วันเวลาปัจจุบัน 22 มิ.ย. 2025, 14:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2009, 10:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อยากได้รายละเอียดเหมือนกันครับว่าท่านได้แสดงวิธีการปฏิบัติไว้ว่าอย่างไรบ้าง :b1:

:b16: :b16: ...แต่ผมขี้เกียจพิมพ์....หงะ... :b16: :b16:

ถ้าจะคุย...คุยเรื่องพระสูตรที่คุณว่า...ดีกวั่ว... :b16: :b16:

ช่วงนี้ยิ่งเซ้ง ๆ อยู่ด้วย... :b6: :b6: :b6: เซ็งเรื่องอื่นครับ...

เห็นคุณเป็นคนอารมณ์เย๊น เย็นนะ ผมจึงหนีร้อนมาพึงเย็น...หน่ะ...

เอาพระสูตรมาเทินหัวดีกว่าเอาอย่างอื่นมาเทินหัว...

อย่าถือสานะครับ...ถ้าผมจะใช้วาจายียวนบ้าง... จริง ๆ แล้วผมน่ารักครับ...น่ารักสุด ๆ เลยด้วย...

:b4: :b4: :b4:


แก้ไขล่าสุดโดย yahoo เมื่อ 28 ส.ค. 2009, 11:15, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2009, 11:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


yahoo เขียน:
.

อย่าถือสานะครับ...ถ้าผมจะใช้วาจายียวนบ้าง... จริง ๆ แล้วผมน่ารักครับ...น่ารักสุด ๆ เลยด้วย...

:b4: :b4: :b4:

รูปภาพ
จิงเหยออ เอ๋ออๆๆๆๆ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2009, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Bwitch เขียน:
yahoo เขียน:
.

อย่าถือสานะครับ...ถ้าผมจะใช้วาจายียวนบ้าง... จริง ๆ แล้วผมน่ารักครับ...น่ารักสุด ๆ เลยด้วย...

:b4: :b4: :b4:

รูปภาพ
จิงเหยออ เอ๋ออๆๆๆๆ


หุ หุ ... นี่คุณนิ๊กกี้ เกรงใจคุณ Supareak หน่อยเถอะ...
ผมทะเล้นกับเขาคนเดียวก็น่าจะพอทนแล้ว...ล่ะ
(ยังไงเขาต้องทน เพราะถ้าเขาไม่ยอมทนผม...ผมจะวิ่งไปฟ้องอาจารย์เขา... :b4: :b4: อิ อิ มีขู่ มีขู่)

นี่อย่าบอกนะว่า....คุณจะตามมาสมทบอีก... :b14: :b14:
เดี๋ยวคุณ...Supareak ก็ยันผมออกจากกระทู้ของเขาหรอก...
....
ให้คนเกเร..หน้ามึน..อย่างผมที่ในหัวมีแต่หนอนขี้เลื่อย ได้กลับตัวกลับใจมาศึกษาพระสูตรเถอะครับ...
:b9: :b9:
ให้ผมได้มีโอกาสสร้างเหตุที่ดี ๆ เถอะ... :b32: :b32:
พระสูตรที่เขาแนะนำมาน่าอ่านทั้งนั้น

:b44: :b44: :b44:

:b8:
ขอโทษนะครับ...
เพราะความทะเล้นของผมทำให้กระทู้...ที่ออกแนววิชาการมาตลอดของคุณมัวหมองรึเปล่าครับนี่...
:b12: :b12: :b12:

:b47: :b47: :b47:


แก้ไขล่าสุดโดย yahoo เมื่อ 28 ส.ค. 2009, 14:14, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2009, 14:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


yahoo เขียน:
Bwitch เขียน:
yahoo เขียน:
.

อย่าถือสานะครับ...ถ้าผมจะใช้วาจายียวนบ้าง... จริง ๆ แล้วผมน่ารักครับ...น่ารักสุด ๆ เลยด้วย...

:b4: :b4: :b4:

รูปภาพ
จิงเหยออ เอ๋ออๆๆๆๆ


หุ หุ ... นี่คุณนิ๊กกี้ เกรงใจคุณ Supareak หน่อยเถอะ...
ผมทะเล้นกับเขาคนเดียวก็น่าจะพอทนแล้ว...ล่ะ
(ยังไงเขาต้องทน เพราะถ้าเขาไม่ยอมทนผม...ผมจะวิ่งไปฟ้องอาจารย์เขา... :b4: :b4: อิ อิ มีขู่ มีขู่)

นี่อย่าบอกนะว่า....คุณจะตามมาสมทบอีก... :b14: :b14:
เดี๋ยวคุณ...Supareak ก็ยันผมออกจากกระทู้ของเขาหรอก...
....
ให้คนเกเร..หน้ามึน..อย่างผมที่ในหัวมีแต่หนอนขี้เลื่อย ได้กลับตัวกลับใจมาศึกษาพระสูตรเถอะครับ...
:b9: :b9:
ให้ผมได้มีโอกาสสร้างเหตุที่ดี ๆ เถอะ... :b32: :b32:
พระสูตรที่เขาแนะนำมาน่าอ่านทั้งนั้น

:b44: :b44: :b44:

:b8:
ขอโทษนะครับ...
เพราะความทะเล้นของผมทำให้กระทู้...ที่ออกแนววิชาการมาตลอดของคุณมัวหมองรึเปล่าครับนี่...
:b12: :b12: :b12:

:b47: :b47: :b47:




:b8: ท่าน จขกท. ท่านคงไม่ถือดิฉันหรอกค่ะ
ดิฉันตั้งใจเข้ามาเก็บเกี่ยวความรู้ และก็เรยเห็นคุณกำลังทำหน้ามึนอยู่ :b16:

tongue tongue tongue

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 06:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


การปฏิบัติเพื่อบรรลุเป็นโสดาบันบุคลนั้น มีหลักการและวิธีการง่ายๆ ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อน ผู้ที่กล่าวว่าการสำเร็จธรรมขั้นโสดาบันนั้นยาก แสดงว่าศึกษาพระไตรปิฎกมาไม่ครบถ้วนกระบวนความ ใช้การจำสืบต่อๆ กันมาผิดๆ ถูกๆ

ที่มีแสดงไว้อย่างชัดเจนในพระไตรปิฎก กล่าวว่า เมื่อบุคคลได้รับรู้และแทงตลอดในอริยสัจ ๔ อันได้แก่ รู้สิ้นเรื่องทุกข์ รู้สิ้นเรื่องเหตุแห่งทุกข์ รู้สิ้นเรื่องวิธีการดับทุกข์ เพราะได้ฟังธรรมจากสัตบุรุษ เกิดมีความเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีชีวิตปกติให้ทานเพื่อลดความตระหนี่ ถือศีลเพื่อการสำรวมกายใจ จากนั้นก็มาปฏิบัติธรรมอันได้แก่ การเจริญปัญญา หรือ การวิปัสสนาภาวนา

พละ ๕ เป็นกำลังของบุคคลที่จะพาไปถึงการบรรลุธรรม เพื่อการสิ้นกิเลสโดยลำดับ พละ ๕ อันได้แก่ ศรัทราพละ วิริยพละ สติพละ สมาธิพละ และปัญญาพละ เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลัง ต้องการจะยกของหนักขึ้น เมื่อมีแรงน้อย ก็ยกของได้น้ำหนักน้อย ต่อเมื่อหัดยกบ่อยๆ แรงก็มากขึ้นเป็นลำดับ หรือที่เรียกว่าอินทรีย์แข็งกล้าขึ้น จนในที่สุดก็มีกำลังในการยกของหนักๆ ได้ในที่สุด

เพื่อการบรรลุธรรมนั้น ปัญญาอินทรีย์ หรือ ปัญญินทรีย์ถือว่าเป็นใหญ่ เป็นประธานของอินทรีย์ทั้ง ๕ ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงปัญญินทรีย์ ก็อาจหมายรวมถึงอินทรีย์ทั้ง ๕ ประการได้เลย ปัญญินทรีย์ของพระโสดาบันนั้นได้มาจากการเจริญ การฝึก หรือการทำให้มาก ปัญญาที่กล่าวถึงถือการกำหนดรู้เรื่องการเกิดดับ หรือการรู้ทันความเป็นจริงของธรรมชาติและชีวิตเท่านั้น สิ่งที่บดบังเราจากความจริงทั้งหลาย คือ ความไม่รู้ ความหลง หรืออวิชชา หรือโมหะ ดังนั้น ด่านแรกที่จะต้องผ่านไปให้ได้ คือ การเห็นจริงตามความเป็นจริง หรือสร้างปัญญารู้จริง อันเกิดจากปัญญาชนะโมหะ(อย่างหยาบ) หรือยังให้มีวิชชาเกิดขึ้น ในขณะที่ปฏิบัติ ทั้ง โลภะ โทสะ โมหะ ก็จะลดลงไปเป็นลำดับด้วยเช่นกัน

ปัญญินทรีย์
ปัญญินทรีย์ อินทรีย์คือปัญญา ทรงตรัสอธิบายไว้ว่าเป็นผู้มีปัญญาประกอบด้วยปัญญาที่รู้ทั่วถึงความเกิดความดับ ปัญญาที่ให้ถึงรู้เกิดดับหรือว่าปัญญาคือรู้ทั่วถึงเกิดดับ อันเป็นอริยะคือที่ประเสริฐอันเป็นปัญญาที่เจาะแทงกิเลส ที่ให้ถึงความสิ้นทุกข์ได้โดยชอบ


การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง การพิจารณาเห็นความทุกข์ การพิจารณาเห็นอนัตตา การพิจารณาเห็นด้วยความเบื่อหน่าย การพิจารณาเห็นด้วยความคลายกำหนัด การพิจารณาเห็นด้วยความดับ การพิจารณาเห็นด้วยความสละคืน การพิจารณาเห็นความสิ้นไป การพิจารณาเห็นความเสื่อมไป การพิจารณาเห็นความแปรปรวน การพิจารณาเห็นความไม่มีเครื่องหมาย การพิจารณาเห็นธรรมไม่มีที่ตั้ง การพิจารณาเห็นความว่างเปล่า การพิจารณาเห็นธรรมด้วยปัญญา ความรู้ความเห็นตามความเป็นจริง การพิจารณาเห็นโทษ การพิจารณาหาทาง การพิจารณาเห็นอุบายที่จะหลีกไป ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ

การที่จะเรียกได้ว่าเป็นอินทรีย์นั้น ต้องแสดงอาการลงสนามรบหรือทำงานหนัก เพื่อการประสบชัยชนะ มีเป้าหมายเป็นขั้นๆ ไป เช่น วันนี้ตั้งเป้าว่าจะยกของหนัก ๒๐ กิโลฯ ให้ได้ เมื่อยกได้ ก็ตั้งเป้าให้สูงขึ้นไปอีก เช่น ๕๐ กิโลฯ ๑๐๐ กิโลฯ เป็นต้น ปญัญินทรีย์จึงเป็นอาการแสดงถึงปัญญาที่ชนะศึกได้ และสิ่งที่เป็นอริกับปัญญานั้นก็คือ โมหะ ปัญญาจึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า อโมหะ

สัทธินทรีย์ด้วยความว่าน้อมไป วิริยินทรีย์ด้วยความว่าประคองไว้ สตินทรีย์ด้วยความว่าตั้งมั่น สมาธินทรีย์ด้วยความว่าไม่ฟุ้งซ่าน ปัญญินทรีย์ด้วยความว่าเห็น ศรัทธาพละด้วยความว่าไม่หวั่นไหวเพราะความไม่มีศรัทธา วิริยพละด้วยความว่าไม่หวั่นไหวเพราะความเกียจคร้าน สติพละด้วยความว่าไม่หวั่นไหวเพราะความประมาท สมาธิพละด้วยความว่าไม่หวั่นไหวเพราะความฟุ้งซ่าน ปัญญาพละด้วยความว่าไม่หวั่นไหวเพราะอวิชชา ควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ

หากจะเปรียบการปกิบัติธรรมเป็นเหมือนการเรียน โสดาบันก็จะเทียบเท่าระดับปริญญาตรี สกิทาคามีก็จะเทียบได้กับปริญญาโท อนาคามีก็เทียบเท่าปริญยาเอก อรหันต์ก็เทียบเท่าศาสดาจารย์

ในระดับปริญญาตรีนั้ ก็ยังแบ่งออกเป็น ๔ ระดับ ตั้งแต่ปี ๑ ถึงปี ๔ และตัวที่จะชี้วัดว่าปฏิบัติธรรมได้ถึงระดับใด ก็คือ ความแก่กล้าของอินทรีย์ จึงเป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดผลสมาบัติแต่ละขั้นขึ้นมาได้

เมื่อใดที่เราเกิดเวทนา (ความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง เศร้าเสียใจ ดีใจ พอใจ ไม่พอใจ ฯ) เมื่อเราทำการวิปัสสนา ปัญญาก็เกิดขึ้นมาเพื่อพิจารณาเวทนานั้น ผลก็คือ เวทนานั้นก็จะดับไป ๑ ที ถือว่าชนะ ๑ ยก บางทีพิจารณาไม่ทัน ก็แพ้ไป ๑ ยก สรุปทั้งวัน รวมเป็นคะแนนแล้ว จะแพ้ชนะ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียร (วิริยะพละ) ขึ้นอยู่กับสติ

ในขั้นที่สูงขึ้นอีก ยกขึ้นไปอีก ก็คือ การพิจารณาอารมณ์ เพราะอารมณ์จะเกิดขึ้นก่อนเวทนา เพียงชั่วขณะหากไม่ใส่ใจในการวิปัสสนา เวทนาก็จะเกิดตามมาทันที แต่ถ้าสติพละมีความแคล่วคล่องว่องไวจนสามารถพิจารณาอารมณ์ได้ทัน ผลก็คือ เวทนาจะไม่ทันได้เกิด อันนี้ถือว่าชนะได้เด็ดขาด ระหว่างที่ปฏิบัติ ช่วงแรกๆ ก็ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ถือว่าเป็นปกติ ทำบ่อยๆ ก็จะทันได้เอง เป็นการฝึกทักษะ จากนั้นก็หันมาพิจารณารูปกายบ้าง ว่ากายเราก็ไม่เที่ยง เกิดดับ ประกอบกันไป

เมื่ออินทรีย์ของผู้ปฏิบัติแข็งแรงถึงระดับหนึ่ง ปัญญินทรีย์แข็งแรงดีแล้ว สัมมาทิฏฐิอันเป็นองค์มรรคก็จะเกิดขึ้น ความหลงจะตามปัญญาไม่ทัน

สัมมาทิฏฐิมี ๒ อย่าง คือ ที่ยังมีสาสวะ กับสิ้นสาสวะแล้ว สัมมาทิฏฐิที่เป็นอสาสวะนั้น ก็คือ ปัญญินทรีย์นั่นเอง เพราะมีความเห็นที่ถูกต้องเกิดขึ้นคือ เห็นความเป็นไตรลักษณ์ เมื่อสัมมาทิฏฐิอันเป็นประธานของมรรค ๘ เกิดขึ้นแล้ว องค์มรรคอื่นๆ ก็จะเกิดตามๆ กันมา แต่ถ้าสัมมาทิฏฐิยังไม่เกิด องค์ธรรมที่เหลือก็จะเกิดขึ้นไม่ได้

การเจริญปัญญานั้น สามารถทำได้ควบคู่กับการใช้ชีวิตประจำวัน ที่กล่าวไว้ชัดเจนในพระไตรปิฎกคือ การวางไว้ในใจอย่างแยบคาย การกำหนดรู้กำหนดเห็นการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา หรือที่เรียกว่าการวิปัสสนาภาวนา พิจารณาขันธ์ ๕ อินทรีย์ ๖ ผลก็คือ สามารถทำให้สังโยชน์ ๓ สิ้นไปได้ หรือสำเร็จเป็นโสดาบันบุคคลได้สมบูรณ์แบบ

วิปัสสนา = เจริญปัญญา
ภาวนา = ทำให้มาก


อินทรีย์ด้วยความว่าเป็นใหญ่ พละด้วยความว่าไม่หวั่นไหว โพชฌงค์ด้วยความว่านำออก มรรคด้วยความว่าเป็นเหตุ สติปัฏฐานด้วยความว่าตั้งมั่นสัมมัปปธานด้วยความว่าตั้งไว้ อิทธิบาทด้วยความว่าสำเร็จ สัจจะด้วยความว่าเที่ยงแท้ สมถะด้วยความว่าไม่ฟุ้งซ่าน วิปัสนาด้วยความว่าพิจารณา สมถะและวิปัสนาด้วยความว่ามีกิจเสมอกัน ธรรมชาติที่เป็นคู่ด้วยความว่าไม่ล่วงเกินกันควรรู้ยิ่งทุกอย่าง ฯ

ชาวพุทธทั้งหลาย เมื่อยกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ปกติให้ทำทาน ถือศีล ปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ชีวิตนี้ปิดทางลงอบายภูมิได้ ไม่ต้องสะดุ้งกลัวความตายอีกต่อไป

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 03 ก.ย. 2009, 21:41, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2009, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


เลยไม่ได้รายละเอียดจากคุณ Buddha เลย :b6: ก็จะขอทิ้งคำถามไว้เผื่อท่านจะกรุณามาตอบ

1. คนธรรมดาสามารถเห็นวรณรังสีได้ด้วยหรือ?
2. ปกติ เทวดา อินทร์ พรมหรณ์ ที่ยังไม่ได้มรรคผล มีวรณรังสีออกมาด้วยหรือไม่?
3. ปกติ พวกฤาษีชีไพรที่ปฏิบัติจนสิ้นราคะ แต่ยังไม่ได้มรรคผล มีวรณรังสีออกมาด้วยหรือไม่?
4. คนธรรมดาที่ถือศีลเคร่ง แต่ยังไม่ได้มรรคผล มีวรณรังสีออกมาด้วยหรือไม่?
5. คนธรรมดานี่มีจิตตั้งมั่น(สมาธิ) แต่ยังไม่ได้มรรคผล มีวรณรังสีออกมาด้วยหรือไม่?
6. คนปกติธรรมดา ไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไรเลย มีวรณรังสีออกมาด้วยหรือไม่?

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 04 ก.ย. 2009, 19:36, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2009, 22:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
เลยไม่ได้รายละเอียดจากคุณ Buddha เลย :b6: ก็จะขอทิ้งคำถามไว้เผื่อท่านจะกรุณามาตอบ

1. คนธรรมดาสามารถเห็นวรณรังสีได้ด้วยหรือ?
2. ปกติ เทวดา อินทร์ พรมหรณ์ ที่ยังไม่ได้มรรคผล มีวรณรังสีออกมาด้วยหรือไม่?
3. ปกติ พวกฤาษีชีไพรที่ปฏิบัติจนสิ้นราคะวิราคะ แต่ยังไม่ได้มรรคผล มีวรณรังสีออกมาด้วยหรือไม่?
4. คนธรรมดาที่ถือศีลเคร่ง แต่ยังไม่ได้มรรคผล มีวรณรังสีออกมาด้วยหรือไม่?
5. คนธรรมดานี่มีจิตตั้งมั่น(สมาธิ) แต่ยังไม่ได้มรรคผล มีวรณรังสีออกมาด้วยหรือไม่?
6. คนปกติธรรมดา ไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไรเลย มีวรณรังสีออกมาด้วยหรือไม่?



ไม่มี ฤาษีชีไพร ใดได้ วิราคะหรอก วิราคะเป็นชื่อหนึ่งของพระนิพพาน

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2009, 22:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


พระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นชื่อโดยสมมุติ

สภาวะที่เป็นปรมัตถ ก็เป็นอันเดียวกันหมด

ถ้าได้แล้วรู้แล้วก็พ้นไป

ถ้าไม่ได้ ก็ มุสาวาส

เอาอะไรหนักหนาปวดหัว 555+


ไปตาม รู้กายรู้ใจโดยมีสติ อยู่กับปัจจุบัน ด้วยจิตที่เป็นกลาง

ดีกว่า


เขียนกันมาก เสียเวลา ภาวนา

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2009, 23:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: คิก..คิก..คิก..

เขียนมามาก ๆ ..ก็ดีนะท่านขงเบ้งฯ

จะได้เห็น..ว่า..โสดาปัตติผล 1 กะ โสดาปัตติมรรค 19 ?..เขาเป็นกันอย่างไร..แบบไม่เอาสมาธิ ไม่เอาฌาณ

แต่พอถูกถามว่า..ที่ท่านแบ่งโสดาบันได้ 4 ประเภท..ท่านไปเอามาจากไหน?

ท่าน จขกท. ก็ตอบว่า..มาจากมรรคจิต ผลจิต ( ฌาณ 1-5)

งงมัย..ท่าน จขกท. ตอบแบบขัดแย้งกันเอง..

ท่านว่าทำนอง..ทำแบบไม่ต้องทำตัวฌาณ..แต่กลับมาแบ่ง..โดยใช้ตัวฌาณ :b12: :b12:

ยังมีอีก..พอมีคนมาบอกว่า..จริง ๆ โสดาบันมี 3 ประเภท..

ผมก็มาย้อนถาม..กะ ท่าน จขกท.

ท่านก็ว่า..ณาน 2 กะ 3 มันใกล้เคียงกัน เอาอย่างง่าย ๆ ก็เลยรวม ๆ เหลือ 1 ว่างั้นเถอะ..

เอ้อ..น้ำขุ่น ๆ ก็ไปได้เนาะ..มัว ๆ ดี :b12: :b12: :b41:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 03 ก.ย. 2009, 23:35, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 19:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ไม่มี ฤาษีชีไพร ใดได้ วิราคะหรอก วิราคะเป็นชื่อหนึ่งของพระนิพพาน

ขอบพระคุณครับที่กรุณาบอกกล่าว ผมแก้เป็นราคะอย่างเดียวแล้วนะครับ จะได้ไม่สับสน :b7: :b4:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 04 ก.ย. 2009, 19:47, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 19:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณกบนี่ช่างเข้าใจให้ผมรื้อตำหรับตำราจริงๆ :b12:

ต้องขออภัยเพราะอธิธรรมนี่ชอบพาให้หลง ไอ้ที่เอามัคจิตกับผลจิตมาวัดนี่สรุปว่าผมหลงไปเอง ต้องขออภัย มัคคที่เกิดขึ้นแก่ท่านที่เจริญวิปัสสนาล้วน ๆ ประกอบด้วยปฐมฌานฯ อย่างเดียว พวกเราแบ่งขั้นตามระดับความแข็งของอินทรีย์ ไม่ได้กำหนดเป็นประเภท ส่วนที่กำหนดเป็นประเภทนั้นถ้ามีท่านใดทราบรายละเอียดที่มาที่ไปมากกว่านี้ก็รบกวนนำมาอธิบายให้ด้วยจักขอบพระคุณมาก

** ไอ้ที่ตอบผิดตัดออกไปแล้ว คนตามมาอ่านจะได้ไม่พากันผิดตาม

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 04 ก.ย. 2009, 20:19, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 20:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
คุณกบนี่ช่างเข้าใจให้ผมรื้อตำหรับตำราจริงๆ


:b12: :b12: :b12: :b12: :b12: :b12: :b12: :b12: :b12:

ตำรา..ม่ายเอาว..จะเอาวของจริง


:b4: :b4: :b4: :b4: :b4: :b4: :b41: :b45: :b43: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 20:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


วันออกพรรษานี้ พวกเราจะมารวมกันที่ถ้ำน้ำดิบดอยไซ ทำการสัการะบูชากู่พระอรหันต์ที่มีอายุกว่า 1600 ปี มีจำนวนพระอรหันต์ที่ดับขันธ์ปรินิพานที่เมืองลำพูนจำนวน 24 รูป หากมีโอกาสก็เชิญมาร่วมกันได้ โอกาสแบบนี้จะมี 4 ครั้งในหนึ่งปี

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 20:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าว่าง..ก็น่าไป ..นะ

แต่ช่วงงานบุญนะ..คิวผมแน่นเอียด..คือถ้าได้หยุดงานเมื่อไร..จะรีบไปปฏิบัติธรรม..ทันที..ยิ่งช่วงนี้..ยุ้ง ๆ ก็เลย ห่าง ๆ ออกมาบ้าง..

ต้องชาร์ทแบตฯ ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2009, 16:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้าพเจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่พวกท่านกำลังสนทนากันดอก

ข้าพเจ้าเพียงแต่ปฏิบัติธรรมสำหรับปุถุชนทั่วไป ทุกวัน

สบายใจไปทุกวัน อิ่มเอิบใจทุกสถานการณ์ที่ได้ทำสิ่งดีงาม

มนุษย์เหมือนพี่น้องกัน อวัยวะทุกส่วนมีชื่อเรียกขานเหมือนกัน

ข้าพเจ้าไม่พึงจะบรรลุเป็นฐานะใด

ข้าพเจ้าเพียงทำตามคำศาสดาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

อนุโมทนาครับ

:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร