ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
จิตวิทยาแห่งการอยู่คนเดียว http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=22407 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | คนไร้สาระ [ 20 พ.ค. 2009, 08:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | จิตวิทยาแห่งการอยู่คนเดียว |
จิตวิทยาแห่งการอยู่คนเดียว ![]() "ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากเธอหาคนที่ดีกว่าเธอ หรือดีเสมอเธอคบไม่ได้แล้วไซร้ เธอพึงท่องเที่ยวไปแต่เพียงลำพังผู้เดียว เสมือนนอแรด ยังประเสริฐกว่าการคบคนพาล เพราะการคบคนพาลย่อมนำไปสู่วิบัติโดยแท้" ![]() ถ้าไหน ๆ จะต้องอยู่คนเดียวแล้ว ตอนต่อไปเราลองมาดูกันว่า จะอยู่คนเดียวอย่างไรให้เป็นสุข ![]() มิได้หมายความว่าเมื่อไม่มีคู่แล้วจะไม่มีความรัก หามิได้เลย คนอยู่คนเดียวนั้น ก็อาจมีความรักได้ และความรักอาจยิ่งใหญ่กว่าคนมีคู่ด้วยซ้ำ ใน ขณะที่คนมีคู่นั้น ความรักจะต้องกระทบกับความต้องการที่แตกต่าง ผสมกับอารมณ์ข้างเคียงอัน เกิดจากความสัมพันธ์ที่ไม่ลงตัวนานาประการ หรือมีข้อจำกัดด้วยอุปสรรคและ ปัญหาในการดำรงชีวิตนานาความรักที่เคย เต็มร้อยของคู่ในขณะที่เป็นแฟนกัน พอมาใช้ชีวิตเป็นสามีภรรยากัน รักเต็มร้อยก็อาจจะเหลือน้อยลง บางคู่เหลือ แค่สิบเปอร์เซ็นต์ก็มี บางคู่ก็หมดหดหายไปเลย ต้องหย่าร้าง แยกทางกัน บางคู่ต้องติดลบ กลายเป็นศัตรูกันไปก็มี ![]() เหมือนเกมแห่งชีวิตทั่วไป แต่ร้ายกว่าเกมอื่น ๆ ตรงที่เกมชีวิตคู่เป็นเกมแห่งหัวใจ เมื่อขาดทุนก็เสียที่ใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของชีวิต ถ้าชนะก็ได้ใจและอาจจะ ประมาท อันอาจเป็นเหตุให้พ่ายแพ้ได้ในอนาคต |
เจ้าของ: | คนไร้สาระ [ 20 พ.ค. 2009, 08:49 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จิตวิทยาของการอยู่คนเดียว |
แต่การอยู่คนเดียวไม่ต้องมีอัตราเสี่ยงเหล่านี้ คนอยู่คนเดียว จึงได้เปรียบคนที่มีคู่สามกรณี คือ ๑. ความรักของเขาย่อมไม่เจาะจงบุคคล จึงเป็นความรักที่กว้างขวางยิ่งใหญ่กว่า ๒. ความรักของเขาย่อมไม่แปดเปื้อนด้วยความต้องการอารมณ์หรืออุปสรรคมากมาย เหมือนคนคู่ จึงหมดจด สะอาดกว่า ๓. ความรักของเขาย่อมไม่อยู่ในเงื่อนไขหรือพันธะผูกพัน จึงมีอิสรภาพแห่งหัวใจ และเป็นสุขกว่า ![]() ในการใช้โอกาสนั้นสร้างคุณค่าแล้ว ย่อมได้ประโยชน์อย่างใหญ่หลวงแก่ชีวิต จิตใจ ดังนั้น จึงควรเรียนรู้จิตวิทยาการอยู่คนเดียว ดังนี้ หลักการอยู่คนเดียวให้เป็นสุข ![]() อย่างเดียวดาย ไม่ข้องเกี่ยวกับใคร แต่การอยู่คนเดียวหมายความว่าเลือกชีวิต ที่เป็นไทแก่ตน ไม่ต้องการคู่ใด ๆ มาครอบครองตน และตนก็ไม่ต้องการครองใคร ขอเป็นอิสระชนที่รับผิดชอบตัวเอง ท่ามกลางชีวิตอันหลากหลายในโลกกว้าง ![]() หรืออิสรชนผู้เป็นใหญ่ในตนอย่างแท้จริง ซึ่งบุคคลที่จะกระทำเช่นนี้ได้สำเร็จ ต้องมีกุศลโลบายอันเหมาะสมสามประการ คือ ๑. ตัดใจจากสัญชาตญาณดั้งเดิม ๒. เติมใจด้วยความสุขที่ยิ่งใหญ่กว่า ๓. ตั้งใจชำระจิตให้หมดจด มั่นคง ซึ่งแต่ละกุศโลบายมีรายละเอียดที่ควรเข้าใจและปฏิบัติดังนี้ การตัดใจจากสัญชาตญาณดั้งเดิม ![]() ด้านกามารมณ์ และสัญชาตญาณแห่งการพึ่งพิง ซึ่งเอกบุคคลต้องละให้ ขาดไปจากใจ ![]() ได้ด้วยการพิจารณาถึงภาวะบีบเค้น ความเสื่อมเสีย และภัยต่อเนื่องจาก กามารมณ์นานาประการ อาทิเช่น |
เจ้าของ: | คนไร้สาระ [ 20 พ.ค. 2009, 08:52 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จิตวิทยาของการอยู่คนเดียว |
![]() ความสอดคล้องกับความต้องการ บางครั้งต้องยอมสูญเสียสิ่งมีค่ามากมาย เช่น ศักดิ์ศรี เงินทอง เวลา สติปัญญา เพื่อให้ได้มาซึ่งกามารมณ์นิดเดียว ![]() เมื่อเสพอยู่ก็เร่าร้อน ครั้นเสพแล้วเสมือนว่าความร้อนจะดับ แต่เดี๋ยวก็ ร้อนอีกและกลับร้อนมากกว่าเดิมด้วย ![]() กลวงใน ขาดความจริงใจ รู้สึกแปลแยกกับผู้ที่เราต้องการเสพกามด้วย ไม่สนิท ใจเหมือนความรักปกติ ครั้นเสพกามอยู่ประสาทก็ถูกบีบ สมองก็ถูกบีบ กล้าม เนื้อก็ถูกบีบ จิตใจก็ถูกบีบ จึงทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เกร็ง กระด้าง ปรวนแปร แม้รังสีทิพย์ก็หดหายไป สติปัญญาเลอะเลือน กามจึงนำความ เสื่อมเสียมาให้ชีวิตจิตใจมากทีเดียว ![]() ความปวดร้าวในความสัมพันธ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชีวิตคู่ ก็มักมาจากความ มักมากในกามารมณ์เป็นเหตุสำคัญ ![]() แต่หายได้ด้วยการตัดใจ ดังพุทธพจน์ที่ว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีอยู่สองสิ่งในโลกนี้ ที่ไม่อาจระงับ ได้ด้วยการเสพสองสิ่งเป็นไฉน คือ กามหนึ่ง การหลับหนึ่ง" ทั้ง กามและการหลับยิ่งเสพจะยิ่งมีมาก กล่าวคือ ยิ่งเสพกาม ก็ยิ่งกระหายกาม และยิ่งนอนก็ยิ่งง่วง ซึ่งเกือบทุกคนเคยมีประสบการณ์เหล่านี้มาบ้างแล้ว จริง อยู่ว่า กามารมณ์เป็นสัญชาตญาณดิบของสัตว์ทั้งหลาย รวมทั้งมนุษย์ และเทวดา แต่ผู้ที่ประสงค์ความเป็นไท มุ่งสู่ความประเสริฐ ย่อมตัดใจการ กามเสีย เมื่อตัดกามารมณ์เสียได้ จึงหลุดพ้นจากอำนาจดึงดูดของเพศตรง ข้าม เป็นอิสระในตนโดยสมบูรณ์ เมื่อนั้นก็จะอยู่เหนือเพศทั้งปวง ![]() จะมีเฉพาะในเทวดา มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เปรต และสัตว์นรกเท่านั้น โดย เฉพาะในสัตว์ ยิ่งต่ำมากก็มีเพศมาก สัตว์เซลเดียวบางชนิดมีเพศ ๒ เพศ ในตัวเองเลย คือมีทั้งเพศผู้ เพศเมีย จะเสพเมื่อไหร่ก็ผสมได้ทันที แต่เมื่อ พัฒนาอยู่ใน ระดับวิวัฒนาการที่สูง กามารมณ์ก็ยิ่งน้อยลง จนสูงที่สุดย่อม ไร้กามารมณ์ |
เจ้าของ: | คนไร้สาระ [ 20 พ.ค. 2009, 08:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จิตวิทยาของการอยู่คนเดียว |
![]() เนื่องจากกามเป็นเหตุแห่งความพัวพัน ความอ่อนแอ และความเสื่อม ประสิทธิภาพของระบบประสาท จิตใจ และสภาวะทิพย์นานาประการ ![]() ละกามเสียให้เด็ดขาด ในช่วงที่ยังเด็ดไม่ขาด ก็อยู่ให้ห่าง ๆ เพศตรง ข้ามไว้ จะปลอดภัยดี การตัดสัญชาตญาณด้านการพึ่งพิง สัญชาตญาณการพึ่งพิง เป็นสัญชาตญาณแห่งความอ่อนแอของบุคคลที่ยังไม่สมบูรณ์ในตน การตัดสัญชาตญาณในเรื่องนี้ได้ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ถึงความเป็นจริง และความเหมาะควร ๓ ประการ คือ ๑. ก็หากต่างคนต่างก็ต้องการพึ่งพิงกันอยู่ ต่างหวังพึ่งพิงกันไป หวังพึ่งพิง กันมาแล้ว ใครจะเป็นที่พึ่งให้แก่ใครได้อย่างแท้จริง ก็ใครจะเป็นที่พึ่งให้แก่ ผู้อื่นอย่างแท้จริงได้เล่าในเมื่อเขาก็ยังต้องการ พึ่งพิงผู้อื่น หากจำเป็น ก็เป็นที่พึ่งที่ดีสมบูรณ์ไม่ได้ ในที่สุด บุคคลที่เป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราก็ คือตัวเราเอง ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า "ตนนั่นแหละคือที่พึ่งแห่งตน" ![]() เขาก็ยังทุกข์ ย่อมนำเราสะอื้นจงตั้งมั่นหยัดยืน ด้วยลำแข็งแห่งตน ๒. การหวังพึ่งพิงผู้อื่นทำให้เราตกเป็นทาสเขา ต้องคอยเอาอกเอาใจ กลัว ความรู้สึกเขา ระแวงว่าเขาจะไม่ชอบเราด้วยเหตุนั้น ด้วยเหตุนี้ เป็นทุกข์ อยู่ทุกขณะ เหมือนพระจันทร์ที่ต้องคอยแสงพระอาทิตย์อยู่เสมอ และกลัว ว่าพระอาทิตย์จะจากหายไป ไม่ส่องแสงมาให้ตน ๓. การพึ่งพิงผู้อื่นทำให้เราไม่สมบูรณ์สักที เพราะมีปัญหาอะไรก็คอยพึ่ง ผู้อื่นอยู่เรื่อย เสมือนเด็กไม่รู้จักโต แต่ถ้าเราหันมาพึ่งตนเองก็จะต้องเริ่ม พัฒนาตนให้สมบูรณ์พร้อม ชีวิตเราก็จะได้ความก้าวหน้าได้ระยะแห่ง วิวัฒนาการด้วย ๔. เมื่อเราสมบูรณ์ในตนแล้ว แม้จะคบกับใครก็คบอย่างเท่าเทียมหรือ สูงกว่าและมีพลังที่จะเกื้อกูลแก่ผู้ อื่นได้ เสมือนพระอาทิตย์ที่ส่องแสง เลี้ยงดูสรรพสิ่งในโลกได้ ![]() สร้างองค์ประกอบแห่งความเป็นเอกให้สมบูรณ์ก็จะสามารถหยัดยืนด้วยลำ แข้งแห่ง ตน และเกื้อกูลแก่คนอื่นได้ดุจพระอาทิตย์ผู้มีพลังอย่างไม่มีประมาณ |
เจ้าของ: | คนไร้สาระ [ 20 พ.ค. 2009, 08:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จิตวิทยาของการอยู่คนเดียว |
![]() การพึ่งพิงได้แล้ว จิตใจจะเป็นอิสระระดับหนึ่ง ซึ่งจะเริ่มยินดีต่อการเป็นโสด ![]() มิใช่เป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับหรือหาใครมาเป็นคู่ไม่ได้ หาไม่แล้ว จะเป็นโสดแบบแห้ง ๆ ![]() ถ้าอยู่อย่างนี้จะไม่เป็นสุข จะขาดความพึงพอใจในตนจะขาดความเชื่อมั่น ในตน และเกิดความขัดแย้งระหว่างความต้องการในใจกับภาวะที่เป็น ทำให้เป็นทุกข์เปล่า ๆ ![]() โสดแบบสด ๆ ดีกว่าโสดสด ๆ คือโสดบริสุทธิ์ด้วยความตั้งใจ เต็มใจ ไม่ผ่านกามารมณ์ใด ๆ มาก่อน ![]() ก็อาจเป็นโสดได้บ้าง แต่เป็นโสดหารสอง โสดหารสี่ โสดหาร...ตามลำดับ ![]() จึงกลับมาเป็นโสดอีก แต่เป็นโสดหารสอง เพราะไม่สดจิตใจและร่างกาย ไม่ผ่องใสแล้ว ![]() ความโสดที่มีอยู่จึงเหลือความสดน้อยเต็มที เหลือเพียงโสดหารสี่ ![]() ปฏิภาคผกผันกันในอัตราส่วน เศษหนึ่งหารด้วยสองคูณจำนวนครั้ง ความสัมพันธ์ (๑/ (๒ x จำนวนครั้ง) ![]() ก็จะสามารถตั้งใจที่ล้มไปแล้วให้ลุกขึ้นมาผงาดและมีกำลังขึ้นมาได้บ้าง ![]() ใจให้เต็มด้วยความสุขที่ยิ่งใหญ่ต่อไป |
เจ้าของ: | คนไร้สาระ [ 20 พ.ค. 2009, 09:09 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จิตวิทยาของการอยู่คนเดียว |
การเติมใจด้วยความสุขที่ยิ่งใหญ่กว่า ![]() หาไม่แล้ว ดวงใจจะรู้สึกเคว้งคว้าง ไม่มีหลัก เหมือนขาดฐานที่มั่น ![]() เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่กว่าความรักระหว่างเพศ ซึ่งมีอยู่สองประการ คือ ความสุขจากความรักความเมตตาต่อมหาชน และความสุขในการ อยู่ในสัมพันธภาพอันประณีตกับธรรมชาติ ซึ่งมีวิธีฝึกฝนดังนี้ ![]() เราปราศจากความต้องการทางเพศ และไม่ต้องการการพึ่งพิงแล้ว นั่นทำให้ใจเราสะอาดระดับหนึ่ง ปลอดจากเงื่อนไขแห่งความทุกข์แล้ว จากนั้นก็แผ่ความรักความเมตตาอันบริสุทธิ์ให้ตนเองจนเต็มเปี่ยม แล้วแผ่ออกไปโดยรอบให้ไพศาลก็จะบังเกิดความสุขอันยิ่งใหญ่ในทันที ฝึกทำอย่างนี้เป็นประจำ จนชำนาญ แผ่เมตตาเมื่อใด ก็เปี่ยมสุขเมื่อนั้น ![]() เกรงใจคนอื่นจนเกินพอดี ดังนั้น ควรแผ่ให้ครบธรรมสูตรต่อเนื่องจาก เมตตาด้วย คือแผ่กรุณา มุทิตา อุเบกขาด้วย ก็จะทำให้ใจทรงตัวเ ปี่ยมสุขเอิบอิ่ม และมั่นคงยิ่ง เพื่อให้ได้รสชาติอันแท้จริง ลองฝึกดูเลยเดี๋ยวนี้ ![]() เนื้อระบบประสาท และอวัยวะทุกส่วนให้หมด ปล่อยวางความคิด ความต้องการและเงื่อนไขทางใจให้สิ้น ![]() " การที่เราระลึกถึงใจทั้งปวงนี้ รังสีจากใจของเราจะขยายออกไป สัมผัสสัมพันธ์กับใจทั้งหลาย ซึ่งหาที่สิ้นสุดมิได้ มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งที่เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ เป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นสิ่งต่าง ๆ ในภพภูมิต่าง ๆ ใจของเราจะขยายไป ![]() เพื่อนของเรา เราไม่ต้องคิดถึงบุคคล เพราะถ้าคิดถึงบุคคลจิตจะแคบ จิตจะเห็นเป็นบุคคล เป็นสมมติ ให้คิดถึงใจอันเป็นปรมัตถ์ ![]() จิตให้ไร้ขอบเขต "ใจทั้งปวง จงสงบเย็นเป็นสุขเถิด" เมื่อจิตเราระลึกถึงใจทั้งปวง จิตเราขยายไปแล้ว เมื่อเรากำหนดว่า "....ใจทั้งปวงจงสงบเย็น เป็นสุขเถิด..."นั้นเป็นการแผ่สิ่งที่ดีออกไป ![]() ใจเราอุดมด้วยสำนึกที่ดียิ่งขึ้นต่อไป เวลาเราเห็นสัตว์ เห็นชีวิต เห็นมนุษย์ หรือแม้แต่เห็นผี เราจะไม่กลัว เราจะมีความรู้สึกเมตตา มีความรู้สึกปรารถนา ดีต่อเขาให้เขาสงบเย็น ![]() อีกทีก็ดี กรุณาที่มารองรับ คือทำให้เห็นผลจริงจัง น้อมรำลึกว่า "...การกระทำทั้งปวงของเรา จงยังใจทั้งหลายให้สงบเย็นเป็นสุขเถิด.." ![]() ทั้งปวงของเราด้วย จงอาบชโลมใจทั้งหลายให้สงบเย็นเป็นสุขเถิด ![]() อาลัยมาก มีแต่กรุณาอยากจะช่วยคน อยากจะเกื้อกูลเขา อาจจะอุ้มเขา มีความห่วงใยอาลัยอาวรณ์สูง เราต้องมีมุทิตามากำกับ มุทิตา คือ น้อมรำลึกว่า "...ใจที่สงบเย็นเป็นสุขแล้ว ประเสริฐจริงหนอ..." ![]() จะมุ่งไปสู่สภาวะที่สูงขึ้น การที่เราบอกว่า "...ใจที่สงบเย็นเป็นสุขแล้ว ที่ท่านสัมฤทธิ์ผลแล้ว -มีต่อ- |
เจ้าของ: | jintana63 [ 20 พ.ค. 2009, 13:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จิตวิทยาแห่งการอยู่คนเดียว |
อนุโมทนาสาธุค่ะ ![]() ด้วยความเคารพ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | คนไร้สาระ [ 20 พ.ค. 2009, 16:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จิตวิทยาแห่งการอยู่คนเดียว |
การที่เรายินดีหรือมุทิตา กับผู้ที่สงบเย็นเป็นสุข ใจเราจะมีกำลังมากขึ้น ![]() อุเบกขาอีกที อุเบกขานี้มาจากคำว่า อุปปะ กับ อิกขะ อุปปะ แปลว่า เข้าไป อิกขะ แปลว่า เห็น ดังนั้น อุเบกขาแปลว่า เข้าไปเห็น เข้าไปรู้ เข้าไปกระจ่าง ![]() อุเบกขาว่า คือ ความเฉย ความเฉยนั้นเป็นผลของอุเบกขา ตัวอาการ ของอุเบกขานั้น คือ ความรู้ ความเข้าใจ ความกระจ่าง เรารำลึกใน สำนึกว่า "...อุเบกขา ใจทั้งปวง จงมีดวงตาเห็นธรรมเถิด..." ใจ ทั้งปวงก็หมายถึงทั้งใจเราด้วย ใจคนอื่นด้วย ![]() เกิดขึ้น เมื่อความเข้าใจเกิดขึ้น ใจก็สงบมั่นคง ขณะที่ขยายใจออก ไปเรื่อย ๆ นั้น ก็ไม่เสียการทรงตัวเพราะมีอุเบกขาเป็นหลักอยู่ เห็นความเป็นจริงอยู่ ถ้าเมื่อใดที่เราไม่เห็นความเป็นจริง จิตจะหวั่น จะเสียการทรงตัว เพราะจะกลัวในสิ่งที่ตนไม่รู้ ![]() ไม่รู้ว่า ในความมืดมีอะไร จิตกลัวอนาคต เพราะจิตไม่รู้ว่าในอนาคต จะเป็นอย่างไร จิตกลัวบุคคล เพราะจิตไม่รู้ว่าบุคคลนั้นเขาคิดอะไร รู้สึกอย่างไร นั่นเพราะไม่รู้จึงกลัว แต่ถ้าเรารู้เราจะไม่กลัว ความรู้นี้ คือตัวอุเบกขา พอรู้แล้วไม่กลัว จึงเฉย จึงสงบ จึงมั่นคง ![]() อุเบกขาที่บริบูรณ์ต้องมีเมตตา กรุณา มุทิตาประกอบการเจริญ พรหมธรรมนั้นต้องเจริญให้ครบถึงอุเบกขาเสมอ แม้แค่แผ่เมตตา ก็เป็นสุขแล้ว แต่ก็ไม่ควรหยุดอยู่เพียงนั้น เพราะเมตตาจะทำให้ติดดี หลงดี คือเห็นอะไรดีไปหมดจนประมาท แต่เมื่อ เจริญกรุณา มุทิตา อุเบกขา ที่อุเบกขาเห็นความเป็นจริงของธรรมชาติว่ามีทั้งดี ทั้งชั่ว ทั้งเป็นกลางอยู่ จึงแจ่มแจ้งสัจจะ ![]() มุทิตา มาตลอดจนถึงอุเบกขา -มีต่อ- |
เจ้าของ: | อมิตาพุทธ [ 21 พ.ค. 2009, 09:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จิตวิทยาแห่งการอยู่คนเดียว |
สาธุครับ ![]() |
เจ้าของ: | ariyachon [ 21 พ.ค. 2009, 09:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จิตวิทยาแห่งการอยู่คนเดียว |
อนุโมทนาด้วยครับ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | คนไร้สาระ [ 21 พ.ค. 2009, 11:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จิตวิทยาแห่งการอยู่คนเดียว |
![]() คือการดื่มด่ำล้ำลึกในธรรมชาติอันประณีต สงบ ว่าง อันเป็นบ่อเกิด แห่งสรรพสิ่ง และแผ่จิตโอบอุ้มสรรพสิ่งทั่วทั้งจักรวาล ![]() ไปอย่างไร้ความจำกัด ดวงใจที่เป็นสุขอยู่แล้ว ก็จะสุขมหาศาล อย่างประมาณมิได้ เพื่อให้ได้รับรสชาตินั้น ลองทำกันดูเลยตามขั้นตอนนี้ ๑. ตัดการรับรู้จากสิ่งแวดล้อม ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ๒. กำหนดรู้ที่จิตให้แน่วแน่เป็นหนึ่งบริบูรณ์ ๓. เมื่อจิตรวมเป็นหนึ่งดีแล้ว ก็แผ่จิตครอบคลุมธรรมชาติแห่งความมีอยู่ทั้งหมด ๔. น้อมใจรำลึกว่า เราคือธรรมชาติ ธรรมชาติคือเรา สิ่งทั้งปวงเป็นหนึ่งเดียว ![]() และขยายใจแห่งความสุขสัมผัสสัมพันธภาพกับธรรมชาติอันกว้างใหญ่ ไพศาลแล้ว จะเริ่มเห็นได้ชัดว่าการอยู่คนเดียวนี้มีค่า ทำให้เราเป็นอิสระ เพียงพอที่จะได้ฝึกฝนและลิ้มรสความสุขอันยิ่งใหญ่นี้ได้ ![]() ทุกขณะที่นึกได้ ฝึกเป็นประจำจนเป็นนิสัย จะบังเกิดผลดีอันเป็น อัศจรรย์ตามมามากมาย ![]() เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ จิตใจกว้างขวาง ยิ่งใหญ่ เข้าใจธรรมชาติ และมนุษย์ชาติอย่างลึกซึ้ง ร่างกายจะโปร่งเบา หน้าตาอิ่มเอิบ ผิวพรรณผ่องใส กริยาท่าทางจะนุ่มนวล การพูดการจามีจังหวะจะโคน มีโทนเสียงอันเหมาะสม ชวนประทับใจ ระยะนี้จะมีเสน่ห์อย่างเอกอุ น่าเคารพ น่ารัก น่านับถือ น่าศรัทธา น่าเลื่อมใสยิ่งนัก จนต้องระวัง ![]() ได้อะไรมาก ๆ มักไม่ได้สิ่งนั้น ครั้นละวางสิ่งเหล่านั้น ว่างจากความ อยาก และพัฒนาใจอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้นแล้ว จะได้สิ่งนั้นโดยง่าย เหมือนที่โบราณกล่าวไว้ว่า -----------คนอยากมักไม่ได้ เมื่อหมดอยากแล้วจึงได้---------------- |
เจ้าของ: | คนไร้สาระ [ 21 พ.ค. 2009, 11:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จิตวิทยาแห่งการอยู่คนเดียว |
![]() พอไม่อยากได้คู่แล้ว พัฒนาใจจนมีความสุขยิ่งใหญ่ คู่ทั้งหลาย ทุกประเภท จะประดังกันเข้ามาล้อมรอบ ซึ่งมีทั้งมาดี และมาไม่ดี ![]() ย่อมเกิดบุญบารมีเพิ่มขึ้น อำนาจบุญย่อมเหนี่ยวนำให้ผู้ที่ เคยทำบุญกับเราเข้ามาหา มารู้จัก ![]() ทั้งหลายก็จะเข้ามาทวง เพราะตอนนี้มีบุญพอที่จะใช้หนี้ได้แล้ว เจ้าหนี้จะรุมกันทวงวิบากกรรมชั่วคืน ![]() ที่มีมิจฉาทิฐิเห็นว่า กามเป็นของดี มักชักชวนยั่วยวนผู้คนทั้ง หลายให้เสพกามกัน พอใครจะละกามก็จะดลใจเพศตรงข้าม มาชวน มายวนยั่วให้เลิกล้มความตั้งใจที่จะละกามเสีย และ ชวนกลับไป เสพกามใหม่ดังเดิม ![]() เลยว่าจะเจอสิ่งเหล่านี้แน่ ![]() ![]() แต่ถ้าจะเดินหน้า ก็ปฏิบัติตามดังต่อไปนี้ ![]() คู่เทียม และในบรรดาคู่แท้นั้น ใครเป็นคู่ประเภทไหน คู่กัด คู่กาม คู่กรรม คู่ธรรม หรือคู่บารมี ![]() ส่งกลับไปได้เลย ด้วยการวางเฉย หรือปฏิเสธไปอย่างเหมาะสม ![]() แล้ววินิจฉัยด้วยโยนิโสมนสิการที่จะจัดสรรเขาไว้ตามฐานะอัน สมควร แล้วตั้งมั่นที่จะพัฒนาจิตใจต่อไป ![]() กระชากลากพาใจให้กำเริบเตลิดไปในคู่ได้ ต้องก้มหน้าก้มตา ก้าวไปในพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง บางคนอาจจะอยากถามว่า ถ้าเป็นคู่กันแล้ว สำเร็จไปพร้อมกันไม่ได้หรือ ![]() ด้วยกัน และที่สำคัญต้องแยกกันปฏิบัติ เพราะหากปฏิบัติ อยู่ใกล้กันเกินไป ใจจะพะวงห่วงใย -มีต่อ- |
เจ้าของ: | แมวขาวมณี [ 22 พ.ค. 2009, 23:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จิตวิทยาแห่งการอยู่คนเดียว |
อ้างคำพูด: "ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากเธอหาคนที่ดีกว่าเธอ หรือดีเสมอเธอคบไม่ได้แล้วไซร้ เธอพึงท่องเที่ยวไปแต่เพียงลำพังผู้เดียว เสมือนนอแรด ยังประเสริฐกว่าการคบคนพาล เพราะการคบคนพาลย่อมนำไปสู่วิบัติโดยแท้" ![]() ![]() ![]() อนุโมทนาสาธุค่ะ วิเวก นำมาซึ่งสุข สงบ และเอื้อเฟื้อแก่การปฏิบัติ สาธุ |
เจ้าของ: | คนไร้สาระ [ 24 พ.ค. 2009, 04:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จิตวิทยาแห่งการอยู่คนเดียว |
ไม่ได้เอกภาพเต็มที่ จึงไม่อาจบรรลุความบริสุทธิ์สูงสุดได้ ด้วยเหตุนี้ แม้พระมหาโพธิสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ต้องแยกกันปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่ใกล้สำเร็จสภาวะสูงสุด ![]() โดยทิ้งพระชายาไว้ในพระราชวังก่อน จนกระทั่งสำเร็จ พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จึงเสด็จกลับมาโปรด ให้พระชายาสำเร็จด้วย ![]() แล้วตามประเพณี แต่เป็นผู้มีคุณธรรมสูงทั้งคู่ จึงมิได้เสพกาม กันเลย ครั้นพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก จึงชวนกันออกบวช โดยแยกกันไปปฏิบัติ พระมหากัสสปะไปปฏิบัติในสำนัก พระพุทธเจ้า ส่วนคู่ท่านไปปฏิบัติในสำนักภิกษุณี จนกระทั่ง สำเร็จอรหันต์ทั้งคู่จึงมาพบกันอีก ![]() จิตใจจึงจะเป็นเอกภาพสมบูรณ์ พร้อมที่จะบรรลุสภาวะสูงสุด ![]() อย่างไรเสียจะมีคู่หรือไม่มี ก็ต้องยินดีที่จะเรียนรู้และดูดซับคุณค่า ของการอยู่คนเดียว จึงจะได้ประโยชน์ต่อชีวิตอย่างแท้จริง ![]() ![]() ![]() ผสานสัมพันธ์กับธรรมชาติจนยิ่งใหญ่แล้ว ให้รักษาความสุข ที่เกิดขึ้นในระดับนี้ให้ได้ และทำให้ยิ่งใหญ่อย่างต่อเนื่อง นี่คือ ระหว่างการเดินเข้าสู่ความบริสุทธิ์ ![]() บนหนทางแห่งการพัฒนาจิตใจสู่ความบริสุทธิ์เท่านั้น ยังมีหนทางให้เดินอีกมาก ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสสอนศีลธรรมเบื้องต้นว่า ๑. อย่าฆ่าสัตว์หรือทำร้ายชีวิตอื่นให้มีเมตตาต่อกัน ๒. อย่าลักทรัพย์ ให้มีกรุณาเกื้อกูลกัน ๓. อย่าผิดผัว ผิดเมีย หรือลูกใคร ให้มีมุทิตาต่อกัน ๔. อย่าพูดปด พูดเพ้อเจ้อ พูดหยาบคาย หรือพูดส่อเสียด ให้มีอุเบกขากัน ๕. อย่าดื่มสุราหรือของมึนเมาต่าง ๆ ให้ดำรงอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ |
เจ้าของ: | ariyachon [ 24 พ.ค. 2009, 15:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: จิตวิทยาแห่งการอยู่คนเดียว |
ที่สุดของความรัก คือ ความเมตตา สาธุ สาธุ ครับ ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |