วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 16:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 31 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2009, 13:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

004. วิธีละอาสวะ ๗ ประการ (วิธีละอาสวะ ๗ ประการ หน้า 004 - 013)

ปัญหา เท่าที่ได้สดับมานั้น เราจะละอาสวะได้โดยอาศัยการปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ ปัญญาอย่างเคร่งครัดเท่านั้น
มีวิธีใดอีกบ้างหรือไม่ที่เราจะละอาสวะได้ ?


พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะที่จะพึงละได้เพราะการเห็นมีอยู่ ที่จะพึงละได้เพราะการสังวรก็มี ที่จะพึงละได้เพราะการเว้นรอบก็มี ที่จะพึงละได้เพราะความอดกลั้นก็มี ที่จะพึงละได้เพราะการบรรเทาก็มี ที่จะพึงละได้เพราะการอบรมก็มี

ปัญหา ข้อที่ว่าอาสวะที่จะพึงละได้เพราะการเห็นนั้นหมายถึงอาสวะประเภทไหน และการเห็นนั้นเห็นอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย .... เมื่อภิกษุมนสิการโดยไม่แยบคาย อาสวะทั้งหลายที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเจริญขึ้น..... ปุถุชนมนสิการโดยไม่แยบคายอย่างนี้ว่า (หน้า 005-007)

:b42: :b42: :b42:

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2009, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

008. การละอาสวะด้วยการสังวร (วิธีละอาสวะ ๗ ประการ หน้า 004 - 013)

ปัญหา ข้อที่ว่า อาสวะ อาจละได้ด้วยการสังวรนั้นหมายความว่าอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ในพระธรรมวินัยนี้พิจารณาโดยแยบคายแล้ว เป็นผู้สำรวมแล้วด้วยความสำรวมในจักขุนทรีย์ ... ในโสตินทรีย์ ... ในฆานินทรีย์ .....
ในชิวหินทรีย์ ...... ในมนินทรีย์ ..... ก็อาสวะแล้วความเร่าร้อนอันกระทำความคับแค้นเหล่าใดพึงบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ไม่สำรวมในมนินทรีย์อยู่ อาสวะแล้วความเร่าร้อนอันกระทำความคับแค้นเหล่านั้น ย่อมไม่มีแก่ภิกษุผู้สำรวมในมนินทรีย์อยู่อย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะเหล่านี้ เรากล่าวว่าจะถึงละได้เพราะการสังวร ฯ”

:b39: :b39: :b39:

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2009, 13:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

009. การละอาสวะด้วยการพิจารณาเสพ (วิธีละอาสวะ ๗ ประการ หน้า 004 - 013)

ปัญหา ข้อที่ว่า อาจจะละอาสวะได้ด้วยการพิจารณาเสพนั้นหมายความว่าอย่างไร ? พิจารณาอะไร ? เสพอะไร ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว เสพจีวรเพียงเพื่อกำจัดความหนาวร้อน สัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลาน เพียงเพื่อจะปกปิดอวัยวะที่ให้ความละอายกำเริบ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว เสพบิณฑบาต มิใช่เพื่อจะเล่น มิใช่เพื่อมัวเมา มิใช่เพื่อประดับ มิใช่เพื่อตบแต่ง เพียงเพื่อให้กายนี้ดำรงอยู่เพื่อให้เป็นไป เพื่อกำจัดความลำบาก เพื่ออนุเคราะห์แก่พรหมจรรย์ ด้วยคิดว่าจะกำจัดเวทนาเก่าเสียด้วยจะไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้นด้วย ความเป็นไป ความไม่มีโทษและความอยู่สบายด้วย จักมีแก่เรา ฉะนี้พิจารณาโดยแยบคายแล้วย่อมเสพเสนาสนะเพียงเพื่อกำจัด หนาวร้อน สัมผัสแห่งเหลือบยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลาน เพียงเพื่อบรรเทาอันตรายแต่ฤดูเพื่อรื่นรมย์ในการออกเร้นอยู่ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว เสพบริขารคือยา อันเป็นปัจจัยแก่คนไข้เพียงเพื่อกำจัดเวทนาที่เกิด แต่อาพาธต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว เพื่อความเป็นผู้ไม่มีอาพาธเบียดเบียนเป็นอย่างยิ่ง ฯ
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะแล้วความเร่าร้อนอันกระทำความคับแค้นเหล่าใด พึงบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนี้ ผู้ไม่พิจารณาเสพปัจจัยอันใดอันหนึ่ง อาสวะและความเร่าร้อนอันกระทำความคับแค้นเหล่านั้น ย่อมไม่มีแก่ภิกษุผู้พิจารณาเสพอยู่อย่างนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะเหล่านี้ เรากล่าวว่าจะพึงละได้ด้วยการพิจารณาเสพฯ”

:b43: :b43: :b43:

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2009, 13:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

010. การละอาสวะด้วยความอดกลั้น (วิธีละอาสวะ ๗ ประการ หน้า 004 - 013)

ปัญหา ข้อที่ว่าอาสวะด้วยความอดกลั้น นั้น หมายถึงความอดกลั้นต่ออะไร ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้พิจารณาโดยแยบคายแล้ว เป็นผู้อดทนต่อหนาว ร้อน หิว กระหาย สัมผัส แห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลาน เป็นผู้มีชาติของผู้อดกลั้นต่อถ้อยคำที่ผู้อื่นกล่าว ชั่ว ร้ายแรง ต่อเวทนาที่มีอยู่ในตัว ซึ่งยังเกิดขึ้นเป็นทุกข์ กล้า แข็ง เผ็ด ร้อน ไม่เป็นที่ยินดี ไม่เป็นที่ชอบใจ อาจพร่าชีวิตเสียได้
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะแล้วความเร่าร้อนอันกระทำความคับแค้นเหล่าใด พึงบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ไม่อดกลั้นอยู่ อาสวะและความเร่าร้อน.....เหล่านั้น ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้อดกลั้นอยู่อย่างนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะเหล่านี้ เรากล่าวว่าจะพึงละได้เพราะความอดกลั้น”

:b44: :b44: :b44:

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2009, 13:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

011. การละอาสวะด้วยการเว้นขาด (วิธีละอาสวะ ๗ ประการ หน้า 004 - 013)

ปัญหา ข้อที่ว่าอาสวะด้วยการเว้นขาดนี้ หมายถึงการเว้นจากอะไร ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้พิจารณาโดยแยบคายแล้ว เว้นช้างที่ดุร้าย ม้าที่ดุร้าย โคที่ดุร้าย สุนัขที่ดุร้าย งู หลัก ตอ สถานที่มีหนาม บ่อ เหว ที่เต็มด้วยของไม่สะอาดโสโครก เพื่อพรหมจรรย์ ผู้เป็นวิญญูชนทั้งหลาย พึงกำหนดลงซึ่งบุคคลผู้นั่ง ณ ที่มิใช้อาสนะเป็นปานใด ผู้เที่ยวไป ณ ที่มิใช่โคจรเห็นปานใด ผู้คบมิตรที่ลามกเห็นปานใด ในสถานที่ทั้งหลายอันลามก ภิกษุนั้นพิจารณาโดยแยบคายแล้ว เว้นที่มิใช่อาสนะนั้น ที่มิใช่โคจรนั้น และมิตรผู้ลามกเหล่านั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลายจริงอยู่ อาสวะและความเร่าร้อน อันกระทำความคับแค้นเหล่าใด พึงบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น ผู้ไม่เว้นสถานที่หลักบุคคลอันใดอันหนึ่ง อาสวะและความเร่าร้อน .... เหล่านั้น ย่อมมีแก่ภิกษุนั้นผู้เว้นขาดอยู่อย่างนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะเหล่านี้เรากล่าวว่าจะพึงละได้เพราะการเว้นขาด”

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2009, 13:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

012. การละอาสวะด้วยการบรรเทา (วิธีละอาสวะ ๗ ประการ หน้า 004 - 013)

ปัญหา ข้อที่ว่าอาสวะด้วยการบรรเทานี้ หมายถึงการบรรเทาอะไรโดยวิธีใด ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้พิจารณาโดยแยบคายแล้ว ย่อมอดกลั้น ย่อมละ ย่อมบรรเทากามวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว.... พยาบาทวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว..... วิหิงสาวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว ทำให้สิ้นสูญ ให้ถึงความไม่มี ย่อมอดกลั้น ย่อมละ ย่อมบรรเทา ธรรมที่เป็นบาปอกุศลที่บังเกิดขึ้นแล้วทำให้สิ้นสูญ ให้ถึงความไม่มี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อาสวะและความเร่าร้อนอันกระทำความคับแค้นเหล่าใด พึงบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น ผู้ไม่บรรเทาอันใดอันหนึ่ง อาสวะแล้วความเร่าร้อน .... เหล่านั้นย่อมไม่มีแก่ภิกษุผู้บรรเทาอยู่อย่างนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะเหล่านี้ เรากล่าวว่า จะพึงละได้เพราะความบรรเทาฯ”

:b44: :b44: :b44:

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2009, 13:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

013. การละอาสวะด้วยการอบรม (วิธีละอาสวะ ๗ ประการ หน้า 004 - 013)

ปัญหา ข้อที่ว่าอาสวะด้วยการอบรมนั้น หมายถึงการอบรมอะไร ?

พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้พิจารณาโดยแยบคายแล้ว เจริญสติสัมโพชฌงค์.... เจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในความสละลง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อาสวะ และความเร่าร้อนอันกระทำความคับแค้นเหล่าใด พึงเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น ผู้ไม่อบรมธรรมอันใดอันหนึ่ง อาสวะและความเร่าร้อน.... เหล่านั้น ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้อบรมอยู่อย่างนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะเหล่านี้เรากล่าวว่าจะพึงละได้เพราะการอบรม”

สัพพาสวสังวรสูตร มู. ม. (๑๑-๑๘)
บ. ๑๒ : ๑๒-๒๐ ตท.๑๒ : ๑๒-๑๘
ตอ. MLS. I : ๙-๑๖

:b42: :b42: :b42:

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2009, 17:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

427. ความมีมิตรดีสำคัญที่สุด

ปัญหา พระอานนท์กราบทูลพระพุทธองค์ว่า ความเป็นผู้มีมิตรสหายดีเท่ากับเป็นครึ่งหนึ่งของแห่งพรหมจรรย์ทีเดียว จริงหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนอานนท์ เธออย่างได้กล่าวอย่างนั้น ความเป็นผู้มีมิตรดี มาหายดี มีเพื่อนดีนี้เป็นพรหมจรรย์ทั้งหมดทีเดียว ดูก่อนอานนท์ ภิกษุผู้มิตรดี พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ จักทำให้มาก ซึ่งอริยมรรคมีองค์ ๘
“ดูก่อนอานนท์ ภิกษุผู้มีมิตรดี ย่อมเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ อย่างไร? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ สัมมากังกัปปะ สัมมาวาจา อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธน้อมไปในการสละ ด้วยว่าสัตว์ผู้มีชาติเป็นธรรมดา ผู้มีชราเป็นธรรมดา ผู้มีมรณะเป็นธรรมดา ผู้มีโศกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เป็นธรรมดา ย่อมพ้นไปจาก ชาติ ชรา มรณะ โศกะ ปริเวทะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เพราะอาศัยเราผู้เป็น กัลยาณมิตร....”


อุปัฑฒสูตร มหา. สํ. (๔-๗)
ตบ. ๑๙ : ๒-๓ ตท. ๑๙ : ๒-๓
ตอ. K.S. ๕ : ๒-๓

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 13:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

483. พระพุทธองค์กับชราภาพ

ปัญหา พระกายของพระพุทธองค์สง่างามอยู่ตลอดพระชนมชีพหรือรู้จักแก่ชราคร่ำคร่าเหมือนคนทั่วไป ?

คำตอบ “สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปราสาทของนางวิสาขาบิดามารดา ในบุพพาราม ใกล้นครสาวัตถี ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่พักผ่อนในเวลาเย็น แล้วประทับนั่งผินพระปฤษฎางค์ ผิงแดดในที่มีแสงแดดส่องจากทิศตะวันตกอยู่ ครั้งนั้นท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค... ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว บีบนวดพระกายของพระผู้มีพระภาคด้วยฝ่ามือ พลางกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์เวลานี้พระฉวีวรรณของพระผู้มีพระภาคไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนเมื่อก่อน พระสรีระก็หย่อนย่นเป็นเกลียว พระกายก็ค้อมไปข้างหน้า และความแปรปรวน ของอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น ก็ปรากฏอยู่”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ในความเป็นหนุ่มสาวก็มีความแก่อยู่แล้วตามธรรมชาติ ในความไม่มีโรค ก็มีความเจ็บไข้อยู่แล้วตามธรรมชาติ ในชีวิตก็มีความตายอยู่แล้วตามธรรมชาติ....”

ชราสูตร มหา. สํ. (๙๖๒-๙๖๔ )
ตบ. ๑๙ : ๒๘๗ ตท. ๑๙ : ๒๗๑
ตอ. K.S. ๕ : ๑๙๑-๑๙๒
:b44: :b44: :b44:

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 13:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

601. คนปากเสีย และปากดี

ปัญหา คนเช่นใด “ปากอุจจาระ” “ปากดอกไม้ และปากน้ำผึ้ง” คืออย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลปากอุจจาระ คือ อย่างไร ? บุคคลบางคนในโลกนี้ ไปในที่ประชุมก็ดี ในฝูงชนก็ดี ไปในท่ามกลางเหล่าญาติก็ดี ไปในท่ามกลางเสนาก็ดี ไปในท่ามกลางราชาสกุลก็ดี ถูกเขาอ้างเป็นพยาน.... เขาไม่รู้ก็กล่าวว่ารู้ หรือรู้ก็ว่าไม่รู้ ไม่เห็นก็ว่าเห็น หรือไม่เห็นก็ว่าเห็น กล่าวแกล้งเท็จทั้งที่รู้ เพราะเห็นแก่ตนเอง เพราะเห็นแก่คนอื่น หรือเพราะเห็นแก่อามิสเล็กน้อย... นี้เรียกว่าคน “ปากอุจจาระ”
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คน ปากดอกไม้ คืออย่างไร ? บุคคลบางคนในโลกนี้ ไปในที่ประชุม.... ถูกเขาอ้างเป็นพยาน.... เมื่อเขาไม่รู้ก็กล่าวว่าไม่รู้ หรือเมื่อรู้กล่าวว่ารู้ เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าไม่เห็น เมื่อเห็นก็กล่าวว่าเห็น ย่อมไม่แกล้งกล่าวเท็จทั้งที่รู้ เพราะเห็นแก่ตน เพราะเห็นแก่คนอื่น หรือเพราะเห็นแก่อามิสเล็กน้อย... นี้เรียกว่าคน “ปากดอกไม้”
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คน ปากน้ำผึ้ง คืออย่างไร ? บุคคลบางคนในโลกนี้ ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ พูดแต่วาจาที่ไม่มีโทษ เสนาะโสตเป็นที่รักจับหัวใจ เป็นวาจาของชาวเมือง เป็นที่รักที่ชอบในของคนมาก... นี้เรียกว่าคน “ปากน้ำผึ้ง”....


คูถภาณิสูตร ติก. อํ. (๖๔๗)
ตบ. ๒๐ : ๑๖๑-๑๖๒ ตท. ๒๐ : ๑๔๕
ตอ. G.S. ๑ : ๑๑๐-๑๑๑
:b42: :b42: :b42:

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 13:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

602. พระพรหมของบุตร

ปัญหา ใครเป็นพระพรหม เป็นอาจารย์เบื้องต้นและเป็นสมณะของบุตร ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สกุลใดบุตรบูชาบิดามารดาในเรือนตน สกุลนั้นมีพรหม.... มีอาจารย์เบื้องต้น... มีอาหุไนยบุคคล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า “พรหม” คำว่า “บุพพาจารย์” คำว่า “อาหุไทยบุคคล” นี้เป็นชื่อของมารดาและบิดา เพราะเหตุไร เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง สอนให้ลูกรู้จักโลกนี้
“มารดาบิดาผู้อนุเคราะห์บุตร ท่านเยกว่าพรหมว่าบุพพาจารย์ ว่าอาหุไนยบุคคล เพราะฉะนั้นบัณฑิตพึงนมัสการและสักการะมารดาบิดาด้วย ข้าว น้ำ ผ้า ที่นอน การอบกลิ่น การให้อาบน้ำ และการล้างเท้าทั้งสอง เพราะการปรนนิบัติมารดาบิดานั่นแล บัณฑิตย่อมสรรเสริญเขาในโลกนี้เอง เขาละไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์....”

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 13:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

603. รากเหง้าของกรรม

ปัญหา อะไรคือรากเหง้าของกรรม และกรรมจะได้ผลเมื่อใด ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหตุ ๓ ประการนี้เป็นเหตุให้เกิดกรรม
เหตุ ๓ ประการคืออะไร ? คือโลภะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กรรมที่กระทำด้วยความโลภ เกิดแต่ความโลภ มีความโลภเป็นเหตุ มีความโลภเป็นแดนเกิด ย่อมให้ผลในทีที่อัตตภาพของเขาเกิดขึ้น กรรมนั้นให้ผลในที่ใด เขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้นในที่นั้น ในปัจจุบันนี้เองหรือในตอนอื่น ๆ...

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กรรมที่กระทำด้วยความโกรธ..... ความหลง เกิดแต่ความโกรธ... ความหลง.... ย่อมให้ผลในที่ที่อัตตาภาพของเขาเกิดขึ้น กรรมนั้นให้ผลในที่ใด เขาจะต้องเสวยผลกรรมนั้นในที่นั้นในปัจจุบันนี้เองหรือในตอนต่อ ๆ ไป....

“เปรียบเหมือนเมล็ดพืชที่ไม่แตกหัก ไม่เน่าเสีย ไม่เสียหายเพราะลมและแดด ยังไม่แก่น เก็บงำไว้ดี เขาหว่านลงไปบนพื้นดินที่เตรียมไว้เป็นอย่างดี ในนาที่ดี ทั้งฝนก็ตกดีตามฤดูกาล เมล็ดพืชเหล่านั้นย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์โดยแท้ทีเดียว....”


นิพพานสูตร ติก. อํ. (๗๔๓)
ตบ. ๒๐ : ๑๗๑-๑๗๒ ตท. ๒๐ : ๑๕๒-๑๕๓
ตอ. G.S. ๑ : ๑๑๗-๑๑๘

:b43: :b43: :b43:

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 13:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

604. พระอรหันต์ทำกรรมหรือไม่

ปัญหา คนที่ปราศจากโลภะ โทสะ โมหะแล้ว กระทำกรรมจะถือว่าเป็นกรรมหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กรรมที่กระทำด้วย อโลภะ.... อโทสะ.... อโมหะ.... เกิดแต่ อโลภะ.... อโทสะ.... อโมหะ.... มี อโลภะ.... อโทสะ.... อโมหะ.... เป็นแดนเกิดเมื่อโลภะ.... โทสะ.... โมหะ สิ้นไปแล้ว กรรมนั้นก็เป็นอันละแล้ว มีมูลรากที่ถอนขึ้นแล้ว ทำให้เหมือนตาลยอดด้วน ทำให้เป็นสิ่งที่ไม่มี ทำให้เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปไม่ได้อีกแน่นอน... เปรียบเหมือนบุรุษพึงเอาไฟเผาเมล็ดพืชที่ไม่แตกหักเน่าเปื่อย.... ครั้นแล้วก็ทำให้เป็นผล แล้วโปรยไปตามลมพายุ หรือลอยเสียในแม่น้ำที่มีกระแสไหลเชี่ยว พึงเป็นพืชที่ถูกถอนรากขึ้นทำให้เหมือนตาลยอดด้วน ทำให้ไม่มี ไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา...”

นิพพานสูตร ติก. อํ. (๔๗๓)
ตบ. ๒๐ : ๑๗๒-๑๗๓ ตท. ๒๐ : ๑๕๓-๑๕๔
ตอ. G.S. ๑ : ๑๑๘-๑๑๙

:b44: :b44: :b44:

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 13:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

605. สุขของพระพุทธองค์

ปัญหา หัตถกราชกุมารชาวเมืองอาฬวี ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับบนที่ปูด้วยใบไม้ ในฤดูหนาวอันเยือกเย็น ซ้ำมีหิมะตกในระยะเวลาแปดวัน มีพื้นดินแตกระแหง ลมเวรัมพะก็โหมพัด ผ้าย้อมฝาดของพระพุทธองค์ก็บาง จึงกราบทูลถามว่า พระองค์ทรงเป็นสุขดีหรือ ?

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนกุมาร เราอยู่เป็นสุขดี เราเป็นคนหนึ่งในบรรดาคนที่อยู่อย่างมีความสุขในโลก...
ดูก่อนกุมาร เราจักย้อนถามท่านในข้อนี้...ท่านจะเป็นความในเรื่องนั้นอย่างไร คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีในโลกนี้ มีเรือนยอดที่เขาฉาบทาสีทั้งภายในภายนอก ลมพัดเข้าไม่ได้มีบานประตูมิดชิดในเรือนยอดนั้นมีบัลลังก์ ซึ่งปูลาดด้วยผ้าลาดมีขนยาว... ข้างบนมีเพดาน มีหมอนสีแดงวางไว้ทั้งสองข้าง ตามประทีปน้ำมันจุดไว้สว่างไสว ภรรยาสี่นางพึงบำรุงบำเรอด้วยสิ่งที่น่าพออกพอใจ

ดูก่อนกุมาร ท่านจะเห็นข้อนั้นอย่างไรคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนั้น อยู่เป็นสุขหรือหาไม่”
หัตถกราชกุมารทูลตอบว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คฤหบดีหรือบุตร คฤหบดีนั้นพึงอยู่เป็นสุข
และเขาเป็นหนึ่งในจำนวนคนที่อยู่เป็นสุขในโลก”

พุทธดำรัสตรัสว่า “ดูก่อนกุมาร ท่านจะเห็นความข้อนั้นอย่างไร ? คฤหบดีหรือบุตรแห่งคฤหบดีพึงเกิคความเดือดร้อนทางกายหรือทางจิต ซึ่งเกิดแต่ ราคะ.. โทสะ... โมหะ อันเป็นเหตุให้ผู้ที่ถูกมันเผาอยู่เป็นทุกข์ มิใช่หรือ ?”
หัตถกราชกุมารทูลตอบว่า “อย่างนั้นพระเจ้าข้า”

พุทธดำรัสตรัสว่า “ดูก่อนกุมาร คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนั้น ถูกความเร่าร้อนอันเกิดแต่ราคะใด.... เกิดแต่โทสะใด.... เกิดแต่โมหะใด... เผาลนอยู่จึงอยู่เป็นทุกข์ ราคะ... โทสะ.. โมหะนั้น ตถาคตละได้แล้วอย่างเด็ดขาด ถอนรากขึ้นแล้ว ทำให้เหมือนตาลยอดด้วน... เพราะฉะนั้น เราจึงอยู่เป็นสุข...”
หัตถกสูตร ติก. อํ. (๔๗๔)
ตบ. ๒๐ : ๑๗๓-๑๗๕ ตท. ๒๐ : ๑๕๕-๑๕๖
ตอ. G.S. ๑ : ๑๑๙-๑๒๑

:b40: :b40: :b40:

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 13:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

429. ทางปฏิบัติเพื่อกำหนดรู้ทุกข์

ปัญหา จุดมุ่งหมายของการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ก็คือการกำหนดรู้ทุกข์
แต่มีทางหรือมีวิธีที่จะปฏิบัติเพื่อกำหนดรู้ทุกข์หรือไม่ ?
ทางนั้นคืออะไร ?


พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกปริพพาชกผู้ถือลัทธิอื่นอันพึงถามพวกเธออย่างนี้ว่า ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ก็หนทางมีอยู่หรือ ปฏิปทาเพื่อความรู้รอบซึ่งทุกข์นั้นมีอยู่หรือ เธอถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงตอบอย่างนี้ว่า หนทางมีอยู่ ปฏิปทาเพื่อรู้รอบทุกข์นั้นมีอยู่
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หนทางและปฏิปทาเพื่อรอบรู้ทุกข์นั้น คืออย่างไร อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แล เป็นหนทาง เป็นปฏิปทาเพื่อความรอบรู้ทุกข์นั้น....”

กิมัตถิยสูตร มหา. สํ. (๒๖-๒๘)
ตบ. ๑๙ : ๘-๙ ตท. ๑๙ : ๗
ตอ. K.S. ๕ : ๖

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 31 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร