วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 23:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 68, 69, 70, 71, 72, 73, 74 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่บ้านผมมีสุราชั้นดีอยู่หลายขวด จะกำจัดทิ้งอย่างไรถึงไม่ทำบาปกับผู้อื่น ถ้านำไปขาย หรือ ให้คนอื่นไป ก็เท่ากับเป็นการส่งเสริมให้ผู้อื่นผิดศีล ข้อ 5 บาปผิดศีลข้อ 5 นี้จะตกอยู่กับตัวเราด้วยหรือไม่ ถ้าหากนำไปขายแล้วนำเงินไปทำบุญ บุญนั้นก็จะไม่สำเร็จเพราะเป็นเงินบาปหรือไม่ครับ

วิธีที่ถูกต้องที่สุดควรจะเป็นอย่างไรครับ ขอขอบพระคุณอย่างสูง

คำตอบ
สุราชั้นดีที่กล่าวถึง มีใครเป็นเจ้าของ หากผู้ถามปัญหาเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว จะนำไปทำอะไรก็สามารถทำได้ แต่หากสุราชั้นดีมีผู้อื่นเป็นเจ้าของร่วม ต้องได้รับฉันทานุมัติจากเจ้าของร่วมก่อน จึงจะนำไปทำให้สิ่งที่ตนเองต้องการได้

อนึ่งการนำสุราไปขาย ได้เงินมาถือว่าเป็นเงินที่ไม่บริสุทธิ์ เมื่อนำเงินที่ไม่บริสุทธิ์ไปทำให้เกิดบุญ (ดูบุญกิริยาวัตถุ ๑๐) บุญที่เกิดขึ้นย่อมไม่บริสุทธิ์ตามไปด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาจารย์เคยกล่าวในหนังสือว่า ความสุขของคนเรามี 3 แบบ คือ
1. สุขจากการสัมผัสทางรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพผะ ธรรมารมณ์
2. สุขจากจิตสงบด้วยอำนาจของสมาธิ
3. สุขจากจิตที่เป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวง

การตามดูจิตโดยไมีมีคำกำหนดว่า โกรธหนอ เสียใจหนอ ...... จนเห็นทุกสิ่งเป็นของชั่วคราว มีปัญญารู้เท่าทันความคิด แล้ววางเฉย ไม่ปล่อยให้ความคิดปรุงจนเกิดความทุกข์ขึ้นในใจ มีความสุขในชีวิต ณ ปัจจุบัน
จัดได้ว่าเป็นความสุขประเภทใดใน 3 เแบบที่กล่าวข้างต้น

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่กรุณาชี้ทางสว่างให้คะ่

คำตอบ
เรียกว่าเป็นความสุขจากจิตที่เป็นอิสระจากสิ่งที่เข้ากระทบจิต เพราะมีปัญญาเห็นแจ้งในทุกสิ่ง (สรรพสิ่ง) ว่าเป็นของชั่วคราว แท้จริงแล้วสรรพสิ่งเป็นอนัตตา หาได้มีตัวตนไม่ จิตจึงปล่อยวางสรรพสิ่งแล้วว่างเป็นอุเบกขา ความสุขจากการมีจิตเป็นอิสระจึงได้เกิดขึ้น หากเมื่อใดผู้ถามปัญหา เห็นโลกธรรม วัตถุ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และสังโยชน์ทั้งสิบเป็นของว่างเปล่า เป็นของไม่มีตัวตน (อนัตตา) ได้ ..... สาธุ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ส่วนตัวผมก็เริ่มศึกษาธรรมะจริงจังช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ในหลาย web
และจากพระไตรปิฏกฉบับมหามงกุฏ เพิ่งมาเจอ web นี้ด้วยความบังเอิญจากการฟังซีดีครับ

ตอนนี้ก็มีคำถามถามอาจารย์ดังนี้ครับ
1. หากผมอยากบวชแต่ไม่ใช่ตอนนี้ครับ คิดว่าอีก 15 ปีข้างหน้า ( ตอนอายุ 50 ปี ) แต่ผมมีภาระทางครอบครัวคือมีพ่อแม่ , ภรรยาและลูกชายอีก 2 ( ตอนนั้นลูกจะอายุ 18 และ 16)

ตอนนี้เริ่มคุยกับภรรยาแล้ว แต่ภรรยาท่าทางไม่อยากให้บวชเพราะอยากมีเพื่อนตอนแก่
หากออกบวชตอนนั้นจะบาปหรือไม่ครับ ?

2. ขอคำแนะนำอาจารย์ในการฝึกกรรมฐานที่ถูกต้อง ดังเช่นที่อาจารย์ฝึกแล้วสำเร็จ พิสูจน์ความจริงในภพภูมิได้ครับ ผมเองก็อยากพิสูจน์เช่นกันครับ จะได้หายสงสัย และตัดในส่วนวิจิกิจฉาไปเลยตลอดชีวิตครับ
# ผมฝึกมาหลายสำนัก แต่ไม่เป็นผลครับ อาจจะไม่ตรงกับจริต ทราบมาว่ากรรมฐานมี 40 กอง แบ่งเป็น 4 หมวด สุกขวิปัสโก วิชชา 3 ฉฬภิญโญ และปฏิสัมภิทา 4

ที่ผมเคยฝึกมา คือ มโนมยิทธิสายหลวงพ่อฤาษี , รูปฌาน 4 สายหลวงพ่อสรวง มีการกำหนดท่าในฌาน 2 ต้องสั่นๆๆๆ , สัมมาอรหัง สายหลวงพ่อสด กำหนดดวงแก้วใส

ผมคิดว่าดีทุกที่ครับ แต่ต้องการให้อาจารย์แนะนำที่อาจารย์ปฏิบัติ หรือหนังสือที่แนะนำการปฏิบัติเป็นขั้นตอนและข้อห้ามต่างๆในการปฏิบัติ หรือเคล็ดลับครับ

สุดท้ายขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงและได้ตอบปัญหา ธรรมไปนานๆครับ
ขอขอบพระคุณอย่างสูงมา ณ . ที่นี้ครับ

คำตอบ
(๑) เวลาใดที่จิตตกเป็นทาสของกิเลส (โลภ โกรธ หลง ดีใจ เสียใจ เป็นสุข เป็นทุกข์ ฯลฯ ) เวลานั้นมีบาปเกิดขึ้น

(๒) ผู้ใดนำเอาวิธีปฏิบัติสมถกรรมฐานของครูบาอาจารย์ท่านใด มาพัฒนาจิตแล้วทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ วิธีการนั้นถูกต้อง และผู้ใดนำเอาวิธีปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของครูบาอาจารย์ท่านใด มาพัฒนาจิตแล้วทำให้จิตเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ วิธีการนั้นถูกต้อง

ผู้ถามปัญหามีประสบการณ์การฝึกจิตมาหลายวิธี วิธีการใดเมื่อนำมาใช้ฝึกจิตแล้ว ผลที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามที่กล่าวข้างต้น วิธีนั้นเป็นครูสอนใจว่า ต้องไม่นำมาใช้พัฒนาจิต ส่วนวิธีการใด เมื่อนำมาใช้ฝึกจิตแล้ว ผลที่เกิดขึ้นถูกตรงตามที่กล่าวข้างต้น วิธีนั้นเป็นครูสอนใจว่า สามารถนำมาใช้พัฒนาจิตได้

หลวงพ่อธี พระสงฆ์ชาวไทยใหญ่ ได้ศึกษาวิธีการพัฒนาจิตมาอย่างโชกโชน หลากหลายวิธี ในที่สุดสามารถเข้าถึงความเป็นอนัตตาของสรรพสิ่งได้ เมื่อมีอายุได้ ๗๕ พรรษา (ปัจจุบันอายุ ๘๖ พรรษา)

ผู้ถามปัญหา ขอคำแนะนำในการพัฒนาจิตของผู้ตอบปัญหาว่า ปฏิบัติธรรมอย่างไร จึงได้ผลก้าวหน้ารวดเร็ว ขอตอบเป็นข้อๆดังนี้

1. ไม่ดู ไม่อ่าน ไม่ฟัง ไม่พูด (เว้นสอบอารมณ์) ไม่คิดเรื่องใดๆที่ทำให้จิตฟุ้งซ่าน
2. มีศีลบริสุทธิ์ (ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย) คุมใจทุกขณะตื่น
3. ทำตัวให้เหมือนแก้วน้ำที่ว่างเปล่า รับเอาคำชี้แนะของครูบาอาจารย์มาประพฤติจนเกิดผล ปฏิบัติธรรมวันละประมาณ ๒๐ ชั่วโมงต่อเนื่อง ๓๐ วันมิได้เว้น
4. สอบอารมณ์ทุกวัน เวลาประมาณ ๒๐ นาฬิกา และอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรทุกวัน หลังปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณแม่ของผมอายุ 56 ปี ท่านเป็นครูและป่วยเป็นโรครูมาตอยมา 20 กว่าปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ท่านสวดมนต์ นั่งสมาธิทุกวัน ยิ่งหลังจากที่เกษียณก่อนกำหนดออกมาท่านก็สวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น เดินจงกรม นั่งสมาธิมากขึ้น (ท่านเคยไปฝึกที่วัดอัมพวัน สิงห์บุรี)
เมื่อ 3-4 ปีก่อนคุณแม่มีอาการดีขึ้นมาก แต่เมื่อย้ายโรงเรียนอาการกลับทรุดลงมาก บางครั้งเดินได้ลำบาก มีอาการข้อเท้า ข้อศอกและเข่าบวม มือผิดรูป และปวดบริเวณต้นคอมาก บางวันคุณแม่จะรู้สึกเพลีย อยากนอนทั้งวัน ระหว่างที่คุณแม่นอน จะรู้สึกเหมือนมองตัวเอง ท่านจะรู้ตลอดว่าท่านนอนกรนหรือไม่

ผมอยากจะเรียนถามอาจารย์ ดังนี้ครับ

1. ขณะที่คุณแม่นอนแล้วรู้สึกเหมือนมองตัวเอง และรู้ว่าตนกรนหรือไม่นั้น เป็นเพราะเหตุใด เป็นเรื่องปกติหรือไม่ หรือควรทำอย่างไรต่อไป

2. คนรู้จักบางคนที่ห่วงใยกัน แนะนำเรื่องไสยศาสตร์และเจ้าที่ เพราะพื้นที่ที่ย้ายไปอยู่เป็นพื้นที่ของคนเขมร ซึ่งได้ความว่าเป็นเพราะเจ้าที่บ้าง หรือการทำคุณไสย์บ้าง แต่สงสัยว่าถ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้จริง การที่ท่านสวดมนต์ ปฏิบัติสมาธิภาวนาไม่สามารถเป็นเกราะ คุ้มกันภัยอันตรายต่างๆได้เลยหรือครับ หรือเป็นเรื่องของกรรม เท่าที่ผมเห็นมาตั้งแต่เด็ก คือ การที่ท่านตั้งใจสอนหนังสือ สอนให้ฟรีนอกเวลา ออกเยี่ยมบ้านนักเรียน หาทุนทรัพย์ให้เล่าเรียน ตลอดมา ไม่ทราบว่าจะมีวิธีไหนที่จะทำให้อาการเจ็บป่วยของท่านทุเลาขึ้นบ้างหรือไม่ ครับ จะได้มีกำลังใจปฏิบัติสมาธิภาวนาเพื่อการหลุดพ้นต่อไป

3. หลังจากที่ได้ศึกษาธรรมะ ผมเคยคุยกับคุณแม่ว่า อยากให้ท่านตัดสินใจต่างๆด้วยความหนักแน่น ไม่คิดมาก ปล่อยวางและทำใจให้สบาย ด้วยหวังว่าผลของการกระทำเหล่านั้น จะทำให้คุณแม่ได้เกิดมาเป็นผู้ชาย จะได้มีโอกาสศึกษาธรรมะอย่างเต็มที่ ถึงแม้ผมจะไม่ได้มีโอกาสเกิดเป็นลูกของท่านอีกก็ตาม การที่ผมพูดกับคุณแม่เช่นนั้น ผมทำถูก ควรพูดหรือไม่ ผมไม่แน่ใจว่าท่านจะเสียใจในการพูดของผมหรือไม่

อยากรบกวนอาจารย์ช่วยอธิบายและแนะนำด้วยครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
(๑) ขณะนอนแล้วรู้สึกเหมือนมองตัวเอง เป็นเครื่องบ่งชี้ว่า จิตเริ่มมีสติอยู่กับตัว ไม่ออกไปรับกระทบภายนอกมาปรุงอารมณ์ ซึ่งเป็นเรื่องปรกติของคนที่มีจิตเริ่มตั้งมั่นเป็นสมาธิ สิ่งที่ควรทำต่อไปคือมองร่างกายตัวเองจนเห็นเด่นชัดว่า เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ต้องแก่ แล้วต้องตายทุกคน มองร่างกายจนเห็นว่า การที่ร่างกายเป็นเช่นนี้ด้วยเหตุประพฤติทุศีลข้อแรกมาก่อน เมื่อกรรมให้ผล เราผู้ประพฤติเบียดเบียนต้องยอมรับความจริง และยอมชดใช้หนี้เวรกรรมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดสิ้น ผู้รู้ไม่เอาจิตไปกังวลอยู่กับร่างกายที่สักวันต้องทิ้งร่างกายไว้กับโลกใบ นี้ แต่ผู้รู้เอาจิตไปประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ โดยเน้นข้อภาวนา ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์จบ เจริญอานาปานสติ ด้วยการบริกรรมคำว่า “พุทโธๆๆๆๆ” ไปเรื่อยๆเท่าที่มีเวลา แต่ต้องกระทำทุกวัน จนเกิดเป็นทรัพย์ภายในเก็บสั่งสมอยู่ในจิต เพื่อใช้เป็นปัจจัยเดินทางชีวิตต่อในปรโลก

(๒) ผู้ใดมีศีล ๕ และมีสติคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น สิ่งกระทบอันเป็นอกุศลใดๆ ไม่สามารถเข้ามากวนใจให้ขุ่นมัวเกิดเป็นกิเลสได้ กุศลกรรมที่คุณแม่ได้ประพฤติแล้วตามที่บอกเล่าไป ไม่สามารถลบล้างผลของบาป ที่คุณแม่เคยประพฤติทุศีลข้อแรกมาก่อน และไม่มีผู้รู้ใดบอกได้อย่างถูกตรงว่า การเจ็บป่วยจะหายหรือทุเลาลงเมื่อใด แต่ผู้รู้บอกว่าต้องประพฤติบุญใหญ่ (จิตตภาวนา) อยู่เสมอ แล้วอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกครั้งที่การปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จในแต่ ละวัน

(๓) การกระทำของผู้เป็นลูกตามที่บอกเล่าไป เป็นการกระทำที่ถูกในทางโลก แต่หากเมื่อใดคุณแม่ศรัทธาในตัวลูก และขอร้องให้ลูกแนะนำแม่ประพฤติไปในแนวทางที่ถูก เมื่อนั้นลูกควรจะพูดแนะนำได้ การกระทำเช่นนี้เป็นความถูกต้องในทางธรรม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. เรื่องสังฆทาน ผมเคยศึกษาและรู้มาว่า การกินอาหารที่ถวายสังฆทานไปแล้ว และอาหารนั้นพระในหมู่สงฆ์ไม่อุปโลกน์ หรือสละอาหารนั่น เราฆราวาสจะเป็นเปรตเพราะไปกินของสงฆ์เข้า เหมือนเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิศาลแต่ รู้มาว่าเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิศาล กินอาหารก่อนถวายสงฆ์ ผมเลยสงสัยมานานเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะจะได้ไม่ไปกินของสงฆ์เข้า ขอยกตัวอย่างที่ผมปฏิบัติอยู่ดังนี้


1.1 เวลาผมไปปฏิบัติธรรมบางที่ ที่มีการใส่บาตรเป็นแบบสังฆทาน รูปแบบคือเจ้าภาพจะถวายพระโดยมีอาหารวางเรียงที่โต๊ะยาว แล้วยกถวายพระที่เดินเข้ามารับประเคน โดยยกทีละถาดและวางลง และพระท่านก็ตักอาหารที่ภาชนะเอง โดยรูปต่อๆไปก็มาตักอาหารเอง สุดท้ายพระทุกรูปก็เดินไปฉันอาหารที่กุฏของท่าน เราฆราวาสก็มารัปประทานอาหารกัน แต่ ผมสังเกตไม่มีพระองค์ใดอุปโลกน์ หรือบอกสละเลย เราจะเป็นเปรตหรือไม่ครับ

หากเป็น จะแก้อย่างไร เพราะเราไปปฏิบัติธรรม 2-3 วันที่นั่นต้องกินเพื่อเลี้ยงชีพทุกวัน ไม่สามารถไปหากินที่อื่นได้ครับ
1.2 และอีกที่นึงเวลาเราประเคนถวายพระที่นั่งรัปประเคนอยู่ อาหารที่ท่านตักแล้ว และเหลือ คนก็จะเอาไปรวมๆกันที่โต๊ะ เราไปกินเราจะมีส่วนเป็นเปรตหรือไม่ครับ

( แต่ผมเคยถามหลวงตาท่าน พระท่านบอกว่าเจตนาท่าน สละแล้ว แต่ผมสังเกตุไม่เห็นท่านกล่าวออกมาเป็นวาจาเลยครับ เลยไม่แน่ใจ )

2. การกินน้ำปานะ ในวันที่ถือศีล 8 ผมเคยศึกษาว่าต้องเป็นน้ำผลไม้ หรือน้ำอัฐบาลที่ผลไม่ใหญ่กว่าผลมะตูม ( ผลเล็กกว่ากำมือเรา ) ที่คั้นแล้วกรองแล้ว ไม่มีกาก แต่ที่สำคัญในพระไตรปิฏกบอก ว่า ต้องไม่สุกด้วยไฟ แต่สุกด้วยพระอาทิตย์ควร

ข้อความอยู่ใน พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 152
ผมเคยยกข้อนี้ไปถามท่านที่อ่านพระไตรปิฏกมากว่าผม ท่านบอกว่า อย่าสรุปว่าเล่มนี้ถูก
หากยังอ่านไม่จบทั้ง 91 เล่ม ผมสงสัยว่าข้อสรุปเป็นเช่นไร ผมเห็นเกือบทุกวัดมีการถวายน้ำปานะจำพวก
น้ำเก๊กฮวย มะตูม โอเลี้ยง เป๊บซี่ จั๊บเลี้ยง หากดูแล้วล้วนสุกด้วยไฟทั้งสิ้น

o ในความคิดผม การที่มีการต้มก็น่าจะเป็นจำพวกอาหาร
o พระพุทธองค์ อนุญาตให้ฉันน้ำปานะเพื่อประทังความหิว หลังเที่ยงได้ ผมคิดว่าก็ไม่น่าจะอนุญาติซ้ำอีกเป็นครั้งที่ 2 ในเล่มอื่นนอกเหนือนี้ก็ไม่น่าจะอนุญาตอีก

ขอคำอธิบายชี้แนะจากอาจารย์เพื่อความกระจ่างแก่ผมด้วยครับ

# ผมนำซีดีเรื่องทางสายเอกไปเปิดให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง เป็นปลื้มมากครับ ท่านบอกว่าตั้งแต่ฟังซีดีอื่นๆมาจนถึงเรื่องนี้ ท่านเข้าใจมากครับ และขอฟังซีดีของอาจารย์สนองในแผ่นอื่นๆด้วยครับ

ก่อนหน้าผมนำธรรมะจากที่อื่นท่านก็ไม่ค่อยสนใจครับ ขอบคุณอาจารย์มากเลยครับ ที่เนื้อหาในซีดีทำให้พ่อแม่ผมเริ่มสนใจศึกษาธรรมะครับ

ขอขอบคุณอาจารย์ และขออำนาจคุณพระรัตนตรัยให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง เพื่อตอบปัญหาธรรมต่อไปเรื่อยๆครับ

คำตอบ
๑.๑ ปรกติก่อนที่พระสงฆ์จะรับประทานอาหารจากฆราวาส สงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งในอาวาสนั้น จะได้รับการอุปโลกน์ให้เป็นภัตตุทเทสกะ สงฆ์ผู้ทำหน้าที่นี้จะบอกการแจกภัต (อาหาร) เป็นลำดับนับแต่พระมหาเถระ จนถึงฆราวาสผู้รักษาศีล ๕ เมื่อสงฆ์ผู้แจกภัตได้กล่าววาจาเช่นนี้แล้ว ฆราวาสประพฤติได้ถูกตรงตามลำดับการแจกภัต สามารถนำอาหารไปบริโภคได้ โดยไม่มีอานิสงส์บาปให้ต้องไปเกิดเป็นเปรต

ข้อ ๑.๒ หากพระสงฆ์อนุญาตแล้ว ฆราวาสสามารถนำอาหารที่เหลือจากพระมารับประทานได้โดยไม่มีโทษ

ข้อ ๒ เรื่องน้ำปานะที่อ้างว่าเขียนไว้ในพระไตรปิฏก ซึ่งสังคายนาแล้วที่พระพุทธะนิพพานไปแล้ว แต่ในครั้งพุทธกาล หลังจากออกพรรษาที่ ๕ แล้ว พระพุทธะอนุญาตให้สงฆ์ดื่มน้ำอัฎฐบานได้ (น้ำมะม่วง น้ำลูกหว้าหรือชมพู่ น้ำกล้วยมีเมล็ด น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด น้ำผลมะทราง น้ำผลจันทร์หรือองุ่น น้ำเหง้าบัว น้ำมะปรางหรือลิ้นจี่) ต่อมาพระพุทธะได้อนุญาตเพิ่มเติม คือน้ำผลไม้ทุกชนิด (เว้นน้ำต้มเมล็ดข้าวเปลือก) น้ำใบไม้ทุกชนิด (เว้นน้ำผักดอง) น้ำดอกไม้ทุกชนิด (เว้นน้ำดอกมะทราง) และน้ำอ้อยสด
อนึ่ง คำว่า น้ำผลไม้ทุกชนิด (เว้นน้ำต้มเมล็ดข้าวเปลือก) ถ้าวิเคราะห์ตามพุทธวจนะแล้ว คงไม่มีใครต้มน้ำผลไม้ด้วยแสงอาทิตย์หรอกครับ
ผู้ถามปัญหาคิดเอาเองว่า พระพุทธองค์ ไม่น่าจะอนุญาตซ้ำเป็นครั้งที่สอง แต่ในครั้งที่พระพุทธะยังมีชีวิต นอกจากบัญญัติน้ำอัฏฐบานเป็นครั้งแรกแล้ว พระพุทธะยังได้อนุญาตเพิ่มเติมในภายหลัง ให้ภิกษุฉันน้ำปานะที่ทำด้วย น้ำผลไม้ น้ำใบไม้ น้ำดอกไม้ และน้ำอ้อยสด ดังที่กล่าวข้างต้นอีกด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ดิฉันรู้สึกว่าตนเองไม่ก้าวหน้าในการปฎิบัติธรรม ดิฉันเคยได้อ่านคำตอบที่ท่านอาจารย์ได้ตอบไว้ในกระทู้ว่า การปฎิบัติธรรมให้ใช้กรรมฐาน 40 และเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งที่ตรงกับจริตของตนเอง ดิฉันได้ปฎิบัติกรรมฐานตามคำสอนของครูบาอาจารย์ ซึ่งมีความรู้สึกว่าตนเองมีกำลังของจิตไม่แข็งพอที่จะทนต่อความเจ็บปวดได้ ดิฉันควรจะเลือกกรรมฐาน คือ การเจริญอาณาปานสติไปก่อนดีหรือไม่ ให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้วจึงเจริญวิปัสสนากรรมฐาน แล้วผิดหรือไม่ที่ดิฉันยังไม่สามารถปฎิบัติตามคำสอนของครูบาอาจารย์ได้ในตอน นี้ (อยากมีกำลังของจิตที่เข้มแข็งมากกว่านี้)

2.ดิฉันทุกข์ใจมากจากการกระทำของตนเอง คือ ล่วงเกินพระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ ด้วยมโนกรรม (จินตนาการจนฟุ้งซ่าน) ซึ่งมักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ขณะที่จิตว่างจากงานในหน้าที่ ดิฉันจะทำอย่างไรดีค่ะ

3.ดิฉันจะมีความรู้สึกว่าตัวเองมักจะมีความร้อนใจ (โทสะ) ซ่านอยู่ในอกบ่อยครั้ง อยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่าเป็นเพราะอดีตจากกรรมเก่าหรือเป็นเพราะว่าดิฉัน ปล่อยวางไม่ได้สักทีค่ะ

ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
(๑) เมื่อใดกำลังของสติยังไม่กล้าแข็ง จนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ได้ การที่จะทนความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับรูปขันธ์ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ทั้งนี้เพราะกำลังของสติยังอ่อน ยังต้องส่งจิตออกไปรับเอาสิ่งกระทบภายนอกมาปรุงเป็นอารมณ์เจ็บปวดให้เกิด ขึ้น ดังนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์จะผ่านมารตัวนี้ให้ได้ต้อง

๑. มีศีล ๕ บริสุทธิ์คุมใจ

๒. เร่งความเพียร เจริญสติต่อเนื่องยาวนาน

๓. อธิษฐานยอมตายเพื่อธรรมะของพระพุทธองค์

๔. รักษาสัจจะที่กล่าวข้างต้นให้ได้

(๒) จะแก้ปัญหาเรื่องการล่วงเกินพระสงฆ์และครูบาอาจารย์ ต้องสวดมนต์สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย (อิติปิโส..... , สวากขาโต.... , สุปฏิปันโน.... ) ต่อหน้าพระพุทธรูป แล้วขอขมากรรมที่ตนเองเคยล่วงเกินไว้ และต้องมีสัจจะว่า จะไม่กระทำล่วงเกินใดๆให้เกิดขึ้นอีก

(๓) เหตุที่ทำให้เกิดความร้อนใจ (โทสะ) คือความขัดใจ ทำได้ดังนี้

๑. ให้อภัยเป็นทานต่อทุกคน ทุกสิ่งที่เป็นต้นเหตุทำให้ขัดใจ เมื่ออารมณ์ขัดใจเกิดขึ้น ต้องกำหนด “ ช่างมันเถอะๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนอารมณ์ขัดใจหายไป วิธีนี้คนทั่งไปสามารถทำได้

๒. ต้องดับที่ตัวต้นเหตุ คือ ดับอัตตา ด้วยการใช้ปัญญาเห็นแจ้ง พิจารณาขันธ์ ๕ ตามกฎไตรลักษณ์ วิธีนี้คนที่ปฏิบัติธรรมจึงจะสามารถดับได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเคยได้ถามอาจารย์มาครั้งหนึ่งแล้วครับ เกี่ยวกับการปฎิบัติสติปัฎฐาน 4 แล้วเกิดอาการ ปวดศรีษระ และ อาเจียน มีแต่ลม ผมขอรายงานความก้าวหน้า และขอถามเพิ่มเติมดังนี้ครับ

อาการปวดศรีษระตอนนี้ไม่ค่อยเป็นแล้วครับ แต่ถ้าเป็นขึ้นมาผมก็จะกำหนดไปที่อาการปวดที่ศรีษระ กำหนดไปซักพักจะไปเจอตำแหน่งที่ปวด อาการทรมารก็จะลดลง แต่อาการปวดก็ยังอยู่ แต่ก็อยู่ได้ คือปวด แต่ไม่ทรมานครับ แต่สำหรับอาการอาเจียรนี้ยังแก้ไม่หายครับ คือสมาธิเริ่มสูงเมื่อไร ก็จะเกิดการอาเจียนเป็นลมออกมา ผมกำหนดโดยดูจากลมที่เริ่มเกิดขึ้นที่ท้องจนออกมาที่ปากแต่กำหนดตามไม่ค่อย จะทันคับ และตัวจะโยกด้วยขณะที่อาเจียร เป็นผลให้สมาธิลด แล้วอาการอาเจียรนี้ก็เกิดเสียงดังมาก เกรงข้างบ้านจะตกใจเลยต้องหยุดทุกที และเมื่อหยุดปฏิบัติแล้วประมาณ 30 -60 นาที อาการอาเจียนจึงหายไป ผมจึงตั้งใจว่าจะหาห้องที่สามารถเก็บเสียงได้ แล้วนั่งกำหนดดูอาการอาเจียร จนมันหายนะครับ

คำถาม

1 ลักษณะ รูปแบบ การกำหนดที่ศรีษระแบบนี้ถูกหรือไม่ อย่างไรครับ

2 อยากทราบวิธีการและรูปแบบ การกำหนดอาการอาเจียร ครับ และที่ผมทำอยู่ถูกต้องหรือไม่ครับ และถ้าผมตั้งใจจะนั่งกำหนดจนอาการอาเจียรหาย ควรมิควรอย่างไรครับ

3. ส่วนข้อแนะนำของอาจารย์ทั้ง 3 ข้อ นั้นผมพยายามทำอยู่ครับ แต่จะบกพร่องบ้างบางวันที่ สติอ่อน เช่น เผลอโกรธ เผลอพูดเล่น เผลอในรูปที่สวย หรือพอใจหรือไม่พอใจในสิ่งที่มากระทบ อายะตะนะ ผมคิดว่าจะสามารถทำให้ได้ผลดีได้ 100 % จะต้องเจริญสติมาก ๆ บ่อยๆ เนืองๆ ไม่ทราบว่าผมมีความเห็นถูกผิดประการใดหรือไม่ และขอคำแนะนำของอาจารย์เพิ่มเติมด้วยคับ

กราบของพระคุณด้วยความเคารพครับ

คำตอบ
(๑) อาการปวดที่ยังเหลืออยู่ ต้องกำจัดให้หมดไป ด้วยการบริกรรม “ ปวดหนอ ๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ ไม่เลิกปวดไม่เลิกบริกรรม รักษาสัจจะนี้ไว้ให้ได้ แล้วดูสิว่า การบริกรรมจะชนะความเจ็บปวดได้จริงไหม

(๒) อาการอาเจียรและเป็นลม ต้องประพฤติเช่นเดียวกับข้อ (๑) คือเมื่อมีอาการอาเจียรเกิดขึ้น ให้อาเจียรจนหมด แล้วกลับมากำหนด “ อาเจียรหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆจนกว่าอาการอาเจียรจะไม่เกิดขึ้นอีก อาการลมขึ้นประพฤติเช่นเดียวกัน ..... สู้ไม่ถอย

(๓) เผลอโกรธ เกิดจาก “ สติอ่อน ” เป็นเหตุทำให้เกิด คือ จิตรับกระทบสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจไม่ทัน จึงรับเอาความขัดใจมาปรุงเป็นอารมณ์โกรธ ต้องแก้ไขด้วยการเจริญสติอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน และต้องรักษาความดีที่ทำได้แล้ว (สติ) ให้คงอยู่ เช่นเดียวก่อน จะพูดจาใดๆออกไปต้องมีสติคุมปาก จะดูสิ่งใดต้องมีสติคุมตา ดังนั้นความคิดที่บอกเล่าไป คิดได้ถูกทางแล้ว แต่ผู้ถามปัญหายังทำตามความคิดของตัวเองไม่ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเริ่มฝึกวิปัสสนา ได้ราว 8-9 เดือนแล้วครับ โดยการดูจิต ยังไม่เคยกราบครูบาอาจารย์เพื่อขอกรรมฐาน เพียงแต่ใช้วิธีดาวน์โหลด ธรรมบรรยายของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช มาฟัง และปฏิบัติตามที่ท่านสอนเท่านั้น

ผมมีคำถามดังต่อไปนี้

1. ผมควรจะเสาะหาครูบาอาจารย์หรือไม่ครับ ผมคิดจะไปกราบขอกรรมฐานจากพระกรรมวาจาจารย์ องค์ที่ผมเคยไปบวช ขอคำแนะนำตรงนี้ด้วยครับ

2. ในการฝึกภาวนา จริตของผมควรฝึกสมาธิให้ได้ฌานหรือไม่ครับ เมื่อช่วงก่อนที่จะเริ่มดูจิต ผมเคยฝึกแบบสัมมาอรหังอยู่ราว 2 ปี รู้สึกจิตรวมลงเป็นสมาธิได้ดีกว่ารู้ลมหายใจ แต่เลิกไป เพราะเพ่งและกด จนมีอัตตาตัวใหญ่และกิเลสครอบอย่างไม่รู้ตัว พอเปลี่ยนเป็นรู้ลม ตลอดเวลา 8-9 เดือน มีอยู่เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ที่จิตรวมเวลาที่นั่งสมาธิดูลมหายใจตามรูปแบบ ส่วนใหญ่มักจะเห็นจิตเผลอ เพ่ง หลงคิด สลับกับรู้ลม วนเวียนไปมาครับ ส่วนการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ก็ใช้วิธีตามรู้อาการเผลอคิดเอาครับ ผมมีความคิดอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองน่าจะทำฌานได้ และมีความเห็นว่าควรฝึกพื้นฐานตรงนี้ให้แน่นเสียก่อน

3. ผมมักจะมีปัญหาเวลามีโทสะ หงุดหงิดรำคาญใจ โดยเฉพาะกับภรรยา หลายๆ ครั้ง มักจะหลุดออกทางวาจา พูดไปแล้วก็เสียใจ ขอคำแนะนำตรงนี้ด้วยครับ ว่ามีวิธีฝึกสติอย่างไร

ขอกราบขอบพระคุณด้วยความเคารพ

คำตอบ
(๑) ผู้ใดมีความมั่นใจว่า ตัวเองมีบุญบารมีสั่งสมมามากจากอดีตชาติ มีมากพอที่จะแก้ปัญหาให้ตัวเองได้ ก็ไม่จำเป็นต้องมีครูบาอาจารย์ ส่วนคนที่สั่งสมบุญบารมีมาไม่มาก ต้องแสวงหาครูบาอาจารย์มาเป็นผู้ชี้นำการปฏิบัติธรรมให้

(๒) พระอรหันต์ผู้เข้าฌานได้ เรียกว่า “ พระสมถยานิก ” พระอรหันต์ที่เข้าฌานไม่ได้ เรียกว่า “ พระสุกขวิปัสสก ” แต่พระอริยบุคคลทั้งสองประเภท มีจิตพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวงได้แล้ว

ดังนั้นผู้ใดมีจิตชื่นชอบในการแสดงฤทธิ์ ชอบที่จะมีหูทิพย์ ชอบที่จะมีตาทิพย์ ฯลฯ ควรฝึกสมาธิให้ได้ฌานก่อน ส่วนผู้ใดมีจริตไม่สนใจในอภิญญาข้างต้น ไม่จำเป็นต้องฝึกสมาธิให้เข้าถึงความเป็นฌาน เพราะจะทำให้เสียเวลาในการพัฒนาจิตให้พ้นไปจากความทุกข์ทั้งปวง

(๓) ต้องภาวนาคำว่า “ ช่างมันเถอะๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนความขัดใจหมดไป หรือจะให้ดีกว่านี้คือ ฝึกจิตให้มีกำลังของสติและกำลังของปัญญาเห็นแจ้งให้เกิดขึ้น แล้วดับอัตตาให้ได้ ปัญหาความขัดใจก็จะไม่เกิดขึ้นอีก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนู และสามี มีอาชีพทำธุรกิจส่วนตัว แต่ขณะนี้จำเป็นต้องพยายามหาอาชีพการงานใหม่เพิ่มเติม เนื่องจากงานที่เข้ามาไม่สม่ำเสมอในแต่ละเดือน แต่ในแต่ละเดือนนั้น ก็มีรายจ่ายที่คงที่อยู่ (อย่างเช่นรายจ่ายเรื่องลูกน้อง, ค่าเช่าสถานที่ทำงาน) หนูเองได้พยายามทำมาหลายอย่าง แต่ไม่สำเร็จผล เพราะบางอย่างต้องอาศัยสายป่านที่ยาว และหนูไม่มีตรงนั้นค่ะ และก็ได้ไปอ่านเจอเรื่องการเพาะเลี้ยงไส้เดือนขาย สามี และหนูเกิดความสนใจ เพราะว่ามีผู้สอนให้เลย และมีตลาดรองรับ การลงทุนไม่สูงมาก หนูขออนุญาตสอบถามดังนี้นะคะ

1. หากหนูเพราะเลี้ยงไส้เดือนขาย เป็นอาชีพที่เป็นการสร้างบาปหรือไม่คะ เพราะผู้ซื้อบางคนก็ซื้อไปเป็นอาหารให้ปลาค่ะ แต่ประโยชน์ด้านอื่น ๆ ของไส้เดือนที่มีต่อการเกษตร ก็มีมากเหลือเกินค่ะ

2. หากเป็นการทำบาป เป็นการทำบาปที่มากหรือไม่คะ (เพราะหนูคิดเอาเองว่า ไส้เดือนเป็นสัตว์ที่เล็กมาก ) หากจำเป็นต้องทำเพื่อต้องหาเลี้ยงชีพ เราสามารถทำความดีอื่น ๆ ชดเชยกันได้หรือไม่คะ

3. เป็นการกระทำที่คุ้มกันหรือไม่คะ ที่ต้องเบียดเบียนไส้เดือน เพื่อตนเอง ครอบครัว และผู้อื่น ที่เราต้องรับผิดชอบน่ะค่ะ

หนูขอบพระคุณอาจารย์มาก ๆค่ะ

คำตอบ
(๑) การเพาะเลี้ยงไส้เดือนขาย เพื่อใช้เป็นอาหารของสัตว์อื่น ถือว่าเป็นบาปด้วยเป็นเหตุให้ประพฤติทุศีลข้อ ๑ แต่หากเพาะเลี้ยงไส้เดือนขาย เพื่อใช้ปรับปรุงดินให้ร่วนซุย ไม่ถือว่าเป็นบาป

(๒) ไส้เดือนแม้ว่าจะเป็นสัตว์เล็กมีคุณธรรมไม่มาก แต่หากมีการฆ่าเป็นจำนวนมากก็บาปได้เหมือนกัน ผู้ใดมีความจำเป็นต้องเลี้ยงไส้เดือนขายเป็นอาหารของสัตว์อื่น ต้องทำบุญอยู่เสมอ (ดูบุญกิริยาวัตถุ ๑๐) เพื่อให้บุญมีกำลังมากกว่าบาปที่ต้องทำ

(๓) จะคุ้มค่าหรือไม่ ผู้ถามปัญหาต้องประเมินด้วยตัวเองว่า กำลังของบุญและกำลังของบาปที่ตนเองทำ อย่างไหนมีมากกว่ากัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันปฏิบัติภาวนาอยู่ ประมาณ 1 ปีแล้วค่ะ จิตใจเปลี่ยนไปมาก ค่ะ

ดิฉันกราบเรียนถามท่านอาจารย์ 2ข้อค่ะ
1. ดิฉันมักจะโกรธลูกอยู่บ่อยๆ เพราะเขาไม่ได้ดั่งใจเรา ขี้เกียจ และชอบโกหก เรื่องการบ้าน บอกว่าไม่มี ทั้งๆที่มี พูดสอนจนเหนื่อย พูดมากก็ร้องไห้โกรธแม่ และแม่ก็โกรธลูก จนอารมณ์เดือด รู้ทันความโกรธ แต่ความโกรธก็ไม่ดับ ก็เห็นไตรลักษ์ ว่าบังคับไม่ได้ รู้ทัน ว่าจิตเป็นอกุศล ไม่ทราบว่า จะแก้ไขอย่างไรได้บ้างค่ะ

2. แม่สามี ดิฉัน เป็นเจ้ามือหวยเถื่อน แต่ท่านก็ชอบทำบุญทำทานอยู่เป็นประจำ จะบอกกล่าวให้เลิกก็ไม่ได้ เพราะท่านบอกว่าไม่บาปหรอก เขาก็อยากได้ของเรา ไม่ทราบว่าดิฉันพอจะช่วยท่านได้ด้วยวิธีไหนบ้างค่ะ อยากรบกวนท่านอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

คำตอบ
(๑) แม้จะปฏิบัติธรรมนานเท่าใดก็ตาม แต่ยังพัฒนาจิตให้เข้าถึงธรรมไม่ได้ เป็นเพราะยังประพฤติศีลไม่ถูกตรง ยังเห็นไตรลักษณ์ไม่ถูกตรงตามความเป็นจริง ผู้ถามปัญหาประสงค์จะปรับปรุงแก้ไขตัวเอง สิ่งแรกที่ต้องทำให้ได้คือ ศีลต้องไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย และต้องนำศีลเช่นนี้ลงคุมให้ถึงใจ แล้วลงมือปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรม โดยมีความเพียรและสัจจะเป็นเครื่องสนับสนุน

(๒) แม่สามีบอกว่า เป็นเจ้ามือหวยเถื่อนไม่บาป เป็นการพูดถูกของท่านจึงประพฤติเช่นนั้น แต่ไม่ถูกตามธรรมของพระพุทธะ เพราะหวยเถื่อนเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และเป็นอบายมุข นำความวิบัติมาสู่ชีวิต ผู้ถามปัญหาประสงค์จะช่วยท่าน ต้องพัฒนาตัวเองให้มีศีลมีธรรมคุ้มใจอยู่ทุกขณะตื่น เมื่อใดที่แม่สามีศรัทธาในความดีของลูกสะใภ้แล้วเอ่ยปากขอคำแนะนำ เมื่อนั้นผู้ถามปัญหาจึงจะมีโอกาสช่วยท่านได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีปัญหากับชีวิตเรื่องครอบครัวของสามี ทั้งตัวสามีเองและพ่อ แม่ของสามี จนอยากจะเลิกกับเขา แต่สงสารลูก ๆ ที่ต้องทนคิดถึง พ่อหรือแม่ที่เป็นฝ่ายต้องจากไปจึงพยายามทำใจเพื่อลูก ๆ หลาย ๆ ครั้งที่ทนไม่ได้ก็ต้องด่าเขาในใจ หรือ หงุดหงิดกับการกระทำของ พ่อ แม่สามี จึงอยากเรียนขอคำปรึกษาอาจารย์ว่า

1 เราต้องทนรับสภาพที่ต้องอดทนและให้อภัยกับการกระทำของ เขา 3 คน ตลอดชีวิตเลยใช่ ใหม๊ คะ

2 ถ้าเราเลิกกับเขา ก็เป็นบาปที่ทำให้ลูกต้องรับกรรมและเป็นบาปที่ทำให้สามี ต้องแยกกับลูกด้วยใช่ ไหม๊ คะ

3 อยากให้อาจารย์ช่วยให้คำแนะนำกับคนที่อยู่กับสามี หรือ ภรรยา แล้วไม่มีความสุข

ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
(๑) ผู้ถามปัญหามีความเห็นผิด จึงต้องรับเอาการกระทำของบุคคลทั้งสาม มาเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ขึ้นกับใจของตัวเอง หากเมื่อใดผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตตนเอง ให้มีสติและมีปัญญาเห็นถูกตรงได้ จะสำนึกในบุญคุณของบุคคลทั้งสามว่า เขาเหล่านั้นเป็นครูสอนใจให้เราได้สร้างขันติบารมี สร้างเมตตาบารมี (ให้อภัยเป็นทาน) และสร้างปัญญาบารมีของเราให้มีกำลังมากขึ้น โดยไม่ต้องตระเวนไปหาครูที่อยู่ห่างไกลให้ต้องเสียเงิน เสียทอง เสียเวลาไปเปล่า ผู้ตอบปัญหามองว่า ผู้ถามปัญหาเป็นผู้มีโชคดี

(๒) ใช่ครับ

(๓) คนที่อยู่กับสามีหรือภรรยาแล้วไม่มีความสุข โปรดอ่านข้อ (๑) แล้วประพฤติที่แนะนำได้เมื่อใดแล้ว ปัญหาก็จะหมดไปและยังเป็นบุญใหญ่เกิดขึ้นกับตัวเองอีกด้วย .... แนะนำแล้วครับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมต้องทำงานที่เข้ากะดึก และต้องเข้าพักที่หอพักของโรงงาน ซึ่งมีผู้เล่าขานว่ามีผีดุ
กระผมขอเรียนถามอาจารย์ถึงวิธีปฏิบัติตัว เพื่อให้เราและสัมภเวสีอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข โดยไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันครับ

กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงครับ

คำตอบ
สัตว์ดุร้ายเป็นเรื่องของสัตว์ คนดุร้ายเป็นเรื่องของคน ผีดุร้ายเป็นเรื่องของผี ผู้ใดประพฤติตนให้เป็นคนมีบุญ (ดูบุญกิริยาวัตถุ ๑๐) เป็นคนมีเมตตา ไม่ประพฤติเบียดเบียน (ไม่ดุร้าย) กับผู้อื่น ตรงกันข้ามประพฤติตนเป็นผู้ให้สิ่งดีงามกับผู้อื่น คืออุทิศบุญให้กับผี (สัมภเวสี) ที่ยังจำเป็นต้องอยู่ร่วมกันที่หอพักของโรงงาน ก็จะอยู่ร่วมกันฉันท์เพื่อนที่ดีต่อกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน คบผีดุดีกว่าคบกับคนดุนะครับ ผู้ตอบปัญหาชอบประพฤติเช่นนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 18:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันสนใจธรรมมานานแล้ว จะไปวัดอัมพวัน เป็นประจำ
มีข้อสงสัยอยากถามว่า

1.การเพ่ง/หรือกำหนดคำภาวนา ใช่เป็นสมณะใช่ไหมคะ ถ้าเรานั่งจนเห็นธรรมกายเราจะพลิกสู่วิปัสสนาได้อย่างไร

2.ถ้าเราปฏิบัติสมถะ จนจิตนิ่ง เรามีวิธีการอย่างไรจะพลิกเข้าสู่วิปัสสนา แล้วการคิดพิจารณาโดยสังเกตการเกิดดับของสภาวะธรรม(การรู้)
ถ้าเราคิดไม่ดี เราควรกำหนดรู้ว่าคิดหนอ หรือแค่รู้ เพราะถ้าปล่อยผ่านไปอาจทำให้เราบาปได้

3.ดิฉันเป็นคนที่ขี้สงสัย คิดมาก ควรปฏิบัติอย่างไรจิตจึงจะนิ่งคะ

กราบขอขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
(๑) คำว่า “ สมณะ ” หมายถึงผู้มีจิตสงบจากกิเลสแล้ว ในทางพุทธศาสนาหมายถึงผู้ระงับบาปได้แก่พระอริยบุคคล หรือหมายถึงผู้ที่กำลังปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพระอริยบุคคล ฉะนั้นการเพ่งหรือกำหนดภาวนาถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นอริยบุคคล ตามความหมายนี้ถือว่าเป็น สมณะ ได้

อนึ่ง การนั่งภาวนาจนเห็นธรรมกาย (พระนามของพระพุทธะ) มิได้หมายความว่า ผู้เห็นมีจิตพ้นไปจากกิเลสที่เป็นเหตุทำให้เวียนตาย-เวียนเกิดในวัฏสงสารได้ ผู้ใดพิจารณาสิ่งที่ถูกเห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา) จนเห็นด้วยจิตว่า สิ่งที่ถูกเห็นมิใช่ตัวมิใช่ตน จิตปล่อยวางสิ่งที่ถูกเห็น แล้วจิตว่างเป็นอิสระ ปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนา) จึงจะเกิดขึ้นกับผู้นั้น

(๒) ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนา จนจิตนิ่งเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) แล้วใช้จิตนิ่งระดับนี้ไปพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม จนเห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วจิตเป็นอิสระได้ ปัญญาเห็นแจ้งย่อมเกิดขึ้น

การพิจารณาการเกิดดับของสภาวธรรมโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) เป็นวิธีการหนึ่งของการเกิดปัญญาเห็นแจ้ง อนึ่ง การคิดไม่ดีเป็นอารมณ์จิตที่ขาดสติ แล้วกำหนดว่า “ คิดหนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ เป็นวิธีการกำจัดความคิดไม่ดีให้หมดไป ทำให้จิตกลับมามีสติอยู่กับคำภาวนาเดิม ที่ใช้ปฏิบัติเพื่อให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ

การปล่อยความคิดให้ผ่านไปโดยมิได้พิจารณา ถือว่าเป็นการส่งเสริมให้จิตหลง (โมหะ) เป็นบาปได้

(๓) การปฏิบัติธรรม (สมถภาวนา) แล้วทำให้จิตนิ่งหรือเข้าถึงความนิ่ง (สมาธิ) ได้ ต้อง

- ทำตัวเองให้เหมือนคนโง่ ปฏิบัติตามคำชี้แนะของครูผู้สอนจนเกิดผล

- ปฏิบัติธรรมด้วยการเอาศีลลงคุมใจ

- ปฏิบัติต่อเนื่องยาวนาน

- มีสัจจะเป็นแรงสนับสนุน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 18:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ดินที่ดิฉันสร้างอพาร์ทเม้นต์มีต้นไม้ใหญ่ และคุณยายดิฉันอายุ 95 ปี ตอนมีชีวิต(เพิ่งเสีย 3 วัน ) เคยพูดว่าเห็นผู้หญิงผมยาว สวยๆ อยู่ตรงนั้น ตอนนี้มีผู้เช่ารายหนึ่งเป็นผู้หญิง ลักษณะเหมือนมีเซนส์ ก็บอกเหมือนคุณยาย เขาพูดหลายอย่างถูกต้องโดยไม่ต้องพูดคุยหรือพบปะกับใครมาก่อน

ดิฉันใคร่สอบถามอาจารย์ว่า

1. หากดิฉันจะตั้งศาลใต้ต้นไม้ใหญ่ ได้หรือไม่ และตั้งเองได้หรือไม่ จะต้องทำอย่างไรในการตั้งศาล การตั้งศาลกับไม่ตั้งศาล ในกรณีของดิฉันควรจะปฏิบัติอย่างไร หากต้องตั้งศาลแล้วที่ดินมีเจ้าของที่หลายคน จะรู้ได้อย่างไรว่าใครจะเป็นผู้มาอยู่ และ เมื่อตั้งศาลแล้วควรจะปฏิบัติต่อศาลอย่างไร จึงจะไม่เป็นการล่วงเกิน

2. ดิฉันได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรม 8 วัน และได้อุทิศกุศลจากการปฏิบัติให้เจ้าของที่เดิมทุกครั้ง กิจการดีขึ้นตามลำดับ เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือไม่

กราบขอบพระคุณในความกรุณา


คำตอบ
(๑) การตั้งศาลหรือไม่ตั้งศาลให้เจ้าที่ ยังไม่สำคัญเท่ากับการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าที่ หากมนุษย์อยู่กับเจ้าที่อย่างฉันท์เพื่อนที่ดีต่อกัน เช่น อุทิศบุญกุศลให้เจ้าที่อยู่เสมอ ชวนฟังสวดมนต์ ชวนฟังธรรม ฯลฯ หรือประสงค์จะตั้งศาลเจ้าที่ให้เป็นภาระก็สามารถทำได้ แต่เมื่อตั้งศาลแล้วต้องเซ่นไหว้บ่อยๆด้วย อาหาร น้ำ ผลไม้ ดอกไม้ ฯลฯ แล้วจะอยู่กันอย่างปกติและมีความสุข

อนึ่ง จะตั้งศาลเดี่ยวแล้วเชิญเจ้าที่หลายตนอยู่อาศัยก็ได้ หรือจะตั้งหลายศาล แล้วเชิญแต่ละเจ้าที่เข้าอยู่คนละศาลก็สามารถทำได้ ผู้ถามปัญหาจะตั้งกี่ศาล จะเชิญเจ้าที่กี่องค์เข้าอยู่อาศัย .... ตามอัธยาศัยครับ

(๒) ถูกต้องแล้วครับ สำหรับผู้ประสงค์อยู่ร่วมกับเจ้าที่อย่างสงบและมีความสุข

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 20:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอขอบพระคุณอาจารย์ สำหรับคำแนะนำในครั้งก่อน ผมได้นำไปปฏิบัติจนสามารถแก้ไขปัญหาได้แล้ว ผมมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการฝึกสมาธิแบบอาณาปานสติ ดังนี้

ผมมีความเข้าใจเรื่องศีลสิกขาและสัจจะ ตามที่ท่านได้ให้แนวทางไว้ ได้นำมาปฏิบัติ รู้สึกว่าจิตใจมั่นคงมากขึ้น ไม่ซัดส่ายไปมา นิ่งและเข้าสู่สมาธิได้ดีขึ้น แต่ยังมีปัญหาเดิมๆ ดังนี้

ผมมักจะกลืนน้ำลายในระหว่างนั่งสมาธิดูลมหายใจ ติดนิสัยนี้มาตั้งแต่ยังฝึกสัมมาอรหังเพ่งลูกแก้วแล้วครับ ช่วงนี้มันกลับมาเป็นอีก เมื่อจิตนิ่งได้สักครู่ ก็จะเห็นความอยากโผล่มาก่อน ล่าสุดผมก็สู้กับมัน ไม่ยอมกลืนน้ำลาย นั่งดูใจที่ดิ้นและอาการทางกายที่เหมือนกับมีก้อนจุกอยู่ที่คอหอย จนทนไม่ไหว ยอมแพ้กลืนน้ำลาย แล้วก็เห็นอาการทางกายหายไป เห็นว่าจิตใจที่ดิ้นรนเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเบาสบาย

คำถามคือ

1. ผมควรจะสู้กับมัน ไม่ยอมแพ้ความต้องการ หรือ ใช้มันเป็นอารมณ์พิจารณาอย่างที่ทำอยู่ครับ ต่อไปคงต้องเจอสภาวะนี้อีก

2. หลังจากยอมแพ้แล้ว ผมก็ยังรู้สึกว่า สมาธิไม่ได้หายไปไหน นั่งต่อมาลมหายใจก็เริ่มละเอียดมากขึ้นจนเกือบมองไม่เห็น จนกระทั่งหมดเวลาต้องอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน

3. ถ้าควรฝืนสู้กับสภาวะ ขอคำแนะนำ หรือวิธีการด้วยครับ

กราบเรียนอาจารย์ด้วยความเคารพ


คำตอบ
(๑) เมื่อสมาธิยังมีกำลังไม่กล้าแข็ง ไม่ควรเอาจิตไปต่อสู้กับอาการที่เกิดขึ้น แต่ควรอย่างยิ่งรักษาศีลและสัจจะ ให้มีอยู่กับใจให้ได้ทุกขณะตื่น ความศักดิ์สิทธิ์ในกาย ความศักดิ์สิทธิ์ในจิตจะเกิดขึ้น อาการที่ไม่พึงปรารถนาจะหมดไปเอง

(๒) จริงอยู่สมาธิไม่ได้หายไปไหน แต่กำลังของสมาธิยังด้อยกว่าอารมณ์ติดลบที่เกิดขึ้น จึงยอมแพ้ ฉะนั้นต้องเน้นสร้างบารมีสองตัวในข้อ (๑) ให้มีกำลังมากขึ้น

(๓) ไม่ควรฝืนสู้กับสภาวะที่เกิดขึ้น แต่ควรอย่างยิ่งพัฒนาจิตให้มีศีลและสัจจะให้มีกำลังมาก เป็นศีลอุปบารมี เป็นสัจจอุปบารมี และดีที่สุดต้องพัฒนาให้ถึงปรมัตถบารมี

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 68, 69, 70, 71, 72, 73, 74 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร