วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 20:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 59, 60, 61, 62, 63, 64, 65 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แม้ขณะนี้ ตัวผม จิตผม จะได้รับ ผลแห่งวิบากกรรมเดิมอันหนักหนาสาหัส อยู่แล้วแต่ก็เหมือนกับว่า วิบากกรรมนั้น เป็นตัวดัดนิสัยไปในที ก็รอคอยสักวันจะพบผู้แก้ไขให้หรือพันวิบากกรรมนี้เสียที หลายต่อหลายครั้งที่ ผู้คนรอบข้างจะพูดเสมอว่า ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ , เป็นคนธรรมดาไม่ใช่พระ ฯลฯ แต่ก็อดไม่ได้จะต้องทำตัวและจิตให้ดี ยิ่งๆ ขึ้นไป แม้จะมีบางอย่างมาดึงให้ลงต่ำไปก็ตาม มีปัญหาจะถาม อจ. ดังนี้ครับ

1. บาปอกุศลกรรม ที่จะเกิดขึ้นกับบุคคลที่ยุและบังคับให้ผู้อื่นทำผิดศีล ซึ่งผู้ถือศีลและตั้งใจประพฤติไว้แล้ว มันหนักขนาดไหน และ จะสร้างวิบากกรรมใดให้เกิดขึ้นกับคนที่ทำ บางมุมอาจจะมองว่าคนผิดคือผู้ประพฤติเอง ทำผิดเสียเองแพ้กิเลสที่เกิดขึ้นเสียเอง จะเกิดผลลัพธ์แก่คนที่ยั่วยุหรือบังคับได้อย่างไรกัน

ขออาจารย์รบกวนอธิบายข้อตรงนี้ให้ผมกระจ่างด้วยครับ และ คิดว่าคงจะมีประโยชน์กับอีกหลายคนเช่นกัน

2. ขออาจารย์ช่วยแนะนำวัดที่ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด มี ครูบาอาจารย์ที่ดี ให้ผมได้หรือเปล่าครับ จะพอน้องไปบวชปฏิบัติ

ขอบคุณครับ

คำตอบ
(๑) บาปจะเกิดมากับบุคคลที่ยุและบังคับให้ผู้อื่นประพฤติผิดศีล จะบาปมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความมากน้อยของคุณธรรมของผู้ถูกยุหรือถูกบังคับ ให้ประพฤติผิดศีล หากผู้ถูกยุหรือถูกบังคับมีคุณธรรมสูง ผู้ยุหรือผู้บังคับก็บาปมาก และในทางตรงข้าม ผู้ถูกยุหรือผู้ถูกบังคับมีคุณธรรมต่ำ ผู้ยุหรือผู้บังคับได้รับผลบาปน้อยกว่า และผลของบาปจะเป็นไปตามประเภทของศีลที่ตนยุให้ผู้อื่นประพฤติทุศีล แต่หากผู้ใดประพฤติผิดศีลเอง อย่างนี้ไม่เรียกว่าถูกยุ ผู้ยุหรือผู้บังคับไม่จำเป็นต้องกระทำกรรม จึงไม่ถือว่าเป็นบาป

(๒) แนะนำให้พาน้องไปบวชและปฏิบัติธรรมที่วัดแพร่ธรรมาราม อ.เด่นชัย จ.แพร่

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ดิฉันทำกรรมฐานแบบยุบ-พองหนอ มา 6 ปีแล้ว น่าจะถึงสังขารุเปกขาญาณแล้ว ก่อนหน้านี้มีกัลยาณมิตรแนะนำว่าดิฉันแก่สมถะไปหน่อย วิปัสสนาญาณอ่อน จึงสอนวิธีทำวิปัสสนาให้ จึงผ่านปฏิสังขญาณมาได้ ตอนนั้นเวทนารุนแรง ใช้กำลังทำกรรมฐานมาก พอมาถึงตอนนี้เวทนาไม่กวน กำหนดได้ดี สภาวะธรรมเกิด-ดับชัด ถ้าเพียรทำกรรมฐานไปเรื่อยๆจะผ่านโสฬสญาณได้ใช่มั๊ยค่ะ

2. ช่วยแนะนำวิธีที่ควรและถูกตามธรรมในการทำกรรมฐานสำหรับคนที่ถึงสังขารุเปกขา ญาณ ให้หน่อยได้มั๊ยค่ะ

ด้วยความเคารพ

คำตอบ
(๑) ผู้ใดปฏิบัติธรรม (วิปัสสนากรรมฐาน) สมควรแก่ธรรม โอกาสพัฒนาจิตให้เข้าถึงหรือผ่านวิปัสสนาญาณ ๑๖ (โสฬสญาณ) ย่อมเป็นไปได้

(๒) หากผู้ถามปัญหาพัฒนาจิต ตามแนวทางองสติปัฏฐาน ๔ จนสามารถนำพาจิตเข้าถึง ปฏิสังขานุปัสสนาญาณได้จริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปขอคำแนะนำจากใครผู้ใดอีกต่อไป เพียงแต่ดำเนินปฏิปทาตามแนวทางที่ได้ปฏิบัติมา โดยเร่งความเพียรและมีสัจจะเป็นแรงสนับสนุน การเข้าถึงวิปัสสนาญาณยิ่งๆขึ้นไปย่อมเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมเห็นคุณยายของภรรยา อายุ 90 ปี ทานข้าวไม่ได้ เลยไม่มีแรง กระผมและภรรยาพา ไปโรงพยาบาล คุณหมอตรวจแล้วร่างกายปกติดีทุกอย่าง เพียงแต่ไม่ทานอะไรเลย จึงไม่มีแรง คุณหมอเลยให้น้ำเกลือ แล้วกลับบ้านก็เริ่มมีแรงบ้าง แต่ก็ยังไม่ทานอะไรมาก ทานได้แต่น้ำหวาน กล้วย และรังนก เพียงเล็กน้อย ยายไม่ค่อยได้ทำบุญ ไม่ตักบาตร กระผมพยายามจะหา CD ธรรมะ เปิดให้ฟัง แต่ก็ยังไม่สำเร็จเท่าที่ควร ยายมีนิสัย ค่อนข้างเป็นห่วงบ้าน ห่วงของมาก ขอคำแนะนำจาก อาจารย์ หน่อยครับ ว่าจะทำอย่างไรดี ให้แก่สนใจธรรมะ และเข้าถึงธรรมบ้าง จะได้ไปดี


คำตอบ
คนที่มีอายุยืนยาวถึง ๙๐ ปี ย่อมมีผลของบุญเป็นแรงหนุนส่ง ผู้ถามปัญหารู้หรือไม่ว่า บ่อเกิดแห่งบุญ ได้จากการประพฤติตนตามบุญ กิริยาวัตถุ ๑๐ ดังนั้นคุณยายสามารถสร้างบุญให้เกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็น ต้องตักบาตร ผู้ถามปัญหามีเจตนาคิดช่วยเหลือคุณยาย ให้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี (สุคติภพ) หลังจากตายแล้ว ย่อมคิดได้ แต่จะประสบผลสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวของคุณยายผู้เป็นเจ้าของชีวิต หากคุณยายมีศีล ๘ หรือมีศีล ๕ พร้อมกับให้ทานโดยวิธีอื่นอยู่เสมอ ตายแล้วจิตวิญญาณมีโอกาสโคจรไปได้ร่างอยู่อาศัยในภพสวรรค์ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. หนูกำลังคิดเลิกอาชีพเสริมความงาม (ทำเลเซอร์รักษากระฝ้าและรอยตีนกา ลดความอ้วน) เพราะไปทราบมาว่าเป็นสัมมาอาชีพทางโลกแต่เป็นมิจฉาอาชีพในทางธรรม จะเป็นกรรมเพราะทำให้คนที่ปกติก็หลงอยู่แล้ว หลงเพิ่มเข้าไปอีก ไม่ปลงสังขาร ติดรูป จึงคิดมาเริ่มทำอาชีพการขายตรง โดยเน้นขาย เครื่องปั่นน้ำโมเลกุลเดี่ยว ซึ่งให้ประสิทธิผลในการรักษาโรคแห่งความเสื่อมต่างๆและสำหรับผู้ที่ไม่ได้ เป็นโรคร้ายก็ช่วยชลอความเสื่อมของสังขารเช่นกัน อันนี้ถือว่าเป็นมิจฉาอาชีพอีกหรือไม่คะ หนูไม่แน่ใจเพราะมันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของสังขารผู้อื่น ซึ่งจริงๆ ควรปล่อยให้เค้าเป็นไปตามกรรมที่ควรจะเป็น หรือไม่ เพราะถ้าไม่สบายทุกคนก็อยากหายแล้วไปหาหมอรักษา จึงรบกวนเรียนถามอาจารย์ค่ะ

2. และลักษณะของอาชีพขายตรง บริษัทก็จะมีโปรโมชั่นพิเศษ ลดแลกแจกแถมตามวาระ ถ้าเราซื้อให้วันที่บริษัทมีโปรฯ กระตุ้นยอดขาย หนูก็ซื้อเครื่องเก็บตุนไว้ (เพราะอยากได้ของแถม) แล้วเมื่อลูกค้าสั่งเครื่อง หนูก็ค่อยเอาไปให้ หนูลดคอมมิสชั่นในส่วนที่บริษัทจ่ายให้เป็นค่าการตลาด ให้ลูกค้า บางคนก็ลดหมดเลย บางคนไม่สนิทก็ลดให้ครึ่งหนึ่ง หนูก็เลยไม่ให้ของแถมเค้า (ไม่ได้แจ้งลูกค้าว่ามีของแถม) หนูผิดศีล 2 ไหมคะ และของแถมถ้าหนูเอามาขาย ผิดด้วยไหมคะ

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
(๑) ยังถือว่าเป็นมิจฉาอาชีวะในทางธรรม ผู้ตอบปัญหายังต้องข้องเกี่ยวอยู่กับสังคม การประพฤติตนเป็นเหตุให้ผู้อื่นมีสุขภาพดี อานิสงค์ที่จะคืนมาสู่คือตนเองมีสุขภาพดีด้วย ผู้รู้ไม่นำตัวไปร่วมในกระบวนกรรมไม่ดีของผู้อื่น แต่ชี้ทางให้ผู้อื่นมีสุขภาพดีได้ด้วยการชี้แนะสิ่งดีๆให้ผู้อื่น ส่วนเขาจะประพฤติตามหรือไม่เป็นสิทธิ์ของเขา หากเขาประพฤติตามแล้วทำให้มีสุขภาพดี พร้อมกับนำตัวเองเข้าพัฒนาจิตวิญญาณจนเข้าถึงคุณธรรมที่สูงยิ่งๆขึ้นไป อานิสงค์แห่งบุญย่อมเกิดขึ้นกับผู้ชี้แนะ

(๒) การไม่แจ้งให้ลูกค้าทราบว่ามีของแถม ไม่ถือว่าผิดศีลข้อสอง และหากนำของแถมไปขาย ไม่ถือว่าผิดศีลเช่นกัน แต่ผิดธรรมที่ทำให้จิตมีกิเลสเพิ่มมากขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. อาการแสงนวล ๆ รอบ ๆ ตัวเวลาปฏิบัติทั้ง ๆ ที่ปิดไฟมืดหมด เกิดจากอะไรครับ

2. วันหนึ่งขณะนั่งอยู่บนรถตู้โดยสาร ผมก็นั่งหลับตาดูลมหายใจไปเรื่อย ๆ เป็นระยะเวลาพอสมควร จิตเริ่มเกาะอยู่กับการเข้าออกของลมหายใจได้ดี ลมก็เริ่มละเอียดและเบาลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ได้บริกรรมอะไร ตามรู้อย่างเดียว จากนั้นมันก็รู้สึกวูบ จากที่มืด ๆเทา ๆ เวลาเราหลับตาปรากฏว่าเปลี่ยนเป็นสีออกส้มม้วนขดเป็นรูปกลมคล้ายก้นหอย เป็นแล้วก็หายไปสักพักก็มาอีกประมาณ 4-5 ครั้ง อาการที่เกิดขึ้นมาเนื่องจากอะไรครับ

3. จากข้อ 2 หลังจากเป็นมา 4-5 ครั้ง สุดท้ายคล้ายมันวูบวาบแรงผิดกับช่วงก่อนหน้า จากนั้นปรากฏว่ารอบ ๆ ตัวเป็นแสงขาวสว่าง มีอยู่แว่บนึง รู้สึกว่าตัวเราที่นั่งอยู่บนรถหายไปมีแต่แสงไม่ได้ยินอะไรเลย แต่อาการนี้เป็นอยู่แค่ระยะเวลาสั้นประมาณ 5 วินาที ก่อนจะหายออกมาจากตรงนั้น เริ่มได้ยินเสียงคนคุยกันก้อง ๆ แต่ว่าคล้ายอยู่กันคนละที่บอกไม่ถูกครับ แล้วก็ออกมาอยู่ตามเดิมครับ จากอาการที่เกิดขึ้นทั้งหมด การปฏิบัติของผมยังดำเนินมาถูกต้องหรือเปล่าและได้เดินมาถึงลำดับใด และต้องทำอย่างไรต่อไปครับ รบกวนท่านอาจารย์โปรดเมตาชี้แนะอีกครั้งครับ

กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงครับ

คำตอบ
(๑) เกิดจากจิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ

(๒) เนื่องจากจิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ

(๓) ถูกต้องสำหรับผู้ที่ยังมีจิตเป็นทาสของความหลง หากประสงค์พัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ต้องกำจัดสิ่งที่จิตสัมผัสได้ให้หมดไป เช่น เมื่อเห็นแสงสีขาวสว่าง ต้องกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” จนแสงสีขาวสว่างหมดไป หรือเมื่อได้ยินเสียงพูดคุย ต้องกำหนดว่า “ ได้ยินหนอๆๆๆ ” จนเสียงที่ได้ยินหมดไป แล้วดึงจิตมาอยู่กับลมหายใจเข้า-ออกต่อไป จนกว่าจิตตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) จึงนำจิตไปพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ ขอท้าวความก่อนว่าครอบครัวของดิฉันเป็นครอบครัวที่มีความทุกข์กับคนเพียง 1 คนคือน้องชายของดิฉัน ซึ่งติดเหล้า กินทุกวัน การงานไม่ทำ นำความทุกข์มาให้ทุกวัน พอเมาได้ที่ก็ด่าพ่อแม่ ขอเงินก็ขู่สารพัด ถ้าไม่ให้ก็ขโมยข้าวของไปขายหรือไปจำนำบ้าง เหมือนมีขโมยอยู่ที่บ้าน พ่อแม่และน้องอยู่ต่างจังหวัด ดิฉันทำงานที่กรุงเทพฯ ก็จะได้รับข่าวแบบนี้อยู่ตลอด ซึ่งก่อเรื่องทะเลาะวิวาทก็บ่อย

ดิฉันเคยผ่านการปฎิบัติธรรมมาก็ทราบดีว่าเป็นเรื่องเวรกรรม แต่จะทำอย่างไร เมื่อเศร้าใจทุกครั้งที่เห็นพ่อแม่ทุกข์ใจ ต่อให้ลูกเลวแค่ไหน พ่อแม่ก็ยังช่วยทุกครั้งแม้บางครั้งก็ต้องยอมเป็นหนี้สินเพื่อช่วยลูกทุก ครั้งที่ก่อเรื่อง พยายามให้พ่อแม่เข้าวัดฟังธรรม แต่ก็ยากเพราะต้องอยู่กับสภาพเดิมๆทุกวัน เจ้าน้องชายมันบอกว่าทำให้มันเกิดมาแล้วก็ต้องมีหน้าที่ดูแลมัน

ดิฉันควรทำอย่างไรดี เพื่อจะช่วยพ่อแม่ให้ไม่ทุกข์ใจอย่างทุกวันนี้ค่ะ ( ส่วนน้องชายก็เคยปล่อยให้ติดคุกออกมาก็เหมือนเดิม ยิ่งแค้นเข้าอีกที่ไม่ช่วยเค้า เคยคุยเคยช่วยสารพัดแล้วก็เหมือนเดิม)
ปล.พ่อแม่อายุมากแล้ว ร่างกายก็ป่วย ใจก็ป่วย

คำตอบ
บุคคลมีชีวิตเป็นของตนเอง จะสุขหรือทุกข์อยู่ที่การกระทำของตัวเอง ดังนั้นความทุกข์ใจของพ่อแม่ เป็นอกุศลวิบากของท่านที่ต้องชดใช้ ความสงสารและคิดช่วยเหลือพ่อแม่ เป็นคุณธรรมของผู้ถามปัญหา และถามว่าจะทำอย่างไรดี ในฐานะเป็นลูกต้องประพฤติจริยธรรมลูกที่มีต่อพ่อแม่ เมื่อใดพ่อแม่หันมาศรัทธาในตัวของผู้ถามปัญหา เมื่อนั้นผู้ถามปัญหาจึงจะมีสิทธิ์ชี้แนะท่าน ให้นำตัวเข้าพัฒนาจิตให้มีสติและมีปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้เมื่อใด ปัญหาความทุกข์ใจของท่านก็จะหมดไปด้วยตัวท่านเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รบกวนขอคำแนะนำจากอาจารย์ค่ะว่าทำอย่างไร หรือใช้ธรรมะเรื่องใดที่จะทำให้เป็นคนละเอียด รอบคอบ มีปฏิภาณไหวพริบ ทั้งในการใช้ชีวิตประจำวันและในการทำงาน ขออาจารย์กรุณาให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงแก้ไขและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วย ค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะ ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
ต้องพัฒนาจิตตนเองให้เป็นผู้มีศีลคุมใจ พัฒนาจิตจนเข้าถึงสมาธิสูงสุด แล้วถอยจิตให้มาตั้งมั่นอยู่ในระดับอุปจารสมาธิ แล้วต่อด้วยการเจริญวิปัสสนาภาวนา จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้ง กำจัดกิเลสให้หมดไปจากใจได้เมื่อใดแล้ว ความปรารถนาที่ถามไปจึงจะเป็นจริงได้เมื่อนั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันได้ฝึกนั่งสมาธิ และวิปัสนาไปควบคู่กันด้วยตนเอง โดยอ่านจากในหนังสือ และสอบถามจากรุ่นพี่ที่ปฎิบัติอยู่แล้ว เป็นผู้ชี้แนะแนวทางคะ
(ขณะนี้ดิฉัน พยายามหาเวลาไปวัด เพื่อหาพระอาจารย์ เพื่อสั่งสอนให้อยู่คะ ได้ตั้งจิตภาวนาไว้ ขอให้ได้เจออาจารย์ ครู เร็ววันคะ)

ล่าสุด ได้อ่านหนังสือของอาจารย์ 3เล่ม ทำให้ ดิฉันก้าวหน้า สามารถได้ดับเวทนา ในขณะจิตเข้าสมาธิอุปจารสมาธิ ในเรื่องที่ได้เคยเก็บความโกรธเคือง พ่อและอาในสมัยเด็ก ตอนอยู่ป4 โดยขณะปฎิบัติ ได้ใช้ไตรลักษณ์ ดับที่สังขาร เวทนา และใช้สติบอกตนเอง ถึงการเกิดแก่ เจ็บตาย ผลคือ จิตได้รับรู้ ขณะท่องบอกตัวเอง ว่าทุกข์ขังๆๆๆ จิตได้รับรู้ความเจ็บใจอย่างถึงที่สุด วูบเดียว ระลึกถึงไตรลักษณ์(ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากคะ เพียงแค่วูบเดียวเท่านั้น)เหมือนมีอะไรบางอย่างวูบริเวณใจแรงๆ และเกิดอาการคันหน้ามาก (น่าจะเป็นปิติแบบที่อจ กล่าวไว้คะ จึงอดใจไม่เกา กำหนดสามาธิต่อไปสักพัก ถึงถอดออกมาคะ)

หลังออกจากสมาธิครั้งนั้น ดิฉันรู้สึกถึงความรู้สึกปิติ เป็นสุขบริเวณใจ ตลอดเวลา และมีสติอยู่กับตนอีกทั้งวัน เมื่อคิดถึงเรื่องครั้งเก่า ที่เคยโกรธเคือง กลับไม่มีการปรุงแต่งอารมณ์ใดๆ ใจนิ่งไม่รู้สึก กลับโปร่ง เบา สบายคะ

หลังจากนั้น ดิฉันได้ทะเลาะโต้เถียงกับพ่อทางโทรศัพท์ และเอ่ยคำแสดงความดูถูก และ เกลียดเขาออกมาดังๆหลังจากได้วางโทรศัพท์ไปแล้วด้วยอารมณืดกรธเคือง ซึ่งพ่อดิฉัน เป็นคนไม่เอาศีลธรรม ไม่เข้าวัด ดื่มเหล้าทั้งวัน ทำเรื่องเลวร้ายในอดีตไว้มาก ฆ่าสัตว์ พูดจาหยาบคาย ปัจจุบันเป็นคนเจ้าอารมณ์ มักจะด่าทอ อารมณ์เสียอย่างไร้เหตุผล ทำให้ในใจลึกๆ ดิฉันรู้สึกเกลียดเขามาก มาตลอดคะ
ที่ต้องทนเจอ เพราะเป็นพ่อ--- ที่ให้เงินใช้ทุกเดือน เพื่อทดแทนคุณ--- เมื่อปฎิบัติเสร็จก็จะแผ่อุทิศกุศลให้ เพราะความกตัญญูที่เราจำเป็นต้องมี แต่ดิฉันเลือกจะไม่อยู่บ้านเดียวกัน เพราะไม่ต้องการให้ความรู้สึกเกลียดท่าน ผุดอยู่ในใจตลอด รบกวนความสุขสงบในใจคะ

ทุกข์ตัวนี้ ดิฉันไม่สามารถจะใช้ธรรมตัวใด ที่ความรู้ตัวเองมีดับไปเอง ยังรู้สึก ถึงความเกลียดเขาอยู่ตลอด เพราะต้องเจอกันทุกอาทิตย์

ปัญหามีดังนี้คะ

1. อยากขอคำแนะนำด้วยคะ หลังจากโต้เถียงกัน ปิติในใจได้หายไป ไม่สามารถพบความก้าวหน้าในการปฎิบัติธรรมได้อีก เพราะไม่ว่าจะใช้ไตรลักษณ์ ดับขันธ์5ข้อไหน จิตก็ไม่แสดงอาการรับรู้ ออกจากสมาธิก็ยังรู้สึกถึงความเกลียดเขาตลอดเมื่อนึกถึงเขาคะ
ดิฉันจะใช้ ธรรมะข้อใด เพื่อจิตสามารถเกิดปัญญา ดับทุกข์นี้ อย่างที่ผ่านมาได้คะ

2. ดิฉันไม่สามารถดับความโกรธ เกลียดในใจได้ วันนี้เลยนั่งดูจิตที่มีอาการเกลียดทั้งวันคะ ทำงานไปก็เฝ้าดูไป ดูจนถึงค่ำ ดูจนรับรู้ถึงความโกรธที่เหมือนสร้างความหนักอึ้งอย่างมากให้ใจ จนหัวค่ำ จิตก็คลาย เบาความโกรธลง แต่ยังไม่วางอุเบกขาในทันที คะ เริ่มเกิดปัญญา ว่านี่ก็คือ ไตรลักษณ์ เพราะใกล้ดับไปแล้ว
อยากทราบว่า การตามดู เพราะเราไม่สามารถดับ ในทันทีแบบนี้ ถูกต้องไหมคะ(กับคนทั่วไป ดิฉันจะดับโกรธได้เร็วมากกว่านี้ บางครั้ง เห็นว่าอารมณ์โกรธเริ่มก่อตัว สามารถดับได้ทันที คะ แต่กรณีคุณพ่อ เป็นเหตุที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก มันทำความโกรธฝังตัวอยู่ตลอด พร้อมจะก่อตัวง่ายมาก แต่ง่ายช้ามากด้วยคะ)


คำตอบ
(๑) การโต้เถียง กล่าวคำดูถูก ความรู้สึกเกลียด ฯลฯ ผู้ที่มีอุปการะแก่ตนมาก่อน เป็นความอกตัญญูที่สามารถส่งผลวิบัติให้กับชีวิตได้ โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรมสามารถประพฤติได้ แต่ไม่เกิดมรรคผลจากการปฏิบัติ คือเข้าไม่ถึงธรรมนั่นเอง เหตุเพราะผู้ถามปัญหาประพฤติไร้ธรรมนั่นเอง โดยมีความเกลียดชัง การกล่าววาจาดูถูก การโต้เถียง ฯลฯ เป็นมาตรวัด

วิธีแก้ปัญหาให้หมดไป ผู้ถามปัญหาต้องประพฤติขอขมากรรม ด้วยการนำพวงมาลัยดอกไม้ขาว ไปสารภาพผิดต่อผู้มีอุปการะแก่ตนมาก่อน กระทำในวันที่เขามีสติดี มีอารมณ์ดี เมื่อใดที่ผู้มีอุปการะกล่าววาจายกโทษให้ บาปกรรมที่จะต้องได้รับก็จะหมดไป หลังจากขอขมากรรมแล้ว ต้องคุมใจตัวเองไม่ให้บาปเช่นนี้เกิดขึ้นได้อีก ด้วยเอาขันติมาคุมใจ และใช้เมตตาคือให้อภัยเป็นตัวกำจัดความโกรธไม่ให้เกิดขึ้น แล้วความเกลียดจะไม่มีผลเกิดตามมา ทำให้ได้ทุกครั้งตามที่แนะนำ แล้วผลแห่งการปฏิบัติธรรมจะกลับมาดีเหมือนเดิม

(๒) การใช้จิตตามดูความโกรธ แล้วกิเลสใหญ่ยังไม่หายไปจากใจ แสดงว่าตามดูไม่ถูกวิธี ผู้ใดใช้จิตตามดูความโกรธว่าเป็นของไม่เที่ยง (อนิจจัง) ความโกรธมีแปรเปลี่ยนด้วยตกอยู่ภายใต้การเกิด-ดับ (ทุกขัง) และสุดท้ายความโกรธเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน (อนัตตา) แล้ว จะเห็นว่าสรรพสิ่งล้วนดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์เช่นนี้ ผู้รู้จึงไม่โง่ที่จะเอาสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนคือความโกรธมาไว้กับใจของตน ผู้รู้ปล่อยวางความโกรธแล้ว จิตจะว่างเป็นอุเบกขา เมื่อใดที่ผู้ถามปัญหาเห็นถูกตามความเป็นจริงแท้เช่นนี้ได้ ...... สาธุ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมและคู่สมรสกันมีบุตรแล้ว ๑ คนเป็นเพศหญิง ผมมีอายุ ๒๙ ปีส่วนภรรยาและบุตรมีอายุ ๒๘ และ ๒ ปี ๘ เดือนตามลำดับมีอาชีพเปิดร้านค้าส่งขนาดเล็กมีเงินหมุนเวียนประมาณ ๕ ล้านบาทต่อเดือนขายสินค้าเกือบทุกชนิดเช่นเครื่องสำอาง เครื่องเขียน ของเบ็ดเตล็ดแต่มีสินค้าประเภทอบายมุขร่วมจำหน่ายอยู่ด้วยเช่น สุรา บุหรี่ ไพ่ และมีรายได้ต่อวันประมาณ ๑.๕ แสนบาทมีหนี้ OD ธนาคารอยู่ประมาณ ๖ ล้านบาทตอนนี้มีความทุกข์ใจเกี่ยวกับสินค้าที่ขายกลัวบาปแต่กลัวธุรกิจล้ม ถ้าตัดสินใจเลิกขายสินค้าอบาย แต่ในใจอยากเลิกขายมาก

จึงอยากขอคำแนะนำจากอาจารย์ช่วยตอบคำถามของผม และผมและภรรยาได้ทำการจองตั๋วเครื่องบินเพื่อไปฟังอาจารย์บรรยายธรรม ที่โรงพยาบาลทหารเรือ ในวันที่ ๒๕ มกราคม ๕๒ แล้วหลังจากบรรยายธรรมจบกระผมใคร่ขอความอนุเคราะห์จากอาจารย์เพื่อขอคำ ปรึกษาให้กระจ่างในข้อสงสัยและการปฏิบัตรธรรมจากอาจารย์ด้วยครับ

คำตอบ
อาชีพที่ผู้ถามปัญหากระทำอยู่ในปัจจุบันไม่ผิดกฎหมาย แต่ผิดศีลตรงที่ขายสุรา และผิดธรรมตรงที่ขายเครื่องสำอาง ขายไพ่ ขายบุหรี่ เมื่อใดอกุศลกรรมให้ผล ความวิบัติของชีวิตย่อมเกิดขึ้น ส่งผลกระทบถึงครอบครัวและบ้านเมืองได้ หากผู้ถามปัญหายังจำเป็นต้องดำเนินธุรกิจนี้ต่อไป โดยไม่ประสงค์ให้ผลของอกุศลกรรมตามทัน ผู้ร่วมกระบวนกรรมต้องพัฒนาจิตตนเองให้เป็นผู้มีบุญส่งผลอยู่เสมอ ให้เป็นผู้มีบุญมาก บุญใหญ่ จนบาปตามให้ผลไม่ทัน จึงจะสามารถนำพาชีวิตหนีอุปสรรคและปัญหาที่เกิดจากอกุศลกรรมที่กระทำได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1,ทุกวันนี้ โมโหเคียดแค้นมากเลยค่ะ เพราะทำงานไม่ได้สำเร็จอย่างที่ใจวาดไว้ หนูประเมินตนเองไว้สูงมากเลยค่ะ
และที่ต้องทำให้ได้เพราะจะให้คนเห็นว่าเก่ง เพื่อให้คนยอมรับ หนูตาบอดจากความคิดที่ว่าการทำงานทำไปเพื่ออะไร หลายทีก็อาย เพราะทำไม่ได้อย่างพูด หรือกลัวจะทำไม่ได้ ความกลัวทำให้ทำไม่ได้ไปเลยจริงๆ รู้สึกโง่ทึ่มมาก และกลัวคนมองไม่ดี ถึงจะเปลี่ยนคนไม่ได้ก็เหอะ และก็อับอายมากเลยค่ะอาจารย์ คืนนี้นอนไม่ลง เพราะจะทำงานชิ้นนี้ให้เสร็จให้ได้ และก็ทุกข์ใจด้วยเพราะคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ และหนูก็เกลียดตัวเองมากด้วย เกลียดทุกสิ่งที่ทำให้คิดแบบนี้ หนูพอจะทำอะไรได้บ้างค่ะอาจารย์ตอนนี้

2. เกิดความคิดอยากให้คนกลุ่มหนึ่งหายไปจากโลกด้วยค่ะเพราะความอายมาก
เกลียดตัวเองสุดๆ ทนไม่ได้ พูดนี่ก็ไม่หายทุกข์เลยค่ะ ยิ่งไม่นอนยิ่งเคียดแค้นจนจะคับอกอยู่แล้ว
ถามว่าทำยังงัยจึงจะเลิกคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองและกลัวคนอื่นจะเด่นจะดี กว่าได้

คำตอบ
ผู้มีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) ย่อมมีความผิดพลาดในการทำงาน มีความผิดพลาดในการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นธรรมดาของผู้มีความเห็นเช่นนั้น ทุกคนที่เกิดมาและยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ต้องการความสะดวกสบาย ต้องการความสำเร็จในการทำงาน ต้องการความสุข จะเป็นเช่นนี้ได้ ต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้มีความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต่างสำเร็จด้วยใจ (มโนมยา)

ขออภัยผู้ถามปัญหายังมีความเห็นผิด พฤติกรรม (คิด พูด ทำ) ที่ติดลบจึงเกิดขึ้น ซึ่งผู้รู้สามารถวัดได้ หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะให้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของตัวเองสำเร็จ ด้วยดี ต้องเปลี่ยนความเห็นที่ผิด ให้กลับมามีความเห็นถูกให้ได้ก่อน แล้วใช้ความเห็นถูกส่องนำทางให้กับการทำงานและการดำเนินชีวิต ซึ่งการพัฒนาปัญญาเห็นถูก สามารถทำได้สองแนวทาง คือ

๑. ฟังผู้รู้บอกกล่าว แล้วทำตามคำชี้นำ ความเห็นถูกในทางโลกจึงจะเกิดขึ้นได้ ผู้รู้บอกว่า คนเก่งคือคนที่มีความรู้และมีความสามารถ คือรู้ในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำและต้องทำงานเป็น มีทัศนคติในการทำงานถูกต้อง คือทำงานเพื่อเรียนรู้คนเพื่อเรียนรู้งาน ทำงานเพื่องาน ทำงานด้วยวิธีการอันเลิศโดยไม่หวังผลเลิศ มีจิตไม่เป็นทาสของผลงาน ฯลฯ และทำงานได้เป็นผลสำเร็จ ด้วยการใช้อิทธิบาท ๔ เป็นตัวสนับสนุน คือทำงานด้วยใจรัก (ฉันทะ) ทำงานด้วยความพากเพียร (วิริยะ) ทำงานด้วยใจจดจ่อ (จิตตะ) ใช้ปัญญาไต่สวนงานที่ทำ (วิมังสา) ทำงานได้แล้วเสร็จทันเวลา ด้วยการเว้นจากอบายมุข ๖ และสุดท้ายผลงานเข้าตาเจ้านาย เข้าตาผู้ใช้บริการ เป็นที่เรียกหาเรียกใช้อยู่เสมอ

๒. นำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงแท้ เมื่อใดที่เข้าถึงปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้แล้ว ชีวิตจะมีแต่ความดีงาม ความคิดและการกระทำที่ทำให้จิตเศร้าหมอง เช่น เห็นว่าตัวเองเก่ง ต้องการให้คนอื่นยอมรับ ความคิดที่จะทำให้คนกลุ่มหนึ่งหายไปจากโลก ใจที่เกลียดชังตัวเอง ฯลฯ ต่างๆเหล่านี้เป็นความทุกข์ จะอันตรธานหายไปจากใจ แล้วเกิดสิ่งดีงาม (คุณธรรม) เข้ามาแทนที่

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ทำไมคนที่ยังไม่ถึงอายุขัยถึงสามารถตายได้ แล้วกลายเป็นวิญญานเร่ร่อนอยู่ที่ตรงนั้น เช่นถูกรถชนตาย เป็นความประมาทของคนขับ หรือความประมาทของคนเดินถนน หรือสัมพเวสีบังตาคนขับ หรืออีกกรณีหนึ่งเช่นตกน้ำตายโดยที่ยังไม่ถึงอายุขัย ถ้าเราประมาทก็ตายได้ใข่ไหมครับ หรือสัมพเวสีสามารถฉุดเราให้จมน้ำตายตามเขาได้หรือครับ

2.ถ้าสัมพเวสีทำให้เราตายได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ เช่น พระเครื่อง หรือ เครื่องรางของขลัง สามารถช่วยเหลือป้องกันเราได้ไหมครับ

3.มีเพื่อนสามารถสัมผัสกระแสพุทธคุณของพระเครื่อง สามารถบอกได้องค์ไหนมีกระแสแรง องค์ไหนกระแสอ่อน องค์ไหนเด่นทางด้านบารมี ทางด้านเมตตา หรือทางด้านคุ้มครอง เรียนถามอาจารย์ว่าเป็นเรื่องจริงไหมครับ

4.ผมได้พระบรมสารีริกธาตุมาจาก 2 แห่ง คือ วัดสังฆทาน และ ชมรมรักษ์พระบรมธาตุ เรียนถามอาจารย์ว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าจริง ๆ หรือไม่ครับ ถ้าใช่ของจริง ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีบุญวาสนาขนาดนี้

กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง



คำตอบ
(๑) ผู้รู้ไม่สงสัยในกฎแห่งกรรมที่พระพุทธะตรัสไว้ เรื่องที่ถามไปมีเหตุมาจาก ผู้ที่จำเป็นต้องตายก่อนครบอายุขัยได้ประพฤติกรรมตัดรอน (อุปฆาตกรรม) ไว้ก่อน เมื่อกรรมให้ผล การตายก่อนครบอายุขัยจึงได้เกิดขึ้น

(๒) เหตุแท้จริงที่ทำให้ต้องตายก่อนครบอายุขัย มิได้เนื่องมาจากการกระทำของสัมภเวสี ดังนั้นจึงไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ใด จะให้ผลยิ่งไปกว่าความศักดิ์สิทธิ์ของแรงกรรมที่บุคคลได้กระทำไว้ก่อนแล้ว

(๓) จริงสำหรับผู้ที่มีความเห็นผิดไปจากธรรมของพระพุทธะ ผู้ตอบปัญหาเชื่อในพุทธวจนะที่ว่า “ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ” นั้นเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ซึ่งผู้ตอบปัญหาได้พิสูจน์แล้วว่า พุทธวจนะนั้นเป็นหนึ่งไม่มีสอง จึงมิได้แสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใด มาคุ้มชีวิตตนเองมิให้วิบัติ แต่แสวงหาธรรมมาคุ้มใจ เอาธรรมมาสถิตอยู่กับใจ แล้วความสวัสดีของชีวิตจึงได้เกิดขึ้น

(๔) ภาพที่ส่งไปให้ดูนั้น มิใช่ของจริง แต่เป็นฉายาของพระบรมสารีริกธาตุ

คำว่า “ พระบรมธาตุ ” หรือ “ พระบรมสารีริกธาตุ ” หมายถึงกระดูกของพระพุทธเจ้า ส่วนคำว่า “ พระธาตุ ” หมายถึงกระดูกของพระอรหันต์ อนึ่ง ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ประกอบขึ้นเป็นร่างกาย หากถูกไฟเผาแล้วยังปรากฏให้เป็นเป็นของแข็งเหลืออยู่ ก็สามารถเรียกว่าเป็นพระบรมธาตุหรือพระธาตุได้ (ความเห็นของผู้ตอบปัญหา)

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมทำงานบริษัทและไม่แน่ใจว่าผมจะทำงานที่บริษัทนี้ได้นานเท่าไหร่ เนื่องจากไม่ใช่งานส่วนที่ถนัด และที่สำคัญผมอยู่ในดงสารเคมี ผมเป็นผู้ดูแลครอบครัวมีรายได้คนเดียว ทุกคนต้องพึ่งผม คือแม่ ภรรยา ลูกสาว และหลานสาว ป.6

ผมจึงมองหาอาชีพต่อไปที่จะต้องทำ ที่สะดวกในการย้ายถิ่นฐาน ผมจึงได้มองด้านการลงทุนเป็นอาชีพถัดไปผมเริ่มด้วยการเล่นหุ้น เมื่อห้าปีที่แล้ว แต่ได้ขาดทุนมาตลอดราวๆสี่แสน จนได้เรียนรู้ว่าเราลงทุนผิดวิธี เล่นจนกลายเป็นการพนัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาทุกข์ใจอะไร ปัจจุบันผมได้เรียนด้านการลงทุนอย่างจริงจัง กับชมรมหนึ่ง ซึ่งจะเน้นเรื่องความพอเพียง เน้นการทำบุญ และการปฏิบัติธรรม พอดีท่านอาจารย์บอกว่าการเล่นหุ้นมันเป็นอบาย

ผมเป็นคนหนึ่งที่ฝักใฝ่การปฏิบัติธรรม พยายามที่จะรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ แม้จะพ่ายแพ้มาหลายครั้ง แต่ก็จะพยายามต่อไป ผมลงทุนในสัญญาล่วงหน้า สินค้าเกษตร ยางพารา ข้าว และ SET50 ผมเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่ไม่ได้ไปทำให้ราคาขึ้นหรือลง ไม่ได้ใช่เล่ห์ เพทุบาย เจตนาก็มิได้ จะคดโกง ลักทรัพย์ ผมถือว่าผู้ที่มาลงทุนพึงรับความเสี่ยงของตัวเอง การลงทุนทุกคนย่อมต้องการกำไร และทุกคนก็มีสิทธิ์ขาดทุน ผมได้พยายามเปลี่ยนรูปแบบการพนัน เมาป็นรูปแบบการลงทุนที่มีระบบเช่น money management ใช้ระบบที่แน่นอนในการลงทุน ผมจึงสัยว่าทำไม มันยังเป็นทางสู่อบาย แล้วผมต้องลงทุนแบบไหนจึงจะถูกต้อง ผมไม่สามารถล่วงรู้อนาคตว่าผมจะไปทำอาชีพอะไรต่อไปจึงจะสามารถเลี้ยงครอบ ครัวได้ ผมมองการลงทุนสัญญาล่วงหน้านี้น่าจะเป็นอาชีพที่บริสุทธิ์ได้ ผมปฏิญาณตน เป็นผู้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา บำเพ็ญบารมี แม้ชาตินี้จะทำได้นิดๆหน่อย ผมก็ยังจะทำต่อไป ผมอยากช่วยคนมากๆ เหมือนท่านอาจารย์ แต่คุณสมบัติผมคงไม่เพียงพอ ใจผมยังไม่บริสุทธิพอ เรื่องการทำบุญแผ่กุศลก็ทำอยู่เรื่อยๆ

อยากให้ท่านอาจารย์ช่วยตอบผมไม่สบายใจเรื่อง ศีลข้อ 2 นี้มาก ผมเคยรู้ว่าบาปบุญจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเจตนา ถ้าเราเจาะลึกในอาชีพต่างๆ ของพนักงานบริษัท ของเสียหรือการแข่งขันกันทางธุรกิจ ย่อมส่งผลกระทบในทางไม่ดีต่อคนอื่นๆแทบทั้งนั้น ทุกคนก็มีแต่บาปติดตัว ผมขอคำแนะนำด้วยครับ

คำตอบ
คำว่า “ ระบบ ” หากหมายถึง การรวมสิ่งต่างๆที่ซับซ้อนให้เข้ามาอยู่ในแนวเดียวกันอย่างมีเหตุผล

การลงทุนที่มีระบบแน่นอน มีเจตนาให้ได้มาซึ่งสิ่งตอบแทนที่มาก จนทำให้ผู้มาใช้บริการหรือจำเป็นต้องใช้บริการ ถูกเบียดเบียนหรือเกิดเป็นความเดือดร้อน การลงทุนฯ แบบนี้ยังถือได้ว่า เป็นการสร้างบาปกับผู้ลงทุน เพราะมีส่วนร่วมในการเบียดเบียนนั้น

อาชีพ คือ กิจการงานที่ประกอบเพื่อเลี้ยงชีวิต อาชีพบริสุทธิ์ในทางโลกคือ กิจการงานที่ทำเลี้ยงชีวิตไม่ผิดกฎหมาย เช่น ค้าขายอุปกรณ์ตกปลา ค้าขายสุรา ค้าขายล๊อตเตอรี่ ฯลฯ แต่ในทางธรรมอาชีพบริสุทธิ์คือ กิจการงานที่ทำเลี้ยงชีวิต ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล และไม่ผิดธรรม เช่น ลงทุนที่มีระบบแน่นอน หากมีผลไปเบียดเบียนให้ทรัพย์ของผู้อื่นต้องเดือดร้อน ถือว่ายังผิดศีลข้อ ๒ ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัจจุบันหวังพุทธภูมิ
1.เมื่อช่วงวัยเด็ก จนถึง อายุประมาณ 25 ปี เคยทำกรรมใหญ่ไว้ เช่น ฆ่าสัตว์ เช่น แมว จิ้งจก แมลงสาบ อื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก ด้วยโทสะบ้าง ด้วยหลงผิดบ้าง(หลงผิดคิดว่าเป็นการปลดปล่อยจากอัตภาพนี้ ไปสู่อัตภาพอื่นที่ดีกว่า) เคยทำให้พ่อแม่เสียใจจนนับเรื่องแทบไม่ถูก ตอนช่วงที่ฆ่าสัตว์มากๆ ได้ถูกกรรมตามสนอง แต่รอดมาได้(โดนรถเมล์เฉี่ยว รถเมล์วิ่งฝ่าไฟแดง โดนเฉี่ยวที่ขา เพราะวิ่งข้ามถนน กระเด็นไปหลายเมตร แต่มีบาดแผลแค่ศรีษะถลอก) อยากรู้ว่าทำไมถึงรอดมาได้ หรือเพราะเจ้ากรรมนายเวรให้โอกาศ

2.ปัจจุบันสำนึกได้แล้ว พยายามศึกษาธรรมะ ตั้งหน้าทำบุญทำกุศล จนปัจจุบัน รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ปราถนาพุทธภูมิ บาปกรรมที่ทำมา และหนี้บุญคุณที่มี อยากจะชดใช้ และช่วยเหลือเกื้อกูลทั้งตัวเองและผู้อื่นให้พ้นจากภัยในสังสารวัฎนี้ อยากเรียนถามอาจารย์ว่าควรทำเช่นไร ให้จิตมั่นคง แน่วแน่ ไม่ท้อ ไม่ถอย กล้าหาญ ไม่ว่าต้องเผชิ่ญทุกข์สักปานใด ก็จะไม่ถอยจิตจากความปราถนาโพธิญาณอย่างเด็ดขาด ทุกภพ ทุกชาติ จนกว่าจะสำเร็จพระโพธิญาณ ช่วยเหลือสรรพสัตว์ตามที่ตั้งใจไว้

3.เคยมีประสบการณ์ทางจิตตอนเด็กๆ ประมาณ 3 ครั้ง ครั้งแรก ตอนประมาณอนุบาลหรือประถมต้น(ไม่ค่อยแน่ใจ) กำลังยืนรอน้องอยู่หน้าชั้นเรียน อยู่ๆบังเกิดความเย็นอย่างประหลาด เป็นความเย็นที่รู้สีกเป็นสุขอย่างมาก เหมือนมีตาน้ำพุ อยู่ในหัว หลั่งไหลออกมา รู้สึกได้สักแป็ปนึง จนรู้สึกว่าเผลอยิ้มออกมา แล้วความรู้สึกนั้นก็หายไป ครั้งที่สอง ตอนใส่บาตร เป็นครั้งแรก รู้สึกเย็นอย่างเป็นสุข โปร่ง โล่ง มีความสุขมาก ครั้งที่สาม ตอนวิ่งกลับบ้านจากโรงเรียน รู้สึกเหนื่อยเลยพยายามหายใจเป็นจังหวะ อยู่ๆรู้สึกตัวลอยเหมือนกำลังจะบินขึ้นไป พอตกใจ ก็รู้สึกวูบกลับมาอยู่บนพื้นเหมือนเดิม

ประสบการณ์ทั้ง 3 ครั้ง เป็นประสบการณ์ก่อนที่จะเริ่มฆ่าสัตว์กระทำกรรมชั่วทั้งหลาย หลังจากนั้น จนปัจจุบันนี้ ไม่เคยได้สัมผัสประสบการณ์นั้นอีกเลย อยากทราบว่าเป็นเพราะอกุศลกรรมที่ทำปิดกั้นไว้ใช่หรือไม่ ถ้าใช่จะทำเช่นไร เพราะปัจจุบันเวลาเจริญภาวนา รู้สึกไม่มีความก้าวหน้าเลย จิตยังคงฟุ้ง หรือพอรู้สึกว่าเริ่มสงบๆ แต่ก็ได้แป๊ปเดียวเท่านั้น



คำตอบ
(1) ผู้ใดนำพาชีวิตไปในเส้นทางพุทธภูมิ ผู้นั้นได้ชื่อว่า โพธิสัตว์ สิ่งที่บอกเล่าไปจึงเป็นเรื่องปกติของผู้เดินในเส้นทางนี้ ทั้งนี้เพราะผู้เป็นโพธิสัตว์ จำเป็นต้องรู้และมีประสบการณ์ทั้งดีและชั่ว เพื่อให้ชีวิตได้เรียนรู้ให้ครบถ้วน เหตุเพราะเมื่อใดที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธะแล้ว ต้องมีความเป็นสัพพัญญู คือ รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง จึงจะสามารถสอนพุทธบริษัทและพุทธสาวก ให้พ้นจากความทุกข์ได้

การที่ผู้ถามปัญหาต้องรับอกุศลวิบาก ถูกรถเมล์เฉี่ยวชนและรอดชีวิตมาได้เป็นเพราะ แรงกรรมที่เกิดจากการจองเวรของสัตว์ที่เคยถูกประทุษร้ายมาก่อนให้ผล และไม่ใช่การจองเวรจากสัตว์ที่ถูกฆ่า

(2) ผู้ใดปรารถนาพุทธภูมิ ต้องประพฤติตนตามแบบอย่างของพระเจ้าพี่นางเธอฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หรือตามแนวทางของพระเจ้าอยู่หัว

การคิดช่วยเหลือตัวเองและผู้อื่นให้พ้นจากภัยใน วัฏสงสารสามารถคิดได้ แต่ยังมิใช่ปฏิปทาของพระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ตรงกันข้ามพุทธสาวกที่สามารถพัฒนาจิตตนเองพ้นจากอวิชชาได้แล้ว จึงจะมีความคิดแล้วทำตามความคิดนี้ได้

ผู้ถามปัญหาประสงค์บรรลุโพธิญาณ ต้องมีสัจจะไม่ชิงลงพุทธภูมิจนกว่าจะบำเพ็ญบารมีทั้งสิบอย่างจนครบทั้งสาม ระดับ คือ บารมีธรรมดา อุปบารมี และปรมัตถบารมี การช่วยเหลือบุคคลผู้ควรแนะนำสั่งสอนได้ (เวไนยบุคคล) จึงจะสำเร็จสมดังที่ตั้งปรารถนาได้

(3) ตอบว่าใช่ หากผู้ถามปัญหาประสงค์ความก้าวหน้าในการเจริญจิตตภาวนา ต้องรักษาศีลอย่างน้อยห้าข้อให้ครบและบริสุทธิ์ และเอาศีลลงคุมที่ใจ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องเพศที่สามครับ ปัจจุบันนี้ผมเป็นเกย์ และทราบว่าไม่มีโอกาสบรรลุธรรมชั้นสูงในชาตินี้ และไม่ควรบวชด้วยเช่นกัน
แต่อยากทราบว่า หากผมปฏิบัติธรรม ฝึกวิปัสนา ผมจะสามารถพัฒนาสมาธิญาณให้ก้าวหน้าได้หรือไม่และจะตันอยู่ที่ไหน หรือไม่มีโอกาสในการพัฒนาจิตให้ก้าวหน้าได้เลย

ขอบคุณครับ

คำตอบ
ผู้ใดประพฤติธรรมได้ถูกตรงตามธรรม ย่อมบรรลุธรรมที่ประพฤติได้ตามสมควรแก่วาสนาบารมี การปฏิบัติธรรมมีอยู่ ๒ แนวทางคือ

๑. ทำจิตให้สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ (สมถภาวนา) ต้องพัฒนาจิตให้เข้าถึงความตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ทั้งนี้จะประพฤติได้ต้องมีศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย ลงคุมใจ คำว่า “ มีศีล ไม่ขาด ไม่ทะลุ ” หมายถึง มีศีล ๕ อยู่ครบทุกขณะตื่น และคำว่า “ มีศีล ไม่ด่าง ไม่พร้อย “ หมายถึง มีศีล ๕ บริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งเศร้าหมอง (กิเลส) เจือปน หากเป็นได้ดั่งนี้แล้ว จึงจะเป็นศีลที่นำไปสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิของจิต

๒. ทำจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนาภาวนา) จะเกิดได้ต้องนำจิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ ไปพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม จนเห็นตามความเป็นจริงว่า รูปธรรมและนามธรรมดังกล่าว ตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ ปัญญาเห็นแจ้งจึงจะเกิดขึ้นได้

ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์ จะให้เกิดผลก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ต้องประพฤติตามข้อ ๑. ให้ได้ก่อน แล้วจึงประพฤติตามข้อ ๒. การพัฒนาสมาธิ การพัฒนาญาณให้ก้าวหน้าจึงจะเกิดได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


First of all, I would like to thank archarn very much. I have listened to some of your lectures and it makes me want to change myself. Now I am trying to change myself to the right way of life. I am from Laos . My husband is from Taiwan but his race is white. We live together in my parents' home. I have 2 sisters and 1 brother. Now my youngest sister and brother are studying in Vietnam so at home now only my parents and my sister and her husband. The problem is with my husband and my sister, they are not get a long well with each other. My husband always says he hates my sister and her husband and he doesn't belong to my family, when he is angry he always say bad thing about all of our family including me. He doesn't even want my sister and her husband to touch our baby whenever he sees that he burst his temper, he used to burst temper at my sister 2 times, but with me many times but everyone in the house can hear that, my mother and father are very worried about us.

I don't know what to do, I tried to talk to my husband but it even makes him angrier. I would like archarn to suggest me of what to do, I want to move out of the house and live by our own but we can't afford that, my husband doesn't do much now, he only teach English 1 hour a day and the rest of the day just stay home. My husband said he doesn't want to live here, he even went back to his country and eventually he's back to my parents ‘ home again, I don't want him back here because I know the problem between him and my sister but eventually he's back. Everyday he complains about my sister and her husband, call them in bad name. When he says that I just listen and don't answer back but the situation is getting worse. I am very worried every minute at home that he would burst his temper at my sister again and my parents would be worried as well. I would like to ask archarn as follow:

1. Why does my husband hate my sister so much? I know my sister can have temper too but she doesn't make the big problem at all, even small thing my sister does, my husband would take them in great thing to angry about.

2. What should I do to all of this situation? I am the one in the middle. My husband likes to tell me what to tell my parents and my sister but I don't want to tell my sister and parents like what he says, I just lied to him each time that I told already and of course he knows that I didn't tell them then he's angry with me and say I am not a good wife and he doesn't need me anymore whenever he says something bad to me or my family I never answer back but in my mind I feel bad. What should I tell my husband? If he does this only to me, I forgive him as I feel sympathy of him of doing all those things but he affects my family which they think different than me.


Thanks Archan very much

คำตอบ
(1) สามีและน้องสาวของผู้ถามปัญหา เป็นคู่เวรซึ่งกันและกัน เมื่อต่างโคจรมาพบกัน กรรมที่เป็นความพยาบาท (เวร) ย่อมให้ผลสิ่งที่บอกเล่าไปคือโทละ จึงได้เกิดขึ้นกับสามีของผู้ถามปัญหา

(2) หากผู้ถามปัญหาประสงค์มีชีวิตที่อยู่เป็นสุข ในทางธรรมต้องเจริญขันติและพรหมวิหาร ๔ (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) ให้เกิดขึ้นกับใจของตัวเอง เมื่อใดที่ขันติและเมตตาได้เกิดขึ้นแล้ว เรื่องติดลบของสามีกับบุคคลที่อยู่รอบข้าง จะไม่เข้ามากวนใจให้ขุ่นมัวได้อีกต่อไป

อนึ่ง ในมุมมองของสามี มองผู้ถามปัญหาว่าเป็นภรรยาที่ไม่ดี นั่นเป็นการมองถูกของเขา จึงได้พูดออกมาเช่นนั้น ในทางตรงกันข้าม ผู้รู้มองว่า ผู้ถามปัญหาเป็นภรรยาที่ดีที่เห็นผู้มีจิตใจโกรธเคือง (ผูกโกรธ) ว่าเป็นคนที่น่าสงสารและให้อภัยเขาได้

ถามไปว่า จะพูดบอกสามีอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากผู้ถามปัญหามีเมตตาและคิดจะช่วยเหลือสามี ควรถามเขาในขณะที่เขามีอารมณ์ดีมีอารมณ์สงบว่า
• ระหว่างความโกรธกับความไม่โกรธ คุณชอบที่จะเป็นอย่างไหน
• ผู้ใดให้อภัยคนที่เป็นเหตุทำให้ขัดใจได้ ผู้นั้นมีเมตตา ผู้มีเมตตาเป็นผู้มีอารมณ์สงบเย็น และไม่มีใจคิดโกรธเคืองผู้ใด
• คนมีเมตตา หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย นอนไม่ฝันร้าย มีสีหน้าผ่องใส ฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 59, 60, 61, 62, 63, 64, 65 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร