ละไม่ได้ก็มาบรรเทาลดลงดีกว่า บรรเทาทิฐิมานะโดยการลดอัตตาตัวตนลงบ้าง โดยพิจารณาเห็นโทษดังกล่าวในเบื้องต้น มันไม่ส่งผลดีหรอก ทั้งแก่ตนและคนอื่นนั่นแหละ. * ดังกล่าวนี้ตรงข้อความที่ พระราหุล ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อะไรเป็นเหตุให้คนอหังการ (ตัวกู-ทิฐิ) มมังการ (ของกู-ตัณหา) พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า รูปทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน หยาบ ละเอียด เลว ประณีต ไกล หรือใกล้ เป็นเหตุให้เกิดอหังการ มมังการ เพราะปุถุชนไม่เห็นตามความเป็นจริงว่า "นั่นมิใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นมิใช่อัตตาเรา " ![]() ![]() ![]() (ที่มา : จาก อนุสยสูตร สํ.นิ. ๒๐๐/๓๐๐/๑๖ ใน พระไตรปิฎกร่วมสมัย ๒ โดย พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์) |
เจ้าของ: | ariyachon [ 30 พ.ค. 2009, 00:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มาลดทิฐิมานะของตัวเอง...กันเถอะ!!! |
อนุโมทนาครับ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | อมิตาพุทธ [ 30 พ.ค. 2009, 02:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มาลดทิฐิมานะของตัวเอง...กันเถอะ!!! |
สาธุด้วยครับ คุณกุหลาบสีชา ![]() |
เจ้าของ: | jintana63 [ 30 พ.ค. 2009, 07:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มาลดทิฐิมานะของตัวเอง...กันเถอะ!!! |
อนุโมทนาสาธุค่ะ คุณกุหลาบสีชา ![]() ด้วยความเคารพ |
เจ้าของ: | O.wan [ 30 พ.ค. 2009, 09:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มาลดทิฐิมานะของตัวเอง...กันเถอะ!!! |
![]() ![]() แต่เวลานี้ค่อยปรับเปลี่ยนตัวเองได้บ้าง ตอนนี้มีเวลามากขึ้น เคยมานั่งย้อนดูตัวในอดีตรู้สึกตัวเอง ทำอะไรที่ผิดพลาดมามากมาย แต่ก็ยังแอบดีใจที่ตัวเองยังพอมีบุญอยู่บ้าง ![]() ตรงนี้ค่อยๆสะสมธรรมะไปเรื่อยๆ ปรับเปลี่ยนตัวเองไปให้รู้ความจริงมากขึ้น แต่ที่ดีที่สุดสำหรับเรา ![]() ถึงเค้าอาจจะไม่ค่อยสนใจตอนนี้ แต่เมื่อเค้าโตไปในอนาคตเค้าก็คงคิดได้บ้างนะคะ ![]() |
เจ้าของ: | ลูกโป่ง [ 30 พ.ค. 2009, 09:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มาลดทิฐิมานะของตัวเอง...กันเถอะ!!! |
สาธุึ สาธุ สาธุค่ะ ถือตัวถือตนไม่ดีเลย...เพราะเป็นเพียงสมมติเท่านั้น ทุกชีวิตที่อยู่บนโลกนี้...ล้วนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ใครๆก็มีความสำคัญทั้งนั้น...อย่ามัวแต่หลงตัวเองอีกเลย...เหนื่อยเปล่าๆ ธรรมะสวัสดีค่ะ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | O.wan [ 30 พ.ค. 2009, 11:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มาลดทิฐิมานะของตัวเอง...กันเถอะ!!! |
![]() ![]() รบกวนถามต่อนะคะ ![]() พูดนินทา ทะเลาะกับญาติผู้ใหญ่ หยิบของตามห้างเช่ย ลูกอม ทำไปด้วยความสนุกไม่ได้นึกอะไรเลย ตอนสมัยก่อนอยู่ในวัยรุ่นวัยคะนอง แต่เมื่อมาย้อนดูเป็นการกระทำหลายๆครั้ง ตอนนี้เรารู้สึกอยากย้อนเวลา แต่ก็เป็นไปไม่ได้นะคะ แล้วเวลานี้ที่เราคิดแล้วได้ควรทำอย่างไรดีคะ ![]() เราตอนเด็กๆเลยค่ะ ยังมีความผิดอีกหลายอย่างที่เราเคยทำผิดๆ เลยไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นใหม่ตอนนี้ในการปฏิบัติที่ดีต่อไป แล้วอดีตผ่านมาให้มันผ่านไปเลยหรือเปล่าคะ |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 30 พ.ค. 2009, 14:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มาลดทิฐิมานะของตัวเอง...กันเถอะ!!! |
O wan เขียน: ถ้าเมื่อก่อนเราเคยทำผิดศีล 5 แต่เป็นเรื่องเล็ก เช่นการฆ่าสัตว์ (ทุบหัวปลา)เพื่อกินสดๆ พูดนินทา ทะเลาะกับญาติผู้ใหญ่ หยิบของตามห้างเช่ย ลูกอม ทำไปด้วยความสนุกไม่ได้นึกอะไรเลย ตอนสมัยก่อนอยู่ในวัยรุ่นวัยคะนอง แต่เมื่อมาย้อนดูเป็นการกระทำหลายๆครั้ง ตอนนี้เรารู้สึกอยากย้อนเวลา แต่ก็เป็นไปไม่ได้นะคะ แล้วเวลานี้ที่เราคิดแล้วได้ควรทำอย่างไรดีคะ ที่จริงคิดได้นานแล้วค่ะ และจะสั่งสอนลูกเสมอๆ ซึ่งก็ได้ผลดีค่ะ ลูกๆก็เป็นคนดีค่ะ ไม่เหมือน เราตอนเด็กๆเลยค่ะ ยังมีความผิดอีกหลายอย่างที่เราเคยทำผิดๆ เลยไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นใหม่ตอนนี้ในการปฏิบัติที่ดีต่อไป แล้วอดีตผ่านมาให้มันผ่านไปเลยหรือเปล่าคะ ขออนุโมทนากับ คุณ O wan ด้วยนะคะ ![]() เชื่อว่าเกือบทุกคนย่อมต้องมีประสบการณ์ กับการ ทำบาป ไปด้วยความไม่รู้ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือความสนุกคะนองของวัยเด็กมาก่อน อย่างไรก็ตามหากเมื่อเราเติบโตขึ้น และหวนกลับไปนึกถึงสิ่งที่เราเคยทำเมื่อยังเด็ก และรู้ว่าเป็นบาป เห็นโทษภัยของสิ่งที่กระทำนั้น ด้วยการสมาทานศีล ๕ อย่างเคร่งครัด และตั้งใจที่จะงดเว้น ไม่กระทำการใดใดให้ผิดศีลอีกต่อไปเลย แม้จะเรียกเวลาย้อนกลับมาไม่ได้ แต่ก็เป็นเรื่องน่าอนุโมทนาและนิมิตหมายที่ดีมิใช่หรือคะ ที่จิตของเราเริ่มตระหนักรู้ในโทษภัยของอกุศลวิบาก ศีล เป็นบาทฐานที่สำคัญเสมอค่ะ ที่จะนำไปสู่การมี สมาธิ อันมั่นคง และ ปัญญา ที่จะเห็นแจ้ง คือ เห็นถูกตรงตามความเป็นจริง นักปฏิบัติธรรมที่จะเจริญก้าวหน้าในธรรมต่อไป คือ ไม่หยุดนิ่ง หรือถอยหลัง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี "ศีลบริสุทธิ์" มาควบคุมทั้ง กาย วาจา และใจด้วยค่ะ ขอให้ลองศึกษาเรื่อง นางอัมพกาลี ในครั้งพุทธกาลดูนะคะ เมื่อเธอได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า แล้วก็นึกถึงบาปของตัวเองที่เคยทำในอดีต จึงสารภาพบาปและไม่กลับไปทำผิดอีกเลย ในที่สุดก็สามารถบรรลุธรรมได้ค่ะ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะคะ ![]() |
เจ้าของ: | ลูกโป่ง [ 31 พ.ค. 2009, 02:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มาลดทิฐิมานะของตัวเอง...กันเถอะ!!! |
สวัสดีค่ะ คุณ O.Wan ที่น่ารักเสมอ ยินดีที่ได้รู้จักกัลยาณมิตรคนใหม่นะคะ ลูกโป่งเคยอ่านคำตอบของคุณในเรื่องต่างๆบ่อยๆ คุณ O.Wan มีความคิดเห็นที่ดีและน่ารักๆ ชวนให้ยิ้มไปด้วยเสมอ ลูกโป่งอาจไม่ได้ค่อยเข้าลานสนทนาธรรมเท่าไหร่ เพราะอาจไม่ค่อยเชี่ยวชาญในเรื่องธรรมะเหมือนท่านอื่นๆ และมักไม่ได้ตอบคำถามใครนัก เพราะคิดว่าความรู้ตัวเองไม่มาก ไม่เชี่ยวชาญในเรื่องใดๆนัก จึงมักเก็บตัวเองเงียบๆ และเป็นเพียงผู้ดู ผู้อ่านไม่ค่อยได้คุยกับใครเท่าไหร่ ลูกโป่งจึงชอบนำธรรมะมาโพสต์เป็นความรู้ให้ตัวเองและผู้อื่นได้อ่าน เป็นการให้ธรรมะเป็นทาน แต่ธรรมะเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติ แม้ศึกษามากเพียงใด ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ความฉลาด ก็เป็นของผู้อื่น หากต้องการให้ตัวเองมีสติ เป็นคนดี เราต้องหมั่นปฏิบัตินะคะ ขั้นแรกเลย ต้องมีศรัทธาเสียก่อน พยายามถือศีล 5 ให้บริสุทธิ์ และหาครูบาอาจารย์ลองฝึกเจริญกรรมฐานตามแบบที่ตนเองถนัด ลูกโป่งว่าทำบ่อยๆ เรื่องที่เราไม่รู้ จะได้รู้ เรื่องที่เราไม่เข้าใจ จะเข้าใจมากขึ้น แต่ขอให้ศรัทธาจริง ทำด้วยความตั้งใจจริง ได้ผลแน่นอนค่ะ คุณ O.Wan โชคดีนะคะที่มีลูกเป็นเด็กดี แต่ก็เพราะแม่เป็นคนดี ลูกที่ดีจึงมาเกิดค่ะ เหมือนกรรมจัดสรรมาแล้วค่ะ หลวงพ่อจรัญ แห่งวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ท่านเคยสอนว่า สอนลูกต้องสอนด้วยแบบอย่างค่ะ เมตตาอย่าเจือโทสะ และลูกโป่งมีกลอนที่หลวงพ่อจรัญท่านสอนเอาไว้นะคะ วันพรุ่งนี้ อยู่ไกล ยังไม่เกิด ช่างมันเถิด อย่าร้อนไปก่อนไข้ วันวานนี้ ตายแล้ว ให้ตายไป อย่าเอาใจ ไปข้อง ทั้งสองวัน ถ้าวันนี้ สดชื่น ระรื่นจิต อย่าไปคิด หน้าหลัง มาคลั่งฝัน สิ่งที่แล้ว แล้วไป ให้แล้วกัน สิ่งที่ฝัน ไม่มา อย่าอาวรณ์ คุณ O.Wan คะ สิ่งต่างๆผ่านมาแล้ว และผ่านไปกลายเป็นอดีตแล้วทั้งสิ้น เก็บเอาไว้เป็นบทเรียนแล้วกันนะคะ ถ้าไม่ดี ก็อย่าทำอีก หลวงพ่อจรัญท่านเคยสอนว่า หากเรานึกถึงเรื่องไม่ดีบ่อยๆ เหมือนเพิ่มบาปอกุศลให้กับตัวเอง ผ่านมาแล้ว ผ่านไปนะคะ แต่สิ่งที่เราจะทำต่อแต่นี้ไป ขอให้เรามีสติทุกครั้งในการคิด ฟัง พูด อ่าน เขียน และการกระทำใดๆก็ตาม คิดเสมอว่าไม่เดือดร้อน ไม่เบียดเบียน เราจะเพียรทำความดี สิ่งดีดีจะเกิดขึ้นตามมาเองค่ะ สมเด็จพระสังฆราชฯ ท่านเคยสอนเอาไว้ว่า ชีวิตนี้น้อยนัก สำคัญนัก จะไปสูงหรือไปต่ำ...เลือกได้ในชีวิตนี้ ธรรมใดๆก็ไร้ค่า...ถ้าไม่ทำ ธรรมะสวัสดีค่ะ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | มิตรตัวน้อย [ 02 มิ.ย. 2009, 11:48 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มาลดทิฐิมานะของตัวเอง...กันเถอะ!!! |
การละทิฏฐิมานะ ละเพื่อตนเองแท้ ๆ แต่ไม่ทำ กลัวเสียเปรียบจ้า สาธุ..โมทนาด้วยนะครับ คุณกุหลาบฯ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | O.wan [ 02 มิ.ย. 2009, 21:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: มาลดทิฐิมานะของตัวเอง...กันเถอะ!!! |
![]() วันนี้เรียบร้อยดีแล้วค่ะ ![]() รู้สึกมีความสุขเล็กๆ ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |