วันเวลาปัจจุบัน 20 มิ.ย. 2025, 11:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2009, 01:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


หลักการดูและเห็นทางจิต


ข้อที่ต้องเปรียบเทียบกันตั้งแต่ขั้นต่ำสุด คือ ขั้นที่ดูด้วยตาธรรมดา เช่น จดไว้ในกระดาษแล้วเราก็ดู
ด้วยตา แล้วก็เห็น มันก็เห็นตัวหนังสือที่เขียนว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
ก็ดูตัวหนังสือในกระดาษแล้วก็เห็นนะ มันไม่เห็นธรรมะ เพราะมันไม่ได้ดูด้วยธรรมจักษุ
มันดูด้วยตาเนื้อ ต่อเมื่อดูด้วยธรรมจักษุ จึงจะเห็นธรรม ซึ่งดูด้วยตาเนื้อไม่เห็น


ธรรมจักษุที่จะเห็นธรรมนั้น มันต้องดูด้วยอะไร? ลองสังเกตุของตัวเองดู ในบาลีก็มีคำว่า
ธัมมจักขุง จักษุสำหรับเห็นธรรม ก็คือ ปัญญา หรือเจตสิกธรรม ที่เป็นกลุ่มของปัญญานั่นแหละ
ปัญญานี้มันต้องอาศัยการดูด้วยจิตที่เป็นสมาธิ จิตเป็นสมาธิแล้วก็น้อมไปเพื่อจะเห็น
ฉะนั้น เราจะต้องทำปัญญาจักษุกันอยู่เป็นประจำ


โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ดูอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เห็นอยู่ด้วยปัญญาจักษุ ไม่ใช่ปากว่าบริกรรม
แต่ให้รู้สึกเห็น เห็นอย่างรู้สึก รู้สึกอย่างที่เห็น นับตั้งแต่ดูด้วยตา แล้วก็ดูด้วยปัญญา แล้วก็รักษา
การดูนั้นไว้ด้วยปัญญา ยกตัวอย่างเรื่องที่พวกเราทำกันอยู่เป็นประจำ คือว่า เดินจงกรมนี้
ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ถ้าดูที่เท้าด้วยตา มันก็คือการเห็น ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ
ดูด้วยตา ดูที่เท้า ที่จริงมันไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องศึกษาด้วยปัญญาก่อนจนเห็นว่า มันมีแต่
การยกหรือย่าง หรือเหยียบ เท่านั้นหนอ ไม่มีบุคคล ผู้ยก ผู้ย่าง ผู้เหยียบเลย เพราะว่าเรื่องธรรมะ
ขั้นปัญญานั้น มันไม่ใช่ยกเท้าขึ้นมา แล้วยื่นออกไป แล้วเหยียบลง ตัวอย่างนี้ มันเป็นเรื่องสติ หรือสมาธิ


ยกหนอ หมายความว่า มันสักว่ามีการยกเท้า มีเท้าที่ยกขึ้นแล้วหนอ แต่ไม่มีบุคคล ที่เป็นผู้ยก
หรือเป็นเจ้าของเท้านี้ ให้เขาบริกรรมสั้นมากกว่า ยกหนอ เท่านั้น ถ้าทำได้ลึกอย่างนั้น มันก็เป็น
การเห็นอยู่ เห็นธรรมะอยู่ เมื่อยก ย่าง เหยียบนั่นแหละ สักว่าการยกเท้าเท่านั้นหนอ
สักว่าการย่างเท้าไปเท่านั้นหนอ สักว่าการเหยียบเท้าลงเท่านั้นหนอ นี่มันลึกมาก มันเป็นหัวใจ
ของธรรมะทั้งหมด คือว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ถ้าทำถึงที่สุดเป็นวิปัสสนา มีความหมายอย่างนี้


ถ้าทำในขั้นริเริ่มต้นๆ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ เป็นขั้นสติ ว่าสติอยู่ที่เท้ายกขึ้นมา ที่เท้าเสือกไป
ที่เท้าหย่อนลง ก็เป็นสติเท่านั้น ยังไม่ใช่ปัญญา ยังไม่ใช่การเห็น เป็นการควบคุมด้วยสติหรือว่า
การที่มีสติมั่น ผูกพันติดอยู่กับเท้าที่ยก ย่าง เหยียบนี้ อย่างนี้มันก็เป็นสมาธิ ยังไม่ใช่ตาเห็นธรรม
ยังไม่ใช่เห็นในขั้นวิปัสสนา ขั้นวิปัสสนามันก็ต้องเห็นที่ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่แท้ที่จริงแล้ว
ต้องการให้เห็นอนัตตาหรือสุญญตา ว่าไม่มีสัตว์ บัคคล ตัวตนอะไรที่ไหน ซึ่งเป็นผู้ยก ผู้ย่าง
ผู้เหยียบ ตัวธรรมะแท้ เห็นด้วยปัญญา เรียกว่า วิปัสสนา


ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ไม่เพียงแต่ว่าเป็น สติ หรือว่าเป็นสมาธิ และไม่ได้หมายความว่า
เห็นด้วยตา ความจริงการดับกิเลสตัณหานี้ ดับด้วย อนัตตา เพียง อนิจจังยังไม่ดับ
ต้องให้เห็นทุกขัง เพียงทุกขัง ยังไม่ดับ ต้องเห็นอนัตตา มันจึงจะเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด
บรรลุมรรคผลได้ ให้เห็นว่า สังขารทั้งปวงเป็นอนัตตา สิ่งปรุงแต่งทั้งหลายเป็นอนัตตา
เอาปัญญาเป็นจักษุ ธรรมจักษุนี้มาดูอยู่ด้วยกันตลอดเวลาทุกอริยาบถ เมื่ออริยาบทยืนก็ยืนหนอ
สักว่าการยืนหนอ ไม่มีเจ้าของตัวผู้ยืน เมื่อเดินนี้แยกเป็น ยก ย่าง เหยียบนี้ มันก็สักว่า ยก ย่าง เหยียบ
ไปตามเหตุ ปัจจัยของมันเท่านั้นเองหนอ ไม่มีส่วนไหนที่จะเป็นบุคคล ตัวตนอันแท้จริง เพราะฉะนั้น
ทุกๆหนอ อาจจะทำให้เป็นวิปัสสนาได้ ถ้าขั้นฉันอาหาร หยิบหนอ ยกหนอ ใส่ปากหนอ เคี้ยวหนอ
กลืนหนอ นี่ก็เหมือนกันอีก สักว่ามือมันหยิบอาหารมาด้วยเหตุปัจจัยนามรูปอะไรก็ตาม ไม่มีกู
ไม่มีกูผู้หยิบอาหาร ไม่มีกูผู้กินอาหาร ไม่มีผู้กลืนหนอ อร่อยหนอ ไม่มีตัวตนแห่งความอร่อย
ไม่มีตัวตนแห่งบุคคลอร่อยเลย


จะเดิน จะยืน จะนั่ง จะนอน จะกิน จะอาบ จะถ่าย อุจจาระ ปัสสาวะ ทุกอย่างแหละ ใส่คำว่า หนอ
แล้ว มันเป็น สักว่า เท่านั้น หรือ เช่นนั้น เท่านั้นหนอ มันเป็นวิปัสสนาอยู่ในอริยาบถนั้นๆถึงกับว่า
จะบรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ในอริยาบถนั้นๆอยู่ก็ได้ เพราะว่าเป็นวิปัสสนา


การดูและการเห็น มันไม่ได้อยู่ที่ไหนเมื่ไร ในอริยาบถไหนมันก็เกิดบรรลุมรรคผลขึ้นได้ ในอริยาบถนั้นๆ
ที่นั่น และเมื่อนั้น เพราะฉะนั้น เราทำให้ดีๆสิ ทำให้ถูกๆ ให้ดีๆ ให้เป็นวิปัสสนา คือ ดูและเห็น
อยู่ด้วยปัญญาจักษุ ก็จะบรรลุธรรม คือ บรรลุมรรคผล


สรุปความว่า ขอให้ปฏิบัติถึงขั้นที่มันเป็นวิปัสสนา เช่น ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ก็ให้ถึงขั้น
วิปัสสนา คือ รู้อยู่แก่ใจแจ่มชัดว่า มันสักว่า อริยาบถ ยก ย่าง เหยียบ เท่านั้นหนอ ไม่มีผู้ยก ย่าง
เหยียบ สักว่า เป็นกิริยา อาการของการ ยก ย่าง เหยียบ เท่านั้นหนอ นี้เรียกว่า วิปัสสนา คือ การเห็น

บทความหลวงพ่อพุทธทาส


นำมาให้อ่านเปรียบเทียบ ให้เห็นว่า ไม่ว่าจะนำมาบรรยายแบบไหน ก็คือ สภาวะเดียวกัน


เมื่อโยคีบุคคลได้กำหนดพิจรณาในสังเขตธรรมรูป,นามที่เกิดอยู่เฉพาะหน้าตามสภาวะที่เกิดจาก
เหตุปัจจัยอยู่ สันตติบัญญัติและฆนบัญญัติที่กำบังปกปิดการเกิดดับของสังเขตธรรมรูป,นาม
ที่ขาดแตกไป เป็นความเห็นที่บริสุทธิ์เกิดขึ้นเวลาใด เวลานั้นวิปัสสนาญาณของโยคีบุคคล
ก็เข้าถึงความเป็นอนิจจานุปัสสนาเป็นต้นได้ หมายความว่า ผู้ที่ไม่มีการกำหนดรู้ในสังเขตธรรม
ที่เกิดอยู่เฉพาะหน้าทุกๆระยะของจิตและรูปนั้น อย่าว่าแต่ความเกิดดับของสังเขตธรรมรูป,นามเลย
แม้แต่รูปนามที่เกิดอยู่เฉพาะหน้าก็ไม่รู้ไม่เห็นเสียแล้วคงรู้คงเห็นแต่บัญญัติ เช่น


เมื่อได้เห็นสีก็คงรู้คงเข้าใจไปในแง่ที่ว่านี้ ชาย หญิง เด็ก ผู้ใหญ่ สัตว์ ต้นไม้ บ้านเรือน ผ้าผ่อน

เมื่อได้ยินเสียง ก็คงรู้คงเข้าใจไปในแง่ที่ว่านี้เป็นเสียงชาย หญิง สัตว์ ดนตรี หัวเราะ ร้องไห้

เมื่อได้กลิ่น ก็คงรู้คงเข้าใจไปในแง่ที่ว่านี้ เป็นกลิ่นดอกไม้ กลิ่นของหอม กลิ่นอาหาร กลิ่นอุจจาระ

เมื่อได้รส ก็คงจะรู้คงเข้าใจไปในแง่ที่ว่านี้ รสมะขาม มะนาว ส้ม ผลไม้ พริก เกลือ น้ำตาล


เมื่อได้สัมผัสกับความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ก็คงเข้าใจไปในแง่ที่ว่านี้ น้ำแข็ง น้ำร้อน ไฟ
สำลี นุ่น ไม้ มีด อิฐ หิน พอง ยุบ ร่างกาย หย่อน เบา แข็ง ตุง หนัก ยกมือ ยกขา ดังนี้เป็นต้น
นี้เป็นโดยสันตติบัญญัติและฆนบัญญัติได้กำบังปกปิดในอารมณ์ภายนอกต่างๆและอารัมมณิกวิถีจิต
ภายในเอาไว้นั่นเอง จึงมีความรู้ความเข้าใจไปดังนี้ เรียกว่า สันตติบัญญัติไม่ขาด ฆนะก็ไม่แตก


แต่ความเป็นจริงนั้น ขณะที่เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ รูปารมณ์เก่าย่อมดับไป รูปารมณ์ใหม่เกิดขึ้น
ติดต่อกันไม่ขาดสาย ผู้เห็นคงเห็นแต่รูปารมณ์ที่เกิดใหม่ตลอดระยะเวลาที่ดูอยู่ วิถีจิตที่เกิดขึ้นรับ
รูปารมณ์คือ การเห็นนั้นแล้ว ก็มีการเห็นเก่าดับไป การเห็นใหม่เกิดแทน ติดต่อกันโดย
ไม่ขาดสายเช่นกัน แต่แล้วผู้ดูอยู่ก็เห็นผิดเข้าใจไปในรูปารมณ์และการดูของตนว่า รูปารมณ์
ที่ตนดูอยู่ก็ดี การเห็นของตนที่กำลังเห็นก็ดี ในนาทีแรกและนาทีหลังคงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
คงที่อยู่เป็นปกติ


ขณะได้ยิน ได้กลิ่น ได้สัมผัสอยู่ เสียงกับการได้ยินก็ดี กลิ่นกับการได้กลิ่นก็ดี รสกับการกินก็ดี เย็น
ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง กับการสัมผัสก็ดี เหล่านี้มีสภาวะเช่นกันคือ เก่าดับไป ใหม่เกิดขึ้น
ติดต่อกันไปไม่ขาดสาย แต่แล้วก็มีการเข้าใจผิดไปว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันคงที่อยู่ปกติ
การเกิดขึ้นสืบต่อกันแห่งอารมณ์ภายนอกและอารัมมณิกวิถีจิตภายในเป็นสันตติบัญญัติ
การเกิดขึ้นสืบต่อเนื่องกันไปมีสภาวะไม่ขาดสายแห่งอารมณ์ภายนอกและอารัมณิกวิถีจิตภายในนั้น
ซึ่งคล้ายๆกับเป็นกลุ่มเป็นกอง นี้เป็น ฆนบัญญัติ ในบัญญัติ ๒ ประการนี้ เมื่อสันตติบัญญัติปรากฏในใจ
ฆนบัญญัติก็ปรากฏในในพร้อมๆกัน ดังนั้นจะเรียกรวมกันทั้งสองอย่างว่าสันตติฆนบัญญัติก็ได้


สันตติฆนบัญญัติได้กำบังปกปิดไว้ดังกล่าวนี้แหละ จึงทำให้ผู้ที่ไม่มีสติกำหนดรูป,นามที่เกิดอยู่
เฉพาะหน้า ไม่มีใครได้รู้เห็นความเกิดดับที่เป็นอนิจจลักขณะได้


ฝ่ายผู้ที่ทำการกำหนดสังเขตธรรมรูป,นามที่เกิดอยู่เฉพาะหน้า โดยมีสติรู้อยู่ติดต่อกันไม่ขาดสายนั้น
ย่อมรู้เห็นแทงทะลุปรุโปร่งสันตติฆนบัญญัติ ที่กำลังปกปิดการเกิดดับของสังเขตธรรมรูป,นามไปได้
โดยการกำหนดรู้เห็นวิถีจิตที่ก่อเกิดก่อนและวิถีจิตที่เกิดขึ้นทีหลังในระยะเวลาที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น
ได้รส ได้สัมผัสกับ ความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง เมื่อย เจ็บ ปวด ดีใจ เสียใจ นึกถึงต่างๆเหล่านี้
ขาดลงเป็นตอนๆไม่เป็นอันหนึ่งเดียวกัน ในด้านรูปนั้น ก็คงกำหนดรู้เห็นรูปที่เกิดก่อนและรูปที่เกิดหลัง
ในระยะเวลาที่พองขึ้น ยุบลง หายใจเข้า หายใจออก ยกมือ ยกขา ก้าวไปข้างหน้า ถอยมาข้างหลัง
ลุกขึ้น นั่งลง เหลียวซ้าย แลขวา กระพริบตา อ้าปาก เหล่านี้ขาดเป็นตอนๆ ไม่ใช่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


การรู้เห็นในวิถีและอารมณ์ขาดเป็นตอนๆ ดังนี้เรียกว่า สันตติบัญญัติขา,ฆนบัญญัติแตก อนิจจลัขณะ
คือ ความเกิดดับไปก็ปรากฏขึ้น เป็นอันว่าวิปัสสนาญาณของผู้นั้นได้เข้าถึงอนิจจานุปัสสนาที่แท้จริง


บทความหลวงพ่อภัททันตะ อาสภะ มหาเถระ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2009, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัจจักขสัทธา - ความเชื่อ

ความเชื่อ ความเลื่อมใส ที่ประจักษ์แจ่มแจ้งแก่ตนเอง เพราะได้ปฏิบัติพิสูจน์จนรู้แจ้งเห็นจริงมาแล้ว
ไม่ต้องเชื่อใครๆอีก ตัวอย่างได้แก่ ท่านพระสารีบุตร มีเรื่องเล่าไว้ว่า

สมัยหนึ่ง ภิกษาอยู่ในป่า 30 รูป พากันมาสู่ที่เฝ้าของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงเห็นอุปนิสัย
แห่งอรหันตมรรคผลของภิกษุเหล่านั้น จึงเรียกพระสารีบุตรมา ตรัสถามว่า

" สารีบุตร เธอเชื่อไหมว่า อินทรีย์ ๕ มีสรัทธาเป็นต้นนี้ ถ้าผู้ใดอบรมแล้ว บำเพ็ญให้มากแล้ว
ผู้นั้นจะต้องหยั่งลงสู่พระนิพพานเป็นที่สุด? "

พระสารีบุตร กราบทูลว่า

" ข ขฺวาหํ ภนฺเต เอตฺถ ภควโต สทฺธาย คจฺฉามิ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพองค์ยังไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้เช่นนั้น คือ คนไม่รู้ ไม่ได้สดับ ไม่เห็น ไม่ทราบ ไม่ได้ทำให้แจ้ง
และไม่ถูกต้องด้วยปัญญาของตน เพียงแค่เชื่อผู้อื่นเท่านั้น ไม่มีโอกาสจะถึงอมตะได้
เป็นอย่างนั้นแน่นอนดังนี้ "

เมื่อภิกษุทั้งหลาย ฟังคำนั้นแล้ว พูดว่า
" พระสารีบุตรถือผิดเสียแล้ว พระเถระไม่เชื่อต่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย "

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอกล่าวอะไรกัน เราถามว่า สารีบุตร เธอเชื่อหรือว่า อันบุคคลผู้ที่ไม่ได้อบรม
อินทรีย์ ๕ ไม่ได้เจริญสมถะ วิปัสสนา จะสามารถทำมรรค ผล ให้แจ้งได้ มีอยู่

พระสารีบุตรกล่าวว่า พระเจ้าข้า ข้าพองค์ไม่เชื่อเลยว่า ผู้กระทำ มรรค ผล ให้แจ้งด้วยการปฏิบัติมีอยู่
สารีบุตรไม่เชื่อผลวิบากแห่งทาน อันบุคคลถวายแล้ว
หรือไม่เชื่อผลแห่งกรรม อันบุคคลกระทำแล้วก็หาไม่
สารีบุตรไม่เชื่อคุณของพระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นก็หาไม่
แต่สารีบุตรไม่เชื่อต่อผู้อื่น ในธรรม คือ ฌาน วิปัสสนา มรรค ผล อันตนได้เฉพาะแล้ว
เพราะฉะนั้น สารีบุตร จึงเป็นผู้อัน ใครๆไม่ควรติเตียนดังนี้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2009, 19:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


อินทรีย์ ๕

บรรดาอินทรีย์ ๕ นั้น ถ้าข้อหนึ่งมีกำลังมากเกินไป อินทรีย์นอกนั้นก็พึงทราบว่า
ไม่สามารถทำกิจของตนได้ แต่เมื่อว่าโดยพิเศษแล้ว นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมยกย่อง
สรรเสริญว่า สัทธากับปัญญาต้องเท่าๆกัน วิริยะกับสมาธิต้องเท่าๆกัน เพราะว่าคนที่มีสรัทธามาก
แต่มีปัญญาน้อยย่อมเลื่อมใสโดยลุ่มหลง คือ เลื่อมใสในสิ่งที่ไม่ควรเลื่อมใส
ส่วนคนมีปัญญามากแต่มีสรัทธาน้อย ย่อมตกไปในฝ่ายเกเรย่อมเยียวยาได้ยาก
ดุจโรคที่เกิดจากยา ย่อมทำให้นายแพทย์เยียวยาได้ยากฉะนั้น


อันธรรมดากุศลย่อมเกิดขึ้นได้โดยง่าย คือ เพียงจิตตุปปบาทเดียว ก็สามารถเกิดขึ้นได้
เมื่อจิตของบุคคลเป็นไปเร็วอย่างนี้ ถ้าใครไม่ได้ทำบุญ มีทานเป็นต้นไว้
ย่อมตกนรกได้โดยง่ายดายทีเดียว


เมื่อสัทธากับปัญญา วิริยะกับสมาธิสม่ำเสมอกัน บุคคลนั้นย่อมเลื่อมใสในวัตถุที่ควรเลื่อมใสเท่านั้น
ถ้าบุคคลมีสมาธิกล้า มีความเพียรอ่อน ความเกียจคร้านย่อมครอบงำได้
เพราะสมาธิเป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความเกียจคร้าน


ถ้าบุคคลมีความเพียรกล้า มีสมาธิอ่อน ความฟุ้งซ่านย่อมครอบงำได้ เพราะวิริยะเป็นไปใน
ฝักฝ่ายแห่งความฟุ้งซ่าน ส่วนสมาธิที่บุคคลประกอบด้วยความเพียร ย่อมไม่ตกไปในความฟุ้งซ่าน
เพราะฉะนั้น นักปฏิบัติธรรมผู้มุ่งหวังตั้งใจต่อมรรค ผล นิพพาน ต้องทำสัทธากับปัญญา
วิริยะกับสมาธิให้สม่ำเสมอกัน อินทรีย์ ๕ เสมอกันเมื่อใด อัปปนาก็เกิดได้เมื่อนั้น


สำหรับผู้ที่เคยเจริญสมถกรรมฐานมาก่อน สัทธาแก่กล้า จึงควร เพราะถ้าผู้นั้นเชื่ออยู่อย่างนั้น
จึงจักถึงอัปปนาได้ ส่วนสมาธิกับปัญญาเอกัคคตามีกำลังแก่กล้าจึงควร เพราะผู้นั้นจะรู้แจ้ง
แทงตลอดพระไตรลักษณ์ได้ด้วยอุบายอย่างนี้


สำหรับผู้เจริญวิปัสสนา ปัญญาต้องมีกำลังแก่กล้าจึงจะควร เพราะผู้นั้นจะรู้แจ้งแทงตลอด
พระไตรลักษณ์ได้ด้วยอุบายอย่างนี้


ส่วนสตินั้น ต้องการให้มีกำลังกล้า ในทุกที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ
เพราะว่าสติย่อมรักษาจิตไว้ไม่ให้ตกไปอยู่ในความฟุ้งซ่านด้วยอำนาจ
แห่งสัทธา วิริยะ ปัญญา ซึ่งเป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความฟุ้งซ่าน และรักษาจิตไว้ไม่ให้
ตกไปสู่ความเกียจคร้ายด้วยสมาธิ ซึ่งเป็นไปในฝักฝ่ายความเกียจคร้าน
เพราะเหตุนั้น สติจึงจำเป็นต้องปรารถนาในทุกที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ
และเหมือนกับพระเจ้าแผ่นดินปรารถนาอำมาตย์ผู้สำเร็จราชการ ในราชกิจทุกอย่างฉะนั้น


อาศัยเหตุดังพรรณนามาฉะนี้ ท่านจึงตั้งคำถามและคำตอบไว้ว่า เพราะเหตุไร
สติจึงจำปรารถนาในที่ทั้งปวง ตอบว่า เพราะจิตมีสติเป็นที่ระลึก
และสตินั้นมีความระลึกได้ในอารมณ์เนืองๆเป็นลักษณะ คือเป็นเครื่องหมาย เป็นป้ายบอกให้รู้
มีความหลงไม่ลืม เป็นหน้าที่ มีการรักษาอารมณ์ไว้เป็นอย่างดี
เป็นผลปรากฏคือ มีหน้าที่มุ่งตรงต่ออารมณ์

จากหนังสือ วิปัสสนากรรมฐาน ภาค ๒ ว่าด้วย มหาสติปัฏฐาน หลวงพ่อโชดก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2010, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


การเดินจงกรม


การเดินจงกรม 6 ระยะ เราสามารถนำมาพลิกแพลงได้ โดยจะใช้การกำหนด" หนอ "เข้ามาช่วย
หรือ จะใช้ นับแบบเป็นจังหวะโดยใช้ตัวเลขมาใช้ หรือ จะใช้จิตรู้ลงไปในการเคลื่อนไหวก็ได้
เพียงแต่ควรยึดหลักเอาไว้เท่านั้นเอง


สำหรับผู้ปฏิบัติใหม่ ควรจะเดินระยะหนึ่งให้คล่องก่อน จึงค่อยๆเพิ่มระยะอื่นๆ

ระยะที่ 1

ใช้ หนอ

ขวา ( ยกส้นเท้าขวา ปลายเท้ายังแตะอยู่ที่พื้น ) ย่าง ( ย่างเท้าไปข้างหน้า )
หนอ ( วางเท้าลงบนพื้น ) ซ้าย ย่าง หนอ

ใช้ตัวเลข 1

( ใช้แทนกำหนดเท้า ) 2 ( ย่างเท้าไปข้างหน้า ) 3 ( วางเท้าลงกับพื้น )

ใช้จิตรู้

รู้ลงที่เท้าขวาพร้อมๆกับยกส้นเท้า รู้ลงไปกับเท้าที่ย่างไปข้างหน้า รู้ลงในเท้าที่วางลงกับพื้น

RIGHT GOES THUS LEFT GOES THUS



ระยะที่ 2

ใช้ หนอ

ยกหนอ ( ท่าเตรียมคือ ยกส้นเท้ารอ กำหนดยกหนอ กระดกส้นเท้าขึ้น ยกปลายเท้าลอยขึ้น
แล้วย่างเท้าไปข้างหน้า ) เหยียบหนอ ( วางเท้าลงบนพื้น )

ใช้ตัวเลข

1 และ 2 การเคลื่อนจังหวะเท้า เหมือนกับใช้กำหนดหนอ

ใช้จิตรู้

การเคลื่อนจังหวะเท้า เหมือนกับใช้กำหนดหนอ แต่ใช้จิตรู้ลงไป

LIFTING TREADING



ระยะที่ 3

ใช้หนอ

ยกหนอ ( ท่าเตรียมคือ ยกส้นเท้ารอ ปลายเท้าแตะพื้น พอกำหนดยกหนอ คือ กระดกส้นเท้าขึ้น
ยกปลายเท้าลอยขึ้นจากพื้น ) ย่างหนอ ( เท้าที่ยื่นไปข้างหน้า ) เหยียบหนอ ( วางเท้าลงบนพื้น )

ใช้ตัวเลข

ใช้ 1 2 3 แทนการใช้กำหนดหนอ ตามการเคลื่อนไหวของเท้า

ใช้จิตรู้

การเคลื่อนจังหวะเท้า เหมือนกับใช้กำหนดหนอ แต่ใช้จิตรู้ลงไป

LIFTING MOVING TREADING


ระยะที่ 4

ใช้หนอ

ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ

ท่าเตรียมตัว ยืนเท้าราบธรรมดา แล้วยกเท้าพร้อมๆกับคำกำหนด

ใช้ตัวเลข

1 2 3 4 แทนการใช้กำหนดหนอ ตามการเคลื่อนไหวของเท้า

ใช้จิตรู้

การเคลื่อนจังหวะเท้า เหมือนกับใช้กำหนดหนอ แต่ใช้จิตรู้ลงไป

HEEL UP LIFTING MOVING TREADING


ระยะที่ 5

ใช้หนอ

ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ เหยียบหนอ

ท่าเตรียมตัว ยืนเท้าราบธรรมดา แล้วยกเท้าพร้อมๆกับคำกำหนด

ใช้ตัวเลข

1 2 3 4 5 แทนการใช้กำหนดหนอ ตามการเคลื่อนไหวของจังหวะเท้า

ใช้จิตรู้

การเคลื่อนจังหวะเท้า เหมือนกับใช้กำหนดหนอ แต่ใช้จิตรู้ลงไป

HEEL UP LIFTING MOVING LOWERING TOUCHING


ระยะที่ 6

ใช้หนอ

ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ ถูกหนอ กดหนอ

ท่าเตรียมตัว ยืนเท้าเรียบธรรมดา ลงหนอ คือ หย่อนเท้าลง ถูกหนอ ปลายเท้าแตะพื้น
แต่ส้นเท้ายังไม่แตะ กดหนอ กดส้นเท้าลงเหยียบพื้น

ใช้ตัวเลข

1 2 3 4 5 6 แทนการใช้กำหนดหนอ ตามการเคลื่อนไหวของจังหวะเท้า

ใช้จิตรู้

การเคลื่อนจังหวะเท้า เหมือนกับใช้กำหนดหนอ แต่ใช้จิตรู้ลงไป

HEEL UP LIFTING MOVING LOWERING TOUCHING PRESSING


เดินจงกรมลืมตาเดิน เหมือนเราเดินทำงานนี่แหละค่ะ
ส่วนมือจะเอากุมมือไว้หน้า หรือไขว้ไว้หลัง หรือปล่อยแกว่งตามสบาย ทำได้ทั้งนั้น

คำว่า เดินจงกรม มันเป็นเพียงคำศัพท์เท่านั้น
การเดินจงกรม คือ การมีสติ สัมปชัญญะ รู้อยู่กับการเดิน

จริงๆ ในชีวิตของเรา ทุกลมหายใจของเรา ตั้งแต่เราลืมตาตื่นขึ้นมา จนกระทั่งเข้านอน
มันก็คือการปฏิบัติน่ะค่ะ เพียงแต่เราอาจจะไปยึดติดในรูปแบบว่า
การปฏิบัติคือการเดินจงกรมกับการนั่งสมาธิ เท่านั้น

การเดินจงกรมก็เช่นเดียวกัน ขณะที่เราทำงานหรือทำอะไรอยู่ก็ตาม
ในอริยาบทเดิน ขอให้เรามีสติรู้อยู่กับทุกย่างก้าวที่เดิน
เมื่อเราสามารถรู้ลงไปทุกย่างก้าวที่เดินได้ สติ สัมปชัญญะเราย่อมเกิดมากขึ้น

เพียงแต่รูปแบบในการเดินจงกรมที่มีเกิดขึ้นมานั้น เพื่อให้เหมาะสมแต่ละคน
คนแต่ละคนล้วนมีสติ สัมปชัญญะไม่เท่ากัน ตามแต่เหตุที่กระทำกันมา
ทำไมต้องใช้หนอ ทำไมต้องใช้จิตรู้ ทำไมต้องใช้ตัวเลข
ทุกอย่างล้วนเป็นอุบายในการแนะนำหรือการสอน เพื่อให้ผู้ปฏิบัติเลือกรูปแบบเอาเอง
ตามที่ตัวเองทำแล้วถนัด ทำแล้วสะดวก ทำแล้ว ทำให้รู้อยู่กับเท้าทุกย่างก้าวได้

บางคนจะติดศัพท์ ติดคำเรียก
เลยทำให้ไม่ยอมเดินก่อนที่จะนั่ง จริงๆแล้วควรจะเดินก่อนที่จะนั่ง
เพื่อสติจะได้ดีขึ้น ทำให้ความคิดน้อยลง สมาธิตั้งมั่นได้ง่ายขึ้น
ยิ่งเดินมากยิ่งดี เดินหลายๆชม.ได้ยิ่งดี

บางคนบอกว่า ลองทำตามรูปแบบที่เขียนอธิบายมาก็ยังเดินไม่ได้
ถ้าทำตามรูปแบบไม่ได้ก็ เดินๆๆๆธรรมดานี่แหละ แค่ให้รู้ที่เท้ากำลังเดินพอ


อย่าลืมเดินจงกรมก่อนนั่งนะคะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร