วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 15:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 60, 61, 62, 63, 64, 65, 66 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้าพเจ้าขอสอบถามปัญหาที่ข้าพเจ้าพบดังนี้ค่ะ ในขณะนั่งสมาธิ ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนกับมีการแยกของกายและจิต ออกเป็นส่วนต่างกัน ในหลายๆครั้งเกิดความรู้สึกว่าขณะปฏิบัติร่างกายที่นั่งอยู่ขณะนี้ไม่ใช่ของ เรา โดยจะมีจิตที่คอยดูร่างกายนี้อยู่ ซึ่งในบ้างครั้งนั้นสามารถนั่งได้ประมาณ 1.30-2 ชั่วโมงกว่า ถ้าไม่มีเหตุการณ์ภายนอกมากระทบ(เช่น ฝนตกแล้วจะเปียก เนื่องจากนั่งในที่โล่ง) ก็สามารถนั่งต่อได้อีกค่ะ ในขณะนั่งนั้นมีบ้างช่วงปวดเมื่อยขาก็ตามดูจนอากาศนั้นลดลงและไม่ปวดอีก ซึ่งทำให้ข้าพเจ้านั่งได้นาน โดยจิตมีการเคลื่อนไหวอยู่ภายในกาย โดยการนั่งนั้นยังสามารถรับรู้สิ่งภายนอกอยู่ โดยนำมาพิจารณาแต่ไม่มีเหตุที่สำคัญที่ต้องทำให้ออกจากสมาธิ เช่น ได้ยินเสียงคนพูดคุย ส่วนเหตุที่ต้องออกสมาธิเป็นเหตุการณ์สำคัญเช่น ฝนตกแล้วจะเปียกเป็นต้นค่ะ

ขอรบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยนะคะ ที่ข้าพเจ้าปฏิบัติมานั้นเป็นทางที่ถูกต้องหรือไม่ค่ะ ถ้าไม่ถูกต้องจะแก้ไขได้อย่างไรค่ะ ถ้าถูกต้องแล้วจะได้ปฏิบัติต่อไปค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

คำตอบ
ที่บอกเล่าไปเป็นปฏิปทาที่ดำเนินมาถูกทางแล้ว การเห็นด้วยจิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ ว่ากายไม่ใช่ของเรา อาการปวดเมื่อยที่ขา (ทุกขเวทนา) ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ หรือเห็นจิตเคลื่อนไหวอยู่ในกาย ฯลฯ เป็นผลทำให้จิตเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง เห็นถูกตรงตามธรรมที่เป็นจริง ............ สาธุ สิ่งที่ต้องปฏิบัติต่อไปคือ ทุกผัสสะที่เกิดขึ้นกับจิต ต้องใช้จิตตามดูจนเห็นว่า ทุกผัสสะล้วนจบลงที่ความเป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวตน นี่แหละคือสิ่งที่พระอัสสชิ กล่าวกับอุปติสสะ (พระสารีบุตร) ว่า “ ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ ตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และตรัสถึงความดับ (อนัตตา) ไว้ด้วย พระศาสดามีปกติตรัสเช่นนี้ ”

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมักฟุ้งซ่านชอบคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ เช่นถ้าผมทำอย่างนี้ได้หรือเป็นไปตามที่ผมคิดผมจะบวชหรือมีกรณีอื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมากๆก็ชอบคิดทำนองนี้ครับ แต่ขณะคิดนั้นไม่ได้ตั้งใจคิดจิตมันแวบไปเองบางทีก็เกิดขึ้นตอนกึ่งหลับกึ่ง ตื่น โดยตอนคิดนั้นไม่ได้นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธ์ใดๆเลย และบางทีผมไม่มีสติจดจ่อ ณ ขณะนั้นด้วยครับและพยายามบอกตัวเอง ณ ขณะนั้นว่าอย่าคิดแบบนี้ อยากขอเรียนถามท่านอาจารย์ ดังนี้ครับ
1. ที่ผมกล่าวมานี้เป็นเหมือนกับการบนบานหรือไม่ครับ
2. ต่อจากคำถามที่ 1 ถ้าใช่การบนบานผมสามารถถอนหรือแก้ไขอย่างไรได้บ้างครับ เพราะบางอย่างที่คิดไปมันเยอะแยะฟุ้งซ่านไปหมดครับ
- ถ้าแก้ไม่ได้จริงๆอย่างที่บอกว่าบวชถ้าผมบวชแบบนุ่งขาวห่มขาว จะถือว่าใช้ได้หรือเปล่าครับเพราะไม่ได้เจาะจงบวชแบบไหน
3. จะมีผลเสียอย่างไรบ้างหากผมไม่ได้กระทำในสิ่งที่คิดไปอย่างนั้นครับ
4. มีวิธีแก้ไขการฟุ้งซ่านแบบนี้อย่างไรบ้างครับ

สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณในความกรุณาของท่านอาจารย์ครับ
และถ้าหากกระผมทำผิดพลาดพลั้งไปด้วยกาย วาจา ใจ ต่อหน้าหรือลับหลังก็ดีกระผมขอขมาท่านอาจารย์มา ณ ที่นี้ด้วยครับ

คำตอบ
(1) ไม่ใช่เป็นการบนบาน แต่เป็นวิตกจริตที่มีอยู่ในจิตของผู้ถามปัญหา

(2) ตอบซ้ำอีกครั้งว่าไม่ใช่การบนบาน และสำหรับผู้รู้แล้วไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้ ฉะนั้นปัญหาที่ถามจึงเป็นโมฆะ

(3) ผลเสียของคนที่มีกำลังสติอ่อน คือ จิตรับสิ่งกระทบต่างๆภายนอกมาปรุงอารมณ์ได้ง่าย สิ่งกระทบไม่ดีทำให้เกิดอารมณ์ติดลบขึ้นแล้ว บาปย่อมถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตได้ง่าย

(4) ทุกสิ่งแก้ไขได้ หากพบเหตุที่แท้จริงแล้วดับเหตุนั้น หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะแก้ไข ต้องพัฒนาจิตตนเองให้มีกำลังของสติกล้าแข็ง ด้วยการเพ่งกสิณ หรือเจริญอานาปานสติ โดยมีความเพียรและสัจจะเป็นแรงสนับสนุน จะบวชแบบใดหรือไม่บวช ย่อมประพฤติได้ทั้งสองแบบ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้าพเจ้าขอสอบถามปัญหาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องดูแลพ่อซึ่งอยู่คนเดียวซึ่งข้าพเจ้าก็มีครอบครัวแต่ยังไม่มีลูก คะ และพ่อไม่ได้ทำงานข้าพเจ้าส่งเงินให้ท่านทุกเดือน สิ้นเดือนก็ซื้อข้าวของให้ทุกเดือน ข้าพเจ้ารักพ่อมากคะ อยากได้อะไรก็หาให้หมดคะ แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าพ่อของข้าพเจ้าใช้เงินที่ข้าให้ไม่เคยพอ ต้องขอเพิ่มทุกเดือนและข้าพเจ้าต้องให้เงินเกินกว่ากำหนดทุกเดือนบางเดือนก็ เกือบหมื่น ซึ่งเงินที่พ่อใช้ไปก็จะเอาไปเล่นบอลหรือหวย เล่นไพ่ เอาไปทำอย่างอื่นที่อาจไม่ดี ข้าพเจ้าก็บอกพ่อว่าอย่าเล่นได้ไหมมันไม่ดีการพนัน ท่านไม่เชื่อคะ แต่ข้าพเจ้าจะห้ามใจตัวเองอย่างไรคะ ที่จะไม่ให้เงินพ่อที่ขอเกินกว่าที่ให้ไปทำอย่างอื่น เพราะถ้าจะไม่ให้เขาพ่อก็จะโกรธ เวลาโทรไปก็พูดไมดีคะ ข้าพเจ้าลำบากใจมาก บางครั้งก็ร้องให้ไม่อยากให้พ่อโกรธ ใจก็อยากให้แต่อีกใจไม่อยากให้ท่าน จึงขออยากถามท่านว่า
1. การที่ไม่ให้เงินพ่อเมื่อท่านต้องการจะบาปไหมคะ
2. การที่ให้เงินท่านไปทำเรื่องไม่ดีข้าพเจ้าจะบาปด้วยไหม เหมือนสนับสนุน
3. การที่ดัดนิสัยท่านบาปไหมคะ ถ้าจะทำให้ท่านโกรธคะ

ขอบพระคุณท่านมากคะ

คำตอบ
(1) ไม่เป็นบาป

(2) หากรู้ว่าเงินที่ให้ไปนั้น ได้ถูกนำไปใช้ในทางที่เป็นอบายมุข ผู้ให้เงินต้องมีส่วนได้รับบาปนั้นด้วย

(3) การไม่เห็นดีด้วย หรือการไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในอกุศลกรรมของผู้ใด ไม่ถือว่าเป็นบาป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมเป็นคนนึงที่ศรัทธาในตัวอาจารย์มากและอยากจะปฎิบัติ ฝึกจิตให้นิ่งตามที่อาจารย์บรรยายสั่งสอนแต่ด้วยยังมีเรื่องทางโลกอยู่อีก ที่ต้องยุ่งเกี่ยวอยู่กับคน กับเงิน กับใจ กับกิเลสตัณหา อวิชชา ของตัวอง ก็พยายามที่จะฝึกจิตเท่าที่จะทำได้ตามเหตุปัจจัย จึงได้มีคำถามเพื่อนำมาพัฒนาปัญญาและตอบข้อสงสัยในตัวเองดังนี้ครับ

1. ตอนนี้เริ่มฝึกมาได้สักระยะนึงแล้วครับรู้สึกว่าจิตเริ่มสงบได้บ้างแต่ยัง สงบบ้างฟุ้งซ่านก็มีเยอะ ถามว่าเรามีเวลาสักเท่าไรถึงจะทำให้จิตสงบและนิ่งให้มากกว่านี้ครับ

2. บางครั้งรู้สึกว่างานที่ทำมันไม่ถูกต้อง มันยุ่งและวุ่นวาย อยากจะหนีไปหาที่สงบๆ ไม่ทราบว่าท่าน อาจารย์มีข้อควรแนะนำอย่างไรบ้าง

3. อยากลาออกจากงานไปบวช/ปฏิบัติธรรมตลอดชีวิต (แต่ยังมีความกลัวอยู่ว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ และยังห่วงพ่อกับแม่ที่ยังใช้ชีวิตที่ยังห่างไกลจากธรรมะห่วงท่านว่าหลังจาก ที่ท่านทิ้งขันธ์นี้ไป) ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์มีวิธีการเช่นไรแนะนำคนโง่ด้วยครับ

4. ไม่ทราบว่าเรื่องของการมี องค์เทพ มาคุ้มครองตัวมนุษย์ มีจริงแท้อย่างไรครับ

5. เพื่อนของผมได้โทรไปหาหมอดูคนนึง หมอดูบอกว่าตัวเขามีองค์เทพพญานาค และ องค์อื่นๆอีก และแนะให้เขาจัดพิธีบวงสรวงองค์เทพ ปีละครั้ง และควรจะระลึกบูชาองค์เทพเหล่านั้นอยู่เสมอๆเพราะว่าท่านคอยปกปักรักษาคุ้ม ครองตัวเรามาโดยตลอด และตัวเพื่อนก็ได้จัดพิธีบวงสรวงองค์เทพ ณ ศาลพระภูมิที่บ้านโดยจัดหาเครื่องบวงสรวงผลไม้อาหารคาวหวาน(แบบไม่มีเนื้อ สัตว์) นุ่งขาวห่มขาว กันทั้งครอบครัวรวมถึงตัวข้าพเจ้าก็เข้าร่วมด้วย ไม่ทราบว่าเป็นการกระทำที่อยู่ในภาวะ หลง หรือถูกผิดหรือไม่อย่างไรขออาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยครับ

6. ผมได้ฟังการบรรยายของ อาจารย์ ผ่านทาง web site กัลยาณธรรม และเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ดีและน่าจะถูกต้องตามหลักคำสอนของพุทธศาสนาจึงได้ มั่นใจที่ประฏิบัติตามคำบรรยายของอาจารย์ แต่คำถามคือว่าผมได้นำสิ่งที่ได้รับมาไปบอกกับเพื่อนใกล้ตัวให้เขาเริ่มทำ ตามอย่างที่ผมได้รับฟังมาแต่เขาก็ทำตามแต่ ยังยุ่งอยู่กับเรื่องทางโลก/ในชีวิตประจำวันของเขาอยู่อีกมาก ทำให้ผมรู้สึกว่าเราไปยัดเยียดอะไรให้เขาหรือป่าว เราจะเป็นบาปไหมครับ

7. ตอนเป็นเด็กเราทำบาปไว้มาก เช่นฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เบียดเบียนสัตว์ ลักขโมยเงินของตา ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไรได้บ้างในตอนนี้ และถ้าเราบำเพ็ญฝึกภาวนา แล้วอุทิศให้เหล่าสรรพสัตว์ บรรพบุรุษ เจ้ากรรมนายเวร ที่เราเคยล่วงเกินท่านไว้ไม้ทราบว่าเขาจะได้รับหรือไม่และเขาจะอโหสิกรรมให้ เราหรือเปล่าครับ

8. วิธีที่จะระงับ/ลด/กำจัด ความโมโห โทสะ ใจร้อน ของตัวเองได้อย่างไรบ้างครับ

**กิจอันใดอันประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ข้าพเจ้าทำแล้วเกิดเป็นบุญกุศลบารมีเกิดขึ้นผมขออุทิศแผ่ให้แก่สรรพสัตว์ ทั้งหลายที่อยู่ใน 31 ภูมิ ในวัฏฏะนี้ อันได้แก่เจ้ากรรมนายเวร บิดามารดา ญาติมิตร ศัตรู ครูบาอาจารย์ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน เทพเทวา พรหม ทั้งหลายทั้งที่มีชีวิตอยูและเสียชีวิตไปแล้วไม่ว่าท่านจะอยู่ภพไหนภูมิใดขอ ให้ได้รับทุกสรรพสัตว์เทอญ และหากกิจอันใดที่กระทำแล้วทำความทุกข์ให้แก่ใคร ผู้ใด ข้าพเจ้าขออโหสิกรรม อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย...สาธุ

ด้วยความเคารพและนอบน้อมอย่างสูง


คำตอบ
(๑) เรื่องเวลายังไม่สำคัญเท่ากับต้องมีศีล ๕ ครบถ้วนและบริสุทธิ์คุมใจให้ได้ก่อน แล้วการฝึกจิตให้สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิย่อมเกิดขึ้นได้ไม่ยากนัก

(๒) แนะนำว่า ชีวิตมีงานใหญ่ให้ทำอยู่สองงานคือ งานที่ทำให้กับสังคมส่วนรวม กับงานพัฒนาจิตตนเอง เพื่อเตรียมปัจจัยเดินทางในชีวิตหน้า ฉะนั้นพึงแบ่งเวลาให้กับงานทั้งสองและทำให้ดีที่สุดเท่าที่เวลาอำนวยให้

(๓) สิ่งที่ทิ้งไม่ได้คือ พ่อแม่ ผู้มีอุปการะต่อลูกมาก่อน จึงต้องประพฤติจริยธรรมของลูกให้ครบถ้วน แล้วความกตัญญูฯ ก็จะเกิดขึ้น ผู้ใดกตัญญูฯ ต่อผู้มีอุปการคุณ ผู้นั้นประสบความสำเร็จในการทำงานและความสำเร็จในการดำเนินชีวิตได้ง่าย

(๔) ผู้ใดประพฤติ กาย วาจา ใจ ให้เป็นผู้มีศีล มีธรรมคุ้มครอง ผู้นั้นย่อมมีเทวดาคุ้มรักษา ทำไมไม่ลองพิสูจน์ดูด้วยตัวเองล่ะ

(๕) เป็นความเห็นถูกของผู้แนะนำให้ทำเช่นนั้น แต่เป็นความเห็นผิดไปจากแนวทางของพระพุทธะ ผู้รู้ในพุทธศาสนารู้ว่า มนุษย์มีศักยภาพที่จะพัฒนาจิตวิญญาณของตนเอง ให้มีคุณธรรมเหนือเทพเจ้าใดๆได้ หากนำตัวเองเข้าไปนับถือบูชาเทพแล้ว บุคคลไม่อาจพัฒนาจิตไปสู่ความพ้นทุกข์ได้

(๖) คำว่า “ น่าจะถูกต้อง ” แสดงว่า มีสิ่งที่ผิดไปจากหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ผู้ใดนำเอาธรรมะที่บอกกล่าวไว้มาสถิตอยู่กับใจของตนเองได้แล้ว จึงจะเข้าใจชัดแจ้งในคำว่า น่าจะถูกต้อง และเช่นเดียวกัน ธรรมะของพระพุทธะจะเกิดผลเป็นจริงกับผู้ใดได้ มิใช่มาจากการยัดเยียดแต่มาจากความศรัทธา นำเอาธรรมะมาบรรจุไว้ในใจของตนให้ได้แล้ว การคิด การพูด และการกระทำของผู้นั้น จะสมบูรณ์ไปด้วยพฤติกรรมดีงาม

อนึ่งผู้ใดประพฤติยัดเยียด แล้วทำให้ผู้ถูกยัดเยียดไม่สบายใจ บาปย่อมเกิดขึ้น และตกแก่ผู้ยัดเยียดนั้น

(๗) กรรมในอดีตแก้ไขไม่ได้ แต่ปัจจุบันประพฤติอยู่แต่กุศลกรรม แล้วนำตัวเองเข้าประกอบบุญใหญ่คือ จิตตภาวนา แล้วอุทิศบุญกุศลที่เกิดขึ้นให้กับเจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตไม่ระลึกถึงเรื่องบาปที่ทำไว้แต่ครั้งอดีตได้ จะเป็นตัวชี้วัดได้อย่างหนึ่งว่า เวรที่ตามมาให้ผลทันในชาติปัจจุบันได้จบสิ้นลงแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้ากรรมนายเวรจะได้รับหรือไม่ เป็นเรื่องที่ไม่ควรคิด ไม่ควรไปตามรู้ เพราะมิได้เกิดประโยชน์ใดๆในการพัฒนาจิต

(๘) ต้องให้อภัยเป็นทานไปเรื่อยๆ ให้อภัยในทุกเรื่องที่เป็นเหตุขัดใจ แล้วเมตตาก็จะเกิดขึ้นและสั่งสมเป็นบารมีอยู่ในจิตวิญญาณของผู้ให้อภัย ผู้ใดมีเมตตาผู้นั้นสงบเย็นของอารมณ์เป็นเครื่องชี้วัด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตั้งแต่เด็กผมมักมีอาการไม่มั่นใจในตัวเอง เช่น ปิดประตูแล้วล็อกกลอนแล้ว แต่พอเดินออกมากลับรู้สึกไม่มั่นใจว่า ได้ล็อกไปแล้วหรือยัง ส่งผลให้ตวเองต้องเดินกลับไปเช็คแล้วเช็คอีก บางทีตรวจสอบหลายครั้งเป็นสิบครั้งก็ยังมี รู้สึกถึงความไม่มั่นใจในตัวเองที่ ตัวเองเห็นแล้วรู้สึกสงสารตัวเอง

ความมั่นใจแบบนี้ยังส่งผลกับสิ่งอื่นๆในชีวิตครับ ไม่ว่าจะการงาน หรือการใช้ชีวิตทั่วไป ทำให้ผมสงสัยทุกสิ่งทุกอย่าง ในชีวิต เช่น จะขึ้นรถลงเรือ บางทียังสงสัยว่าเราขึ้นผิดหรือไม่ ทำงานก็ลังเลตรวจสอบอยู่จนอนาถใจตัวเอง

ปัจจุบันนี้ผมหันมาฝึกดูจิต เวลาที่อาการรากเง่าของความไม่มั่นใจนี้เกิด ผมพอที่จะเกิดความรู้สึกตัวขึ้นมาได้ แต่ก็แพ้กิเลสและความปรุงแต่งในใจตัวเอง หลงเข้าไปกลุ้มใจอีก

ท่านอาจารย์ครับ เหตุที่ทำให้ผมไร้ความมั่นใจนี้คืออะไรครับ? ทางที่ผมปฏิบัติคือการดูจิตที่ทำอยู่นี้ จะเป็นเหตุให้ชนะสภาพการปรุงแต่งที่หลอกหลอนจิตใจผมได้หรือไมครับ?

กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ

คำตอบ
คำว่า “ สติ ” หมายถึง ระลึกได้ นึกได้ ไม่ลืม ส่วนคำว่า “ สัมปชัญญะ ” หมายถึง ความรู้ตัวอยู่เสมอ (ปัญญา)

ผู้ใดมีกำลังของสติอ่อนและกำลังของสัมปชัญญะอ่อน ย่อมระลึกไม่ได้และไม่รู้ว่าได้ทำอะไรไปแล้ว ดังนั้นความไม่มั่นใจจึงเป็นเหตุมาจาก จิตมีกำลังของสติสัมปชัญญะอ่อน

วิธีแก้ไขคือ ต้องพัฒนาจิตให้มีศีล ๕ คุมอยู่ทุกขณะตื่นให้ได้ก่อน แล้วนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม แล้วโอกาสหมดไปของปัญหาจึงจะเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ทราบว่าถ้าตั้งไว้ว่าจะถือศีลแปด
อยากถามว่าการอ่านการ์ตูนทำให้ศีลแปดขาดรึเปล่า

ขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
การอ่านหนังสือการ์ตูน มิได้ทำให้ศีลแปดบกพร่อง แต่หากอ่านหนังสือการ์ตูนแล้ว ทำให้จิตคิดอยากร่วมประเวณี หรืออยากแต่งตัวสวยงาม ถือว่าศีลแปดไม่บริสุทธิ์

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเคยสวดมนต์ทำวัตรเย็น
พอถึงบท พุทธาิภิคีติง, ธรรมาภิคีติง, สังฆาภิคีติง
ในตอนท้ายบท จะมีบทสวดว่า
"นัตถิเม สะระณัง อันยัง พุทโธเม สะระณัง วะรัง ..."
"นัตถิเม สะระณัง อันยัง ธัมโมเม สะระณัง วะรัง ..."
"นัตถิเม สะระณัง อันยัง สังโฆเม สะระณัง วะรัง ..."
ซึ่งหมายความถึงว่า
"ข้าพเจ้าจะไม่ถือสิ่งอื่นใดเป็นสรณะ นอกจาก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์..."

ซึ่งผมได้ยึดถือปฏิบัติ หลังจากที่ได้เริ่มสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น และทำความเข้าใจกับความหมายของบทสวด และผมก็ได้เลิกการกราบไหว้บูชาเทพเจ้า ตี่จู้เอี๊ย ศาลพระภูมิ....

ต่อมาผมได้อ่านหนังสือ สนทนาภาษาธรรม ที่ท่านอาจารย์ได้กรุณาตอบคำถาม และมีบางข้อได้กล่าวถึงการบูชาคุณของเทวดา ว่าเป็นการระลึกถึงคุณงามความดีของผู้ที่ปฏิบัติจนได้เกิดมาเป็นเทวดา แต่ผมไม่สามารถหาคำตอบที่จะอธิบายเกี่ยวกับ รูปแบบหรือรายละเอียดการบูชาคุณของเทวดา

ทุกวันนี้ผมบูชาพระรัตนตรัย ด้วยปฏิบัติบูชาเท่านั้น คือ การสวดมนต์ และฝึกสติ จึงรู้สึกเคอะเขินที่จะบูชาคุณเทวดา ด้วยอามิสบูชา

จึงใคร่จะขอความกรุณาจากท่านอาจารย์สนอง ช่วยอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบหรือวิธีการบูชาคุณเทวดา ว่าสมควรปฏิบัติอย่างไร?? จำเป็นต้องมีการบูชาด้วยอาหาร ดอกไม้ หรือสิ่งอื่นๆ หรือไม่? หากไม่จำเป็น ควรจะทำการปฏิสันถารกับท่านอย่างไร จึงจะเหมาะสมครับ?



คำตอบ
คำว่า “ บูชา ” หมายถึง แสดงความเคารพ ส่วนคำว่า “ ที่พึ่ง ” หมายถึง ผู้คุ้มครองช่วยเหลือ

ฉะนั้นการบูชาเทวดาด้วยอามิสเช่น อาหาร ดอกไม้ วัตถุใดๆ ฯลฯ ย่อมทำได้ แต่ต้องไม่เอาเทวดามาเป็นที่พึ่ง เพราะมนุษย์มีศักยภาพที่จะพัฒนาจิตตนเองให้มีคุณธรรมเหนือกว่าเทวดาได้ คือเอาธรรมะมาคุ้มครองช่วยเหลือตนเองนั้นดีที่สุด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Thanks Archan so much for answering my questions. I used to ask archarn at question number 1057. I didn't tell my husband yet about what Archarn suggested me to ask him because since then he has never had peaceful mind. He's so angry at me and everyone in my family. I really don't understand why he has his temper at me and everyone in my family now, he get upset with everything even no one even say anything bad to him. my mother and father is good to him but he always think they think of him bad thing and he always says my parent hate him and I know verywell that my parents don't hate him. The situation is the worst now. All of sudden he burst his temper again yesterday without no one say anything he walked to my sister and yelled and said bad things to her and her husband and of course my sister answered bad thing back too. he get really upset and angry at everyone in my family. he walked away from the house and told me he'll never be back here again and he wants to die soon. I tried to give him some money because he has nothing in his pocket but he denied, he said he wouldn't eat food, he want to die soon. I want to ask archarn that why is he acting this way? what does he want? I really don't understand him, I am not angry at him or never say bad thing to him, I always say only good thing to him but he always says I am bad. what I want the most now I want him to be happy to have normal life even he leaves me I want the best for him. I am willing to give him every money I have and willing to borrow some from my friend to give him so he can start his life all over again without me but he doesn't accept that. He always say he wants to die and blame everything on me. He said I should blame my parents because of my parents this situation happened but how can I blame them as they do nothing wrong. They have done the best on their part. Now I don't know where he is he left home with his bicycle and some stuff like shamphoo and this....Here are what I want to ask Archarn

1. is it possible to make him understand what he did is very wrong? and is it possible to get him back? I really feel sympathy of him now, I am not angry at him but I want him to start his life again, is it possible to help him? I would like archarn to suggest me how to tell him when he's angry like this. What should I tell him to make him realize that what he does is destroying himself?

2. does everyone in my family including me did bad thing to him in the previous life? if so what should we do to make him forgive us? will he come back to me again?

3. I don't want bad thing happen to him. I am so worried that something bad will happen to him. Does Archarn know where would he go? what should I do to make the situation better?

Sorry to bother Archarn again and thanks for your advise

คำตอบ
(๑) ไม่มีใครผู้ใดจะทำให้เขากลับมามีความเห็นถูกได้ เว้นไว้แต่ว่า เขา (สามี) ต้องเปลี่ยนความเห็นผิดให้กลับมาเป็นผู้มีความเห็นถูกด้วยตัวของเขาเอง และหากเมื่อใดที่อกุศลวิบากที่เขากำลังเสวยอยู่ได้รับการชดใช้จนหมดสิ้น เมื่อนั้นเขาจึงจะกลับมาสู่สังคมแห่งความเห็นถูกได้

ผู้ถามปัญหาสงสารเขาและไม่โกรธตอบผู้ผูกโกรธได้ นั่นเป็นสิ่งที่นักปราชญ์สรรเสริญ การคิดหวังให้เขากลับมาเป็นสิ่งที่ไม่ผิด แต่เขาจะกลับมาหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของเขา เขาต้องเปลี่ยนใจด้วยตัวของเขาเอง

หากผู้ถามปัญหาคิดจะช่วยเหลือเขาผู้มากไปด้วยความผูก โกรธ และเชื่อว่ากฎไตรลักษณ์มีอยู่จริง ต้องยอมรับว่า ความโกรธของเขาย่อมดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์เช่นกัน เมื่อใดความโกรธของเขาเข้าสู่ความเป็นอนัตตา คือความโกรธไม่ใช่ตัวตน ขณะนั้นอารมณ์ของเขาย่อมสงบ ในห้วงเวลาขณะนั้น คำถามที่เคยบอกมาครั้งก่อน จึงจะนำไปใช้กับเขาได้

(๒) ผู้ใดเชื่อในกฎแห่งกรรมว่า “ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ” ต้องยอมรับความจริงว่า เขาเคยทำเหตุให้ผู้ถามปัญหาและครอบครัวต้องผูกโกรธมาก่อน เมื่อใดกรรมที่เป็นเวรให้ผล เขาจึงต้องรับอกุศลวิบากด้วยตัวของเขาเอง และต้องชดใช้หนี้เวรกรรมจนกว่าจะหมดสิ้น ในที่สุดหากไม่ทิ้งลาโลกไปเสียก่อน โอกาสพบกันอีกในชีวิตนี้ย่อมเป็นไปได้

(๓) เขาไปตามแรงผลักดันของกรรม ดีที่สุดผู้อยู่หลังพึงประกอบบุญใหญ่ด้วยการเจริญจิตตภาวนา แล้วอุทิศบุญเจาะจงให้เขาอยู่เสมอ นั่นจึงเป็นวิธีดีที่สุดที่บุคคลพึงกระทำได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. เรื่องการนำใบอนุโมทนาบัตรไปลดหย่อนภาษี อาจารย์บอกว่า "ได้บุญไม่เต็มร้อยเพราะมีเจตนาจะได้เงินกลับคืนมาส่วนหนึ่ง" คำถามคือ ถ้าหากดิฉันนำเงินที่ได้จากการลดหย่อนภาษีดังกล่าวไปทำบุญทั้งหมด เช่น ซื้อหนังสือ/ร่วมจัดพิมพ์หนังสือธรรมมะ เพื่อแจกเป็นธรรมทาน หรือ ซื้อหลอดไฟไปถวายวัด อย่างนี้ยังจะได้บุญไม่เต็มร้อยอยู่หรือไม่คะ

2. การบริจาคโลหิต การแจกหนังสือธรรมะ การบริจาคเงินจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการจัดสร้างสถานที่ปฏิบัติกรรมฐาน เป็นทานแก่คนส่วนใหญ่ได้รับผลบุญประมาณใด ถือว่าเป็น "การสร้างมหาทาน" หรือไม่

3. จากการที่มีวัดหลายแห่งได้บอกบุญมาก เช่น สร้างโบสถ์ สร้างพระประธาน ที่ลงข้อความบอกบุญตามหนังสือหรือแหล่งประชาสัมพันธ์ทั่วๆ ไป หากดิฉันไม่เคยรู้จัดวัด หรือ พระสงฆ์ ที่ลงประชาสัมพันธ์บอกบุญดังกล่าวมาก่อน (ไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่า เพราะมีการหลอกลวงอยู่เยอะในปัจจุบัน) แต่ดิฉันมีศรัทธาและอยากได้บุญกุศลจากการจัดสร้างวัตถุเหล่านั้น หากได้บริจาคเงินไปเพื่อการดังกล่าวดิฉันจะได้บุญมากน้อยเพียงใด

4. เนื่องจากดิฉันมีความประสงค์จะสะสมบุญแก่ตนเองให้เพิ่มมากขึ้นจึงพยายามทำ กุศลทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการบริจารทาน การทำบุญ การพยายามเข้าปฏิบัติธรรมและรักษาศีล 5 ดิฉันเข้าใจความอยากได้บุญถือเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง เพราะอยากจะได้อยู่ แล้วอย่างนี้จะได้บุญสมความปราถนาหรือไม่คะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
(๑) หากนำเงินที่ได้กลับคืนมา ไปร่วมจัดพิมพ์หนังสือธรรมะเผยแพร่เป็นธรรมทาน จะได้บุญมากกว่าเงินที่ได้จากการลดหย่อนภาษี เพราะธรรมทานเป็นทานที่ให้อานิสงค์สูงสุด แต่หากนำเงินที่ได้กลับคืนมาไปใช้ในเรื่องของสาธารณประโยชน์ เช่น ซื้อหลอดไฟฟ้าถวายวัด อย่างนี้จึงจะถือว่าได้เติมบุญให้เต็มร้อย

(๒) การบริจาคโลหิตเป็นทานอุปบารมี การแจกหนังสือธรรมะเป็นมหาทานแก่คนหมู่มาก การบริจาคเงินซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการสร้างสถานปฏิบัติธรรม ฯลฯ เหล่านี้เป็นบุญที่ให้อานิสงค์สูงสุดไม่เกินสวรรค์สมบัติ

(๓) หากผู้ถามปัญหามีศรัทธาในการทำบุญ และได้บริจาคเงินไปเพื่อการดังกล่าว โดยมิได้คิดต่อเนื่องไปว่า เป็นการบอกบุญที่หลอกลวงหรือไม่ อย่างนี้ถือว่าได้บุญเต็มร้อย ส่วนที่ถามว่าจะได้บุญมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ กำลังความศรัทธาก่อนบริจาค ความตั้งใจขณะบริจาค ความสบายใจเมื่อได้บริจาคแล้ว หากปัจจัยทั้งสามมีกำลังมาก ผู้บริจาคย่อมได้บุญมาก

(๔) คำว่า “ บุญ ” หมายถึง ความดี กุศล ความสุข และบุญยังเป็นเครื่องชำระกาย วาว ใจ ให้สะอาด ฉะนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นกิเลส บุคคลใดประสงค์จะได้บุญต้องประพฤติตามบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ และหากผู้ใดพัฒนาจิตจนบรรลุอริยธรรมสูงสุดได้ ผู้นั้นจะมีจิตเป็นอิสระจากบุญและบาปทั้งปวงได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้หนูมีคนที่กำลังคบหาดูใจอยู่ ซึ่งเค้ามีอาชีพทำประมง หนูพยายามบอกเค้าหลายครั้งว่า ให้เลิกทำเถอะ มันบาป แต่เค้าก็ให้เหตุผลว่า ไม่ทำแล้วจะเอาอะไรกิน ยังไม่มีเงินเก็บที่จะพอสร้างเนื้อสร้างตัวได้เลย แล้วอีกอย่างเศรษฐกิจตอนนี้ก็ไม่ดีด้วย พูดกับเค้าหลายๆครั้งหนูก็เริ่มจนปัญญาแล้วค่ะ อาจจะเป็นเพราะนี่เป็นอาชีพมรดกที่ทำมาตั้งแต่รุ่นพ่อแล้ว มีกิจการที่ค่อนข้างจะอยู่ตัวแล้ว แล้วอีกอย่างเค้าก็มีความตั้งใจที่จะทำอาชีพนี้จริงๆ พอศีลข้อ ๑ ยังไม่ลงตัวก็มาศีลข้อ ๓ อีก คือเค้ามีความต้องการในทางกามมาก หนูก็บอกว่า รอแต่งงานก่อนไม่ได้เหรอ ตอนนี้หนูก็ยังอยู่กับพ่อแม่ เค้าก็ไม่ยอมค่ะ บอกแต่ว่าเค้าเป็นผู้ชายนะ มีความรู้สึก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุยมานานมากๆค่ะ ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ลงตัว ไม่ว่าจะเป็นศีลข้อ ๑ หรือ ๓ หนูก็อยากให้เค้ารักษาศีล ๕ ถึงตัวหนูเองอาจจะมีความบกพร่องในศีลอยู่บ้าง แต่ก็พยายามแก้ไขอยู่ ส่วนเค้าทั้งที่บวชมาแล้วหลายพรรษาแต่เหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเลยค่ะ พอหนูพูดอะไรที่เกี่ยวกับธรรมะเข้าหน่อย ก็บอกให้หนูไปบวช แค่ถือศีล๕ก็ขึ้นสวรรค์แล้ว พูดมาแบบนี้หนูก็งงเลย ว่าที่หนูพูดๆไปมันไม่ใช่ศีล๕ตรงไหน แล้วศีล ๕ มันก็เป็นศีลของฆาราวาสอยู่แล้ว ไม่ต้องไปบวชก็ถือได้

คำถาม
๑ อยากทราบว่า พอมีวิธีใดไหมค่ะ ที่จะให้เค้าเลิกทำประมง
๒ พอมีวิธีไหนที่เค้าจะยอมรับ โดยไม่มีอะไรก่อนแต่ง ได้มั้ยค่ะ

กรุณาช่วยตอบคำถามด้วยนะคะ ขอขอบพระคุณมากค่ะ

คำตอบ
(๑) พระพุทธะมิได้สอนให้ไปแก้ปัญหาที่ผู้อื่น แต่สอนให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง ฉะนั้นเมื่อแสดงเหตุผลให้เห็นว่า อาชีพทำประมงเป็นอาชีพที่ประพฤติผิดศีลข้อที่หนึ่ง ผลที่จะเกิดตามมาคือ เป็นการสร้างเหตุนำพาชีวิตลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในภพนรก หากชี้แจงแล้วเขาไม่เห็นด้วย มีอยู่ทางเดียวคือ ปล่อยเขาไปตามกรรม เพราะชีวิตเป็นของเขาที่ต้องบริหารจัดการด้วยตัวของเขาเอง

(๒) ปัญหาที่ถามไปเป็นปัญหาที่สวนทางธรรม จึงไม่มีวิธีใดที่จะเสนอให้ไปแก้ไขที่คนอื่น ดังนั้นเรื่องนี้จึงตกอยู่กับตัวของผู้ถามปัญหาเองว่า จะเอาตัวเองเข้าไปร่วมประพฤติทุศีลข้อสามกับเขาหรือไม่ หากไม่กลัวนรกแล้วประพฤติตามข้อเสนอของเขา ยมโลกที่เรียกนรกขุมนั้นว่า สิมพลีนรก ได้เปิดรอรับคุณและเขาเข้าร่วมเป็นสมาชิกปีนป่ายต้นงิ้วแน่นอน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันติดตามฟังเทปการบรรยายของท่านมาโดยตลอด มีอย่ตอนหนึ่งท่านบอกว่า ลงมาจากเครื่งบินก็ได้รับโทรศัพท์ถามมาว่าจะทำอย่างไรดีเพราะเป็นหนี้อยู่ หลายล้าน ท่านได้บอกเขาไปว่าให้มาหา และเวลานี้เขาได้ใช้หนี้หมดแล้ว แต่ท่านมิได้นำมาบรรยายว่าทำอย่างไรค่ะ ดิฉันมีความทุกข์มาก เพราะต้องรับภาระอย่างหนักพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้หนี้สินเบาบางลง ทุกวันนี้จนไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรแล้วเงินทุนก็ไม่มีที่จะทำอะไรได้ หนี้ดิฉันเกิดจากการทำธุระกิจหลังปี พ.ศ ที่ฟองสบู่แตก หนี้ ๔,๐๐๐,๐๐๐.บาท ดิฉันควรจะปฎิบัติ อย่างไร เพื่อให้ลูกหลานได้เหลือบ้าน อยู่อาศัย.

ขอขอบพระคูณท่านอย่างสูง ที่ท่านจะกรุณาช่วยแนะให้ชีวิตดิฉันหลุดจากความทุกข์ได้โดยทางปฎิบัติที่ ท่านจะชี้แนะ



คำตอบ
ผู้ใดไม่โลภผู้นั้นไม่เสีย เสียเงินด้วยการเป็นหนี้มีความโลภเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิด ฉะนั้นต้องแก้ไขที่ใจไม่ให้เป็นทาสของความโลภให้ได้ก่อน ด้วยการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งตามดูความโลภว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อความโลภหมุนเข้าสู่ความเป็นอนัตตา จิตจะเห็นแจ้งว่าความโลภไม่ใช่ตัวตน จิตจะปล่อยวางแล้วเป็นอิสระจากความโลภได้ หลังจากนั้นจึงค่อยมาผ่อนใช้หนี้กรรมเท่าที่ตนสามารถทำได้ ผ่อนใช้หนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดหนี้

หลังจากนั้นต้องพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีดวงดี ด้วยการให้ทรัพย์เป็นอยู่เสมอ แล้วทำใจให้มีศีล ๕ คุมอยู่ทุกขณะตื่น หลังจากนั้นบำเพ็ญจิตตภาวนาก่อนนอนทุกวัน และอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้งที่บำเพ็ญจิตตภาวนาแล้วเสร็จ เมื่อใดที่บุญให้ผล มนุษย์สมบัติย่อมเกิดขึ้นกับผู้มีบุญ คนมีบุญไม่แคล้วคลาดจากการมีบ้านอยู่อาศัย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูอายุ 24 ปีค่ะ ตอนนี้หนูทำงานแล้วและสามารถช่วยเหลือภาระหน้าที่ของทางบ้านได้ด้วย แต่ตอนนี้มีปัญหาหนักค่ะ เนื่องจากพ่อได้ไปสร้างหนี้สินไว้จำนวนหนึ่งแล้วพ่อกลับมาโบ้ยหนี้สินบาง ส่วนเพื่อให้แม่ช่วยชดใช้ ซึ่งแม่ก็ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นด้วยเลย ต้องบอกก่อนนะคะว่าพ่อหนูนั้นชอบกินเหล้า เล่นหวย ซึ่งบางทีเค้าก็ต้องกินทุกวันและอีกอย่างช่วงชีวิตหนึ่งพ่อเคยทิ้งหนูและแม่ ไปประมาณ 5 ปีค่ะ เค้าปล่อยให้หนูและแม่และน้องอยู่กันเอง ยังดีที่หนูมีป้า ยาย ที่ช่วยส่งเสียหนูเรียนมาโดยตลอด ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้หนูไม่ค่อยรู้สึกผูกพันกับพ่อเท่าไร หนูรักแม่มากค่ะ จะเรียกว่ารักมากกว่าพ่อก็ได้ บางทีเมื่อพ่อทำไม่ดี หนูก็อดที่จะบ่นและตัดพ้อเสียไม่ได้ ตอนนี้พ่อได้สร้างปัญหาเข้าบ้านเยอะเหลือเกินค่ะ แม่ก็เครียดมากขึ้นทุกวัน หนูสงสารแม่ค่ะ หนูจะแบกรับหนี้สินนั้นไว้เพื่อที่จะแบ่งเบาความเครียดของแม่ค่ะ

อยากถามว่า...

1. การที่หนูชอบบ่นพ่อแล้วตัดพ้อนั้นมันบาปมั้ยคะ แต่หนูไม่เคยใช้ถ้อยคำหยาบคาย เพืยงแต่ตัดพ้อเพราะความไม่เข้าใจในตัวพ่อ
2. หนูมักจะคิดว่าป้าคือผู้ที่มีพระคุณกลับหนูมากกว่าพ่อด้วยซ้ำ เพราะป้าส่งเสียหนูเรียนและช่วยหนู แม่ และน้องเวลาลำบากอยู่เสมอ ถ้าหนูคิดแบบนี้หนูบาปมั้ยคะ
3. บางทีหนูก็ท้อแท้กลับการช่วยแบกรับหนี้สินนั้น เพราะหนูอยากมีเงินเก็บเพื่อใช้ในอนาคต แต่ก็ไม่เคยเก็บได้เลย อยากถามว่าหนูจะทำยังไงดีคะเพื่อให้ตัวเองไม่รุ้สึกว่าเสียดายเงินและรู้สึก โกรธพ่อทุกครั้งไปที่ชอบนำปัญหาเข้ามาในบ้าน


สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบพระคุณอาจารย์ที่กรุณาเสียเวลามาช่วยไขคำตอบให้กับหนูนะคะ ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ...

คำตอบ
(๑) การพูดบ่นว่าพ่อผู้มีอุปการะแก่ตนมาก่อน เป็นวจีกรรมที่ให้ผลเป็นบาป แต่ยังไม่บาปเท่ากับการพูดด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย

(๒) บุคคลใดคิดถึงพระคุณของป้าว่ามีมากกว่าพ่อ ความคิดเช่นนี้ไม่เป็นบาป เมื่อคิดแล้วหากได้ตอบแทนพระคุณของท่าน จึงจะถือว่าได้บุญ

(๓) ผู้ใดศรัทธาในพุทธวจนะว่า “ ทรัพย์ภายนอกเป็นสมบัติกำพร้า เป็นของสาธารณะแก่โจร แก่น้ำ แก่ไฟ ฯลฯ และทรัพย์ยังเป็นเหมือนงูพิษ หากนำจิตตนเองเข้าไปผูกติดเป็นทาสของทรัพย์ ปัญหาเรื่องความอยากมีทรัพย์ก็จะลดลงหรือหมดไป แล้วจะเห็นว่าทรัพย์เป็นสิ่งสมมุติชั่วคราว มีไว้เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์กับชีวิต จึงได้ประโยชน์จากการใช้ทรัพย์ แต่มีจิตไม่เป็นทาสของความอยากมีทรัพย์ หากรู้เห็นถูกตรงเช่นนี้แล้ว จิตจึงจะเป็นอิสระจากการเป็นทาสของทรัพย์ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูขอความเมตตาจากอาจารย์ ช่วยแนะนำวิธีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของหนูด้วยค่ะ

คุณพ่อของหนูอายุ 81 ปีค่ะ ส่วนคุณแม่เสียไปประมาณ 20 กว่าปีแล้ว มีพี่น้องทั้งหมด 8 คน เป็นหญิง 7 ชาย 1 ค่ะ ที่บ้านเป็นร้านค้าเล็ก ๆ พี่สาวของหนูจะเป็นคนดูแลทั้งร้านค้า และพ่อหนู ในวันธรรมดา ส่วนวันหยุด ก็จะมีหนูและพี่สาวอีกคน อยู่ช่วยกันดูแล พ่อหนูมีสุขภาพแข็งแรงค่ะ แต่มีอาการสมองเสื่อม ซึ่งก็ยัง ไม่มี อะไรรุนแรง จนกระทั่งเมื่อวันปีใหม่ที่ผ่านมา ได้รับปฏิทินรูปโป๊ เมื่อดูแล้วก็เกิดอาการ จึงฉวยโอกาสลวนลามพี่สาวหนู เมื่ออยู่กันตามลำพัง โดยพูดจาโน้มน้าวให้พี่สาวหนูเป็นลูกที่ดี และยอมตามใจเค้า พร้อมทั้งพูดทำนองว่าถ้าขัดใจ เค้าจะทานยานอนหลับให้ตายไปเลยค่ะ แต่พี่สาวหนูไม่ยอม คืนนั้นเค้าจึงทานยานอนหลับตามที่ได้ขู่ไว้ และตอนเช้าพวกเราก็ได้พาส่งโรงพยาบาล และก็ไม่เป็นอะไรค่ะ เมื่อเล่าอาการให้คุณหมอฟัง คุณหมอก็ได้ให้ยามารักษาอาการค่ะ รบกวนถาม อาจารย์ ดังนี้ค่ะ

1) มีคำอธิบายทางวิชาการว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นหนึ่งในอาการสมองเสื่อม สามารถรักษาโดยการทานยา ซึ่งหนูก็บอกกับพี่น้องทุกคนว่า ให้มองว่าการกระทำที่เกิดขึ้น เพราะว่าเค้าเป็นคนป่วย ไม่ใช่ว่าเค้าเป็นคนไม่ดี หนูคิดอย่างนั้น ถูกต้องรึเปล่าคะ

2) ถ้าพ่อหนู เค้าต้องตายไปจริง ๆ พวกหนูจะบาปรึเปล่าคะ ที่ไม่ได้ตามใจเค้า แม้ว่าเค้าจะขู่ และก็ทำจริงก็ตาม

3) พ่อของหนู ได้เคยทะเลาะกับคุณปู่ สมัยที่พวกหนูยังเล็ก ๆ กันอยู่ และหลังจากนั้นก็ไม่นับถือพ่อของตัวเอง และไม่พูดกันอีกเลย พร้อมทั้งสั่งสอนพวกหนู ไม่ให้เคารพคุณปู่ด้วยเช่นกัน แต่พวกหนูยังดีที่มีแม่คอยสั่งสอนให้เป็นคนดีค่ะ พวกหนูพยายามที่จะทำตัวดี ๆ กับเค้า และหลีกเลี่ยงปัญหาต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เค้าต้องได้รับผลกรรมที่ได้เคยทำไว้ แต่ปัจจุบันสิ่งที่เค้าทำ ทำให้พวกหนูรู้สึกหมดความนับถือไปค่ะ หรือว่าเป็นเพราะกฎแห่งกรรม จึงทำให้ต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกหนูควรจะปรับตัวปรับใจอย่างไรดีคะ

กราบขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์อย่างยิ่งค่ะ

คำตอบ
(๑) ถูกตามที่คิด แต่ไม่ถูกตามกฎแห่งกรรม คือจิตสำนึกที่เป็นมนุสฺสติรัจฉาโน ได้แสดงออกเมื่อขาดสติสัมปชัญญะคุมใจ

(๒) บาปเกิดขึ้นกับผู้มีจิตเป็นทาสของอกุศลกรรม ผู้ใดไม่เอากายและใจเข้าไปร่วมประพฤติในกรรมที่เป็นอกุศล ผู้นั้นไม่บาป

(๓) ปรับตัวด้วยการไม่เอากายไปร่วมประพฤติอกุศลกรรมกับเขา และปรับใจด้วยการไม่เห็นดีด้วยกับความประพฤติแบบเขา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1 ไม่อยากให้คนอื่นอ่านใจเราได้ต้องทำอย่างไรคะ เพราะเวลาไปสถานปฏิบัติธรรมจากจำนวนคนหลายร้อยคนจะมีคนคอยอ่านใจหนูอยู่เสมอ หนูแปลกใจมากว่าตั้งหลายร้อยคนเขาเข้ามาอ่านใจเราได้อย่างไร หรือความคิดของเรามันดังหรือแรงกว่าของคนอื่นคะ เวลาหนูคิดอะไรถึงเขาเขาก็รุ้ได้ค่ะ บางคนที่เขาไม่อยู่ณตอนนั้น แต่พอกลับมาเขาก็รู้ว่าเราคิดกับเขาอย่างไร เขามีวิธีทำอย่างไรคะ อาจารย์หนูเคยบอกว่า คนที่จิตสูงกว่าจะรู้ใจคนที่จิตต่ำกว่าจริงไหมคะ ถ้าหนูเจออาจารย์สนอง หนูจะไม่มีทางปิดความคิดหนูได้เลยใช่ไหมคะ เพราะอาจารย์มีจิตที่สูงกว่าหนูมากๆ ตอนไปฟังธรรมเห็นอาจารย์กวาดสายตามองคนที่ไปฟังอย่างตั้งใจ อาจารย์กำลังตรวจสอบคนที่มาใช่ไหมคะ

หนูเคยไปดูหมอดูตาทิพย์แบบที่อาจารย์ไปดูที่เชียงใหม่ ปรากฏว่าเขาดูหนูไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าบ้านเป็นอย่างไรอยู่ที่ไหนมีใครบ้างเหมือนที่ดูให้คนอื่น แม้แต่ทำนายดวงก็ทำไม่ได้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่ทำไมเขาถึงดูคนอื่นได้ล่ะคะแล้วดูถูกต้องแต่ทำนายก็มีผิดบ้างค่ะ

2 หนูทำกรรมฐานพองหนอยุบหนอ ทำไปแล้วคำบริกรรมหายไปรู้สึกโล่งดี ก็นั่งดูกายไปเงียบๆจนสมาธิคลายไป หนูทำถูกหรือไม่ เพราะหนูคิดว่าการกลับไปบริกรรมอีกทำให้เกิดความคิด แล้วมันไม่โล่งเหมือนมันมีห่วง เหมือนมันกลับมาเริ่มต้นใหม่ แต่ถ้านั่งดูท้องพองยุบไปเฉยๆโดยไม่บริกรรมกลับทำให้ไม่มีความคิดโล่งโปร่ง ไปหมด คิดรู้ว่าคิดแล้วมันก็หายไป ปวดเมื่อยก็รู้แต่มันไม่เข้ามาถึงจิตไม่ทรมาน ถ้าคำบริกรรมหายไปเราควรทำอย่างไรคะ และถ้ากายกับจิตแยกกันแล้วเราจำเป็นหรือไม่ที่ต้องบริกรรมอีก หนูคิดว่าคำบริกรรมทำให้จิตนี่ง เมื่อจิตนิ่งก็มีพลัง และไม่ต้องกลับมาใช้คำบริกรรมอีก หนูคิดถูกหรือเปล่าคะ อย่างอาจารย์สนองหรือพระอริยะเจ้านั้นแยกกายจิตอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่าคะ เพราะหนูเคยถึงสภาวะนี้หลายครั้งสักพักมันก็กลับมารวมกันใหม่อีกเราไม่เห็น การแยกที่ชัดเจนแบบนั้นอีกแล้ว

3 หนูเคยไปปฏิบัติธรรม3วันเป็นครั้งแรกของชีวิต พอกลับมาได้ยินแต่เสียงสวดมนต์เป็นพักๆอยู่ตลอด ไม่เลือกเวลา อยู่ดีๆก็มีเสียงลอยมา หนูยังทำไม่ค่อยเป็นก็ไม่ได้กำหนดเลยด่ากลับไปเลย เสียงเลยหายไปเลยค่ะ แล้วก็ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆหรือเห็นอะไรแปลกๆ ไม่ใช่ตอนหลับหรือตอนทำสมาธินะคะ แต่เป็นตอนที่ตื่นอยู่มีสติสัมปชัญญะเต็มที่ เห็นเป็นเวลาหลายนาทีมากๆ บอกให้คนอื่นดูเขาก็ไม่เห็นอะไร ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นคะ คือจะบอกว่าง่วงนอน ไม่สบายหรือสายตาไม่ดีก็ไม่ใช่ค่ะ เพราะเป็นคนสายตาปกติ เป็นอยู่4-5เดือนค่ะ ทำไมจึงเป็นเช่นนี้นคะ แต่ตอนนี้ผ่านมาหลายปีไม่เห็นอะไรแล้วค่ะ แล้วก็ไม่ได้อยากเห็นด้วย

ขอกราบขอบพระคุณสำหรับคำตอบค่ะ

ขอแสดงความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
(๑) บุคคลพูดดีหรือพูดไม่ดี สามารถรู้ได้ด้วยการสัมผัสของระบบประสาททางหู บุคคลทำดีหรือทำไม่ดี สามารถรู้ได้ด้วยการสัมผัสของระบบประสาททางตา และบุคคลคิดดีหรือคิดไม่ดี สามารถรู้ได้ด้วยเจโตปริยญาณของจิตที่พัฒนาได้แล้ว

ผู้ใดประพฤติสมถภาวนา จนจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ (อัปปนาสมาธิ) ได้แล้ว สมาธิระดับนี้ถูกสมมุติเรียกว่า ฌาน เมื่อนำจิตออกจากฌานโลกิยอภิญญา โดยเฉพาะเจโตปริยญาณย่อมเกิดขึ้นได้ และไม่มีผู้ใดสามารถปกปิดความคิดให้พ้นไปจากการล่วงรู้ของผู้มีสภาวะจิตเช่น นี้ได้ ด้วยเหตุนี้การที่ผู้บรรยายกวาดสายตาไปยังผู้ฟังบรรยาย ด้วยมีจุดประสงค์นำเอาความคิดของผู้ฟังบรรยายที่เข้ากันกับเรื่องที่บรรยาย มาใช้ร่วมบรรยายให้เกิดศรัทธากับผู้ฟัง เหมือนกับที่พระสารีบุตรได้กระทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ด้วยการใช้อนุสาสนีปาฏิหาริย์ร่วมกับ อาเทศน์ปาฏิหาริย์ในการแสดงธรรมของท่าน

เช่นเดียวกับผู้ใดพัฒนาจิตจนเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลได้ แล้ว ย่อมรู้ความเป็นอริยบุคคลของจิตที่อยู่ในระดับเดียวกันหรือต่ำกว่าได้ นอกจากนี้อริยบุคคลยังมีจิตเป็นอิสระจากความอยากไปรู้เรื่องของคนอื่นอีก ด้วย

ส่วนเรื่องของหมอดูที่ไม่สามารถทำนายชะตาชีวิตได้ถูกต้อง กับบุคคลผู้มีสติสัมปชัญญะระดับโลกุตระได้ เพราะบุคคลประเภทนี้มีแต่คุณธรรมที่ให้ผลเป็นบุญสั่งสมอยู่ในจิต หรือจะกล่าวได้ในอีกทางหนึ่งว่า อริยบุคคลเป็นผู้อยู่เหนือดวงชะตานั่นเอง

(๒) ถูก หากต้องการความสงบ ผิด เพราะปัญญาเห็นแจ้งไม่เกิด จึงสามารถทำจิตให้พ้นไปจากความทุกข์ได้ ขณะใดที่คำบริกรรมหายไป ต้องใช้จิตตามดูจนเห็นว่า คำบริกรรมที่หายไป ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วจะเกิดปัญญาเห็นแจ้งในคำบริกรรมที่หายไปว่าไม่ใช่ตัวตน จิตจะปล่อยวางคำบริกรรมที่หายไป และว่างเป็นอุเบกขา

เช่นเดียวกันเมื่อเห็นกายกับจิตแยกออกจากกัน วิปัสสนาญาณระดับโลกิยะที่เรียกว่า “ นามรูปปริ จเฉทญาณ ” ก็จะเกิดขึ้น และยังมีความจำเป็นต้องบริกรรมต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเข้าถึงวิปัสสนาญาณทั้งสิบหกตัว แล้วความเป็นอริยบุคคลขั้นต้นก็จะเกิดขึ้น และมิได้แยกกายกับจิตตลอดเวลา เพราะการแยกกายกับจิตมิใช่เหตุแห่งการพ้นทุกข์ที่แท้จริง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมพึ่งสูญเสียคุณแม่(อายุ 71 ปี) ่ได้หกวันครับด้วยโรคมะเร็ง ท่านเสียที่โรงพยาบาลขณะที่รับการรักษาตัว และขณะนี้ก็อยู่ระหว่างพิธีงานศพซึ่งจะมีการเผาในอาทิตย์หน้า

ผมเองมีความเสียใจอย่างยิ่งต่อการจากไปของคุณแม่ และเสียดายอย่างยิ่งที่มีอะไรอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำให้ท่านตามที่ ตั้งใจไว้ (ผมมาทราบว่าท่านอยู่ในขั้นสุดท้ายเอาเมื่อตอนที่ท่านแทบจะไม่รู้สึกตัว แล้ว) เท่าที่ผมจำความได้ท่านตั้งอยู่ในศีลธรรม นับถือพระรัตนตรัยอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด มีพรหมวิหาร4 เป็นที่เคารพของญาติมิตร ผมเองในเวลาที่ผ่านมาทุ่มเทเวลาให้กับงานอย่างหนัก กลับดึกตื่นเช้าจนแทบจะไม่มีเวลาได้สนทนาหรือดูแลท่านได้มากนัก (คุณพ่อและน้องชายจะดูแลเป็นส่วนใหญ่) จนเมื่อผมทราบว่าท่านอยู่ในระยะสุดท้ายจึงได้ลางานมาอยู่กับท่านที่โรง พยาบาลราวสองอาทิตย์จวบจนวาระสุดท้าย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผมได้มีโอกาสใกล้ชิดคุณแม่มากที่สุดในชีวิต ได้มีโอกาสบอกรักและขอขมากับท่าน ตลอดจนดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำ(โดยการฉีดเข้าทางปาก)

ก่อนที่ท่านจะเสีย ผมได้พยายามทำบุญใหญ่ เช่นเป็นเจ้าภาพบวชพระ, หล่อพระพุทธเจ้าองค์ปฐม, สร้างพระไตรปิฎกออนไลน์, ถวายสังฆทานด้วยผ้าไตรและพระพุทธรูป ปล่อยปลาและไถ่ชีวิตโคกระบือ แล้วไปกระซิบข้างหูคุณแม่ให้โมทนาบุญด้วยทุกครั้ง แต่ไม่แน่ใจว่าท่านได้รับรู้หรือไม่ เพราะท่านอยู่ใต้ฤทธิ์ของมอร์ฟีนทำให้ท่านหลับๆตื่นๆอยู่ตลอด

ในช่วงสุดท้ายของคุณแม่ ท่านอ่อนแรงลงมากผมกุมมือคุณแม่ไว้ตลอดและรู้สึกว่ามือท่านเย็นมากๆ เมื่อท่านอ่อนแรงลงอย่างหนัก ผมได้ลุกออกจากท่านไปนั่งสมาธิอยู่ข้างๆ ด้วยความปรารถนาจะทำสมาธิเป็นปฏิบัติบารมีเพื่อเป็นบุญบารมีมอบแก่คุณแม่ ซึ่งเป็นการนั่งที่สงบอย่างยิ่ง ในใจผมภาวนาขอให้บุญที่เกิดจากการนั่งสมาธิครั้งนี้เป็นปัจจัยให้คุณแม่ได้ เข้าถึงซึ่งนิพพาน จากนั้นสักครู่ผมก็เห็นภาพพระพุทธรูปองค์ใหญ่ผมก็อธิษฐานขอให้ท่านช่วยนำคุณ แม่ผมไปสู่สุขคติภูมิด้วยไม่ว่าจะเป็นเทวดานางฟ้า พรหม หรือนิพพาน สักครู่ก็เห็นภาพของหลวงพ่อปานขึ้นมาก็อธิษฐานต่อท่านเช่นกัน เวลาผ่านไปสักพักได้ยินเสียงน้องชายกล่าวว่าคุณแม่เสียแล้ว(หยุดหายใจแล้ว) ตัวผมมีอาการสั่นสะท้านไปทั่วร่างกาย แต่ก็ยังภาวนาอธิษฐานต่อไปอีกสักพักโดยไม่ได้ลืมตาขึ้นมา (ปกติเวลาผมทำสมาธิที่ผ่านมาไม่เคยเห็นภาพอะไรเลย ยกเว้นตอนที่ไปรับกรรมฐานมโนมยิทธิได้สองวันก่อนท่านจะเสีย และไม่เคยมีอาการสั่นสะท้านดังกล่าวมาก่อน)

เมื่อท่านเสียแล้ว ผมเองปรารถนาอยากทราบว่าท่านมีสุขดีหรือเปล่า ก็ได้ทำบุญสังฆทานให้ท่านทุกวันตลอดช่วงเวลาที่สวดอภิธรรมและช่วงเก็บก่อน เผา ในคืนที่สอง ผมฝันว่ามีเสียงมาบอกว่าคุณแม่ไปอยู่ชั้นพรหมสุทธาวาส ซึ่งตอนนั้นผมไม่เคยมีความรู้ว่ามีคำว่าชั้นพรหมสุทธาวาสอยู่ในความรู้ความ จำแม้แต่น้อย พอตื่นขึ้นก็ลองเข้าอินเตอร์เน็ตไปดูเรื่อง 31ภูมิ จึงเห็นว่ามีชั้นของพรหมที่ชื่อสุทธาวาสอยู่จริงก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน (ปกติผมจะจำความฝันแทบไม่ได้เลยในแต่ละวัน พอตื่นก็ลืมหมด แต่คราวนี้จำชื่อได้ชัดเจน)

ผมขอเรียนสอบถามอาจารย์เกี่ยวกับคุณแม่ดังต่อไปนี้ครับ
1. หากท่านอาจารย์จะพอทราบ ไม่แน่ใจว่าคุณแม่ได้รับผลบุญที่ผมได้ทำให้ท่านก่อนที่ท่านเสียหรือไม่ และถ้าไม่ได้(เนื่องจากท่านอาจจะไม่มีสติรับรู้) ผมจะแผ่ส่วนกุศลตามไปภายหลังจะได้อนิสงค์เท่ากันหรือไม่ครับ
2. หากท่านอาจารย์จะพอทราบและจะกรุณา โปรดแนะนำด้วยครับว่าภาพของพระองค์ใหญ่และภาพหลวงพ่อปานที่ปรากฎ เป็นภาพจริงหรือเป็นมายานิมิตรที่ไม่มีความหมายครับ
3. หากท่านอาจารย์จะพอทราบและจะกรุณา โปรดแนะนำด้วยครับว่าเสียงที่ผมได้ยินเรื่องชั้นพรหมสุทธาวาสนั้นเป็นของ จริง หรือว่าเป็นเพียงความฝันที่ไม่จริงครับ
4. ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ทุกครั้งที่ทำบุญ ผมจะอุทิศส่วนกุศลให้กับคุณแม่ด้วยการเอ่ยชื่อท่านแต่เพียงผู้เดียว เพื่อให้เป็นปัจจัยให้ท่านได้เข้าสู่นิพพานในเวลาอันควร การอุทิศดังกล่าวเหมาะสมไหมครับ และถ้าผมจะอุทิศบุญกุศลดังกล่าวซ้ำอีกครั้งในเวลาต่อมาให้กับท่านเจ้ากรรม นายเวรของคุณแม่และของผมเอง จะยังได้ผลอีกไหมครับ
5. ขอท่านอาจารย์โปรดแนะนำสิ่งที่ผมควรจะทำเพิ่มเติมเพื่อที่จะให้เป็นประโยชน์ ต่อคุณแม่สูงสุดและเป็นปัจจัยให้ท่านได้เข้าสู่นิพพานโดยเร็วด้วยครับ

ขอกราบขอบพระคุณในความกรุณาของอาจารย์เป็นอย่างยิ่งครับ

คำตอบ
(๑) อานิสงค์ของการอุทิศบุญกุศล จะเกิดขึ้นมากหรือน้อยไม่เนื่องด้วยกาลเวลา แต่เนื่องด้วยความตั้งมั่นของจิต ชนิดของบุญ ปริมาณของบุญ ที่ผู้อุทิศมีอยู่ในจิตของตนเอง หากปัจจัยทั้งสามมีกำลังมาก อานิสงค์ของการอุทิศบุญย่อมมีมาก

(๒) การเห็นนั้นเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็นนั้นไม่จริง ทั้งสองอย่างมิได้เป็นเหตุทำให้พ้นทุกข์ ผู้รู้จึงไม่เอาจิตของตนเองไปผูกติดอยู่กับสิ่งที่ถูกเห็น

(๓) ผู้ถามปัญหาได้ยินเสียงจริง แต่เสียงที่ได้ยินนั้นไม่จริง เพราะยังเป็นสมมุติที่ปรากฏอยู่ในวัฏสงสาร

(๔) การอุทิศบุญกุศลเพื่อให้คนอื่นเข้าถึงพระนิพพานนั้นไม่เหมาะสม เพราะเป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุผลรองรับ ผู้ที่จะถึงพระนิพพานได้ ต้องเข้าถึงด้วยการใช้ปัญญาเห็นแจ้งของตัวเอง กำจัดอวิชชาให้หมดไปจากใจ พระนิพพานจึงจะเกิดเป็นจริงได้

ส่วนการอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคุณแม่และ ของตัวเอง จะได้ผลก็ต่อเมื่อ เจ้ากรรมนายเวรเห็นดีด้วยแล้วมาอนุโมทนาบุญ และยกเลิกการจองเวร

(๕) ความกตัญญูกตเวทีที่ผู้เป็นลูกจะทำให้บุพการีผู้ล่วงลับ ต้องประพฤติบุญใหญ่ (จิตตภาวนา) แล้วอุทิศบุญกุศลให้ผู้ล่วงลับ และผู้ล่วงลับจะเข้านิพพานได้ ต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้มีศีล มีสมาธิ มีปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ให้ต้องเวียนเกิด-เวียน ตายอยู่ในวัฏสงสาร (สังโยชน์ ๑๐ ) ให้หมดไปจากใจของตัวเองได้เมื่อใด ตัวเองจึงจะสามารถนำจิตเข้าถึงพระนิพพานได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 60, 61, 62, 63, 64, 65, 66 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร