วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 15:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 66, 67, 68, 69, 70, 71, 72 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ผมได้ฝึกตามดูความคิดของตัวเอง ได้ฟังเทศน์แนวทางดูจิตตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 จนคืนวันที่ 20 มกราคม 2552 ที่ผ่านมา ระหว่างที่ผมกำลังฝึกงานอยู่ที่เชียงราย เกิดสภาวะอย่างหนึ่งที่แปลกกว่าทุกครั้ง คืนนั้นผมนั่งอ่านหนังสือและก็ค่อยสังเกตุใจที่หนีไปคิด สักพักเริ่มรู้สึกว่าใจมันนิ่งและเย็น ผมเลยปิดไฟแล้วนั่งหลับตา ไปรู้ตรงที่ใจนิ่งๆนั้น มันก็เกิดนิ่งวูปๆขึ้นมาเรื่อยๆ เห็นหัวใจเต้นแรงขึ้นๆ เห็นใจที่คิดแยกออกมา เห็นใจที่นิ่งๆก็นิ่งขึ้นๆ และมีคำพูดของหลวงพ่อว่า รู้ลงอย่างเป็นกลาง ขึ้นมาเป็นระยะ ผ่านไปสักพัก หัวใจก้เต้นเบาลง แต่ใจเริ่มดิ้นไปๆมาๆ จนรู้สึกว่าหมดแรง เริ่มปวดตามตัว ผมเลยลืมตาขึ้นมาแล้วเอนตัวนอน พอหลับตาลงก้รู้สึกเหมือนว่าร่างกายมันแบนราบ หายใจเข้ามันถึงจะพองขึ้นมาที่ท้อง และยังรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงมากจนตัวสั่นตามจังหวะการเต้นของหัวใจ จนรู้สึกรำคาญ ผมพยายามหลับตานอน แต่นอนไม่หลับ เหมือนกับว่าตัวหลับหายไป ผมเลยนอนดูหัวใจเต้นไปอย่างนั้น มันมีความคิดขึ้นมาตัวหนึ่งว่า บรรลุแล้ว ผมก็เลยลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก รู้สึกว่าโลกเปลี่ยนไป เหมือนเป็นภาพวาด ตัวความคิด บรรลุแล้ว มันก็ขึ้นมาเรื่อยๆ ผมเลยไปเปิดคอมฯแล้วโหลดหนังโป๊ะมาดู ความอยากยังมีอยู่ แต่มันเกิดยิกๆอยู่ในใจ ผมเลยเข้าใจว่าความคิดนั้นมันหลอก

หลังจากวันนั้นมา ผมนอนก้ไม่หลับอีกเลย หลับก้ไม่เหมือนเดิม เวลาหลับก็เหมือนเวลาที่ใจเราหนีไปคิดแล้วเราไม่รู้ แต่พอมันคิดจบผมก็ตื่น ในขณะที่ใจหนีไปคิดผมก้รู้ แต่รู้บางๆ ไม่พอที่จะตัดมันให้ขาดเหมือนตอนตื่น เป็นการนอนที่ทรมานมากเหมือนว่าผมถูกใจจะลากไปโน้นไปนี่ทั้งคืน พอผมไม่ยอมหลับ 2-3 วัน เหมือนร่างกายจะไม่ไหว หัวใจก้เต้นแรงๆ จนรู้สึกว่าทรมาน เหนื่อย ก็ต้องไปนอน แต่ใจมันไม่เคลิ้มหนีไปคิดอย่างเดิม คือพอผมนอน ผมก้ดูลมหายใจเข้า-ออก หายใจได้ไม่กี่ที ใจมันเหมือนกับว่าแอบไปอยู่ตรงที่ว่างๆตรงลมเข้า-ออก ประมาณ 30-60 นาที ก้สดชื่นขึ้นมา แต่พอผมตั้งใจดูลมหายใจเข้า-ออก ให้ใจไปอยู่ตรงว่างๆนั้น แล้วผมจะได้หลับ มันก้ทำไม่ได้ มันเป็นสภาวะที่ผมไม่เคยเจอและแปลกกว่าทุกครั้ง และอีกอย่างคือสภาวะที่ว่านี้หลวงพ่อไม่ได้เทศน์ไว้ ทุกครั้งเมื่อผมติดสภาวะ ผมก้จะฟังเทศน์แล้วจับจุดแก้เอา

ผมเคยไปกราบหลวงพ่อประสิทธิ์ วัดป่าหมู่ใหม่ อ.แม่แตง เชียงใหม่ กราบถามสภาวะนี้ แต่ท่านแค่บอกผมว่า อย่าไปสงสัย อยากดูโน้นดูนี่ ให้เอาสติตั้งลงที่จิต ผมฟังแล้วก็เหมือนเข้าใจ แต่พอมาทำก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ผมเลยไปปฏิบัติธรรมที่สำนักวิป้สสนาแม่ชีดอยสะเก็ด และถามแม่ชีที่สอบอารมณ์ ท่านก็บอกว่าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่นแล้ว แต่ยังไม่เบิกบาน เพราะร่างกายไม่พร้อม เพราะผมไปทำข้ามขั้นตอนของสติปัฏฐาน 4 ให้ผมไปดูพอง-ยุบ และเวทนา ผมฟังแล้วก็เหมือนเข้าใจ แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดี ผมไปปฏิบัติที่สำนักฯได้ 10 วัน

ตอนนี้ผมกลับมาอยู่บ้าน ที่อำเภอแม่ริม ผมรู้สึกว่าชีวิตเปลี่ยนไปเยอะมาก หลังวันที่ 20 มกราคม 2552 กินข้าว 3 มื้อก็ไม่ได้ มันแน่นอึดอัดไปหมด ผมเลยกิน 2 มื้อ เช้ากับเย็น เว้นกลางวัน ตอนไปปฏิบัติผมกินมื้อเช้ามื้อเดียวก็อยู่ได้มีแรงปกติ นอนก็ไม่หลับเหมือนก่อน เหมือนว่าตัวหลับหายไป แต่ง่วงเคลิ้มๆมีอยู่ ดูหนัง ดูทีวี ฟังเพลง ก็เหมือนดูไปอย่างนั้น ฟังไปอย่างนั้น เล่าให้ใครฟัง เค้าก็หาว่าคิดมาก ตัวความคิดว่า บรรลุแล้ว มันก็ผุดขึ้นมา แต่มันก็เบาลงจนผมแทบจะไม่สนใจ เพราะดูมันจนชิน ผมยังมีกิเลสอยู่ เวลาออกไปไหน เห็นผู้หญิงสวยๆ ก็ยังมองอยู่ ใจยังแว็ปๆไปที่เค้าอยู่ เดือนเมษาผมต้องไปจับใบดำ-ใบแดง ผมคิดว่าถ้าได้ขึ้นมา ด้วยสภาวะที่ผมเป็นอยู่คงจะเป็นทหารไม่ไหว ตอนนี้ผมอยากบวชครับ

ผมอยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่า สภาวะที่ผมเป็นอยู่นี้ คืออะไร และผมควรทำอย่างไรต่อดีครับ ทุกวันนี้ผมก็ยังตามดูความคิดและเห็นมันเกิดไปเกิดมาอย่างนั้น ผมก็ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร แต่ผมไม่รู้จะอธิบายกับญาติพี่น้องอย่างไร และผมก็ยังสงสัยสภาวะที่ผมเป็นอยู่

ต้องขออภัยท่านอาจารย์ด้วยครับ ผมอาจจะคำไม่ค่อยสุภาพ แต่สภาวะที่ผมเป็นอยู่ เป็นจริงตามที่ผมได้เล่าไป ขอท่านอาจารย์ได้โปรดตอบข้อสงสัยของผมด้วยครับ

ขอบพระคุณอย่างสูงครับ

คำตอบ
ตามที่บอกเล่าไปเป็นสภาวะของจิตที่เริ่มมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ จึงถูกมารตามขัดขวางมิให้บรรลุความดี หากผู้ถามปัญหาทำตัวเป็นคนโง่ แล้วประพฤติให้ถูกตรงตามคำชี้แนะของผู้มีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน จนกระทั่งเข้าถึงผลแห่งการปฏิบัติแล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นจะหมดไป เมื่อใดที่อาการต่างๆปรากฏ อาทิ เห็นหัวใจเต้นเบาลง ต้องกำหนดว่า “ เบาหนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนอาการเต้นเบาของหัวใจหายไปและไม่ปรากฏขึ้นกับจิตอีก หรือเห็นตัวเองหายไป ต้องกำหนดว่า
“ เห็นหนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนอาการหายไปของตัวไม่ปรากฏอีก หรือคิดว่าตัวเองบรรลุแล้ว ต้องกำหนดว่า “ คิดหนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนความคิดว่าบรรลุแล้วหายไป และความคิดเช่นนี้ไม่ปรากฏขึ้นอีก ฯลฯ หลังจากนั้นนำจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิมที่ทำอยู่ การแก้ปัญหาเช่นนี้เป็นวิธีกำจัดตัวการที่มาขัดขวาง (มาร) ไม่ให้บรรลุความดีที่สูงขึ้นไป เมื่อกำจัดมารได้แล้ว ความตั้งมั่นเป็นสมาธิของจิตที่สูงขึ้นย่อมเกิดได้ และสามารถใช้เป็นฐานพัฒนาปัญญาเห็นแจ้งต่อไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.หากฆราวาสแต่เดิมมีความเชื่อไม่กินเนื้อชนิดใดชนิดหนึ่ง ทั้งกรณีที่ตั้งสัจจะและไม่ได้ตั้งสัจจะว่าจะไม่ฉันเนื้อชนิดนั้นอีก (เช่น ชาวจีนบางกลุ่มจะไม่กินเนื้อวัว หรือเคยปล่อยสัตว์ชนิดนั้นให้เป็นอิสระมาก่อน เช่น ปล่อยปลา) ต่อมาได้มาบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา(ฝ่ายเถรวาท) เนื้อชนิดนั้นไม่ได้ถูกห้ามด้วยพระวินัย มีญาติโยมนำอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อชนิดนั้นมาถวาย ผู้เป็นภิกษุควรทำอย่างไรกับอาหารนั้น ถือได้ว่าถ้าไม่ฉันอาหารนั้นจะทำให้ของถวายที่ญาติโยมผู้เป็น ทายก มาถวายเสียหายได้ หรือ ถือได้ว่าเป็นสมณะผู้เลี้ยงยากได้หรือไม่ครับ หากเกิดกรณีนี้จะแก้ไขโดย บอกญาติโยมหรือโยมอุปฐากเสียตั้งแต่เป็นฆราวาสว่า ให้นำอาหารที่ไม่ได้ปรุงด้วยเนื้อชนิดนั้นมาถวาย เพื่อไม่ให้ผิดสัจจะหรือข้อตกลงทางประเพณีที่ตั้งไว้ตั้งแต่เป็นฆราวาสอย่าง นี้ได้หรือไม่ครับ

2. การชำระค่าสินค้าแบบ "เงินผ่อน" ถือว่าเป็นบาปหรือไม่ครับ เพราะขัดกับพุทธพจน์ที่ว่า "อิณาทานํ ทุกฺขํ โลเก การเป็นหนี้ เป็นทุกข์ในโลก" ถ้าหากเป็นบาป ผู้ชวนกู้ ผู้ให้กู้ ผู้กู้ ผู้ดำเนินเรื่อง ฯลฯ ก็จะร่วมอกุศลกรรมด้วย เนื่องจากในปัจจุบันข้าวของราคาแพง เช่น รถยนต์ หรือ บ้านเรือน หากไม่ชำระแบบผ่อนผู้มีรายได้น้อยจะต้องรอเป็นเวลานานมากกว่าจะสะสมเงินได้ ตามจำนวนนั้น แล้วจึงชำระเพียงงวดเดียว (รวมถึงถ้าเอาความรู้ทางโลกในแง่ของเศรษฐกิจมาคิด จะทำให้เกิด "เงินไม่หมุนเวียน" คือการที่ประชาชนไม่เอาเงินออกมาใช้สอย) โดยส่วนตัวคิดว่า ถ้าเป็นไปได้ ใช้ขันติ วิริยะ ฯลฯ เก็บเงินให้พอกับสิ่งของที่จำเป็นต้องซื้อเสียจะดีกว่า ขอความเมตตาอาจารย์แนะนำในเรื่องนี้ด้วยครับ

3.ระหว่างการปฏิบัติภาวนาหากมีสิ่งกระทบจากหลายอายตนะพร้อมกัน เช่น เกิดทุกขเวทนาทางกาย ได้ยินเสียงรบกวน เกิดความฟุ้งซ่าน เป็นต้น ควรจัดการกับสิ่งกระทบเหล่านี้อย่างไรครับ ได้อ่านคำถามคำตอบในหนังสือเล่มหนึ่ง อาจารย์ตอบว่า ให้จัดการเป็นเรื่องๆ ไป แต่สงสัยว่าควรจัดการกับสิ่งกระทบใดก่อนหลัง (ฟังธรรมเทศนาของเจ้าคุณโชดก ท่านได้เทศน์ว่า ให้ดูสิ่งกระทบที่รับได้ชัด) คิดว่าคำถามนี้คงเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ปฏิบัติในสถานที่ที่ไม่ค่อยสัปปา ยะครับ

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ที่เมตตาตอบคำถามเหล่านี้ ด้วยกรรมอันใดทั้งทางกาย วาจา ใจ ที่ผมทำไว้ในทุกภพชาติ จะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ดี ต่อหน้าและลับหลังก็ดี ระลึกได้หรือไม่ได้ก็ดี ขอให้อาจารย์อโหสิกรรมในกรรมอันน่าติเตียนเหล่านั้นด้วยครับ


คำตอบ
(๑) ผู้ใดมีสัจจะว่าจะไม่บริโภคเนื้อสัตว์ชนิดนั้นๆ แม้จะตกอยู่ในสภาวะใด เช่นมาบวชเป็นภิกษุ ต้องเว้นบริโภคเนื้อสัตว์ชนิดนั้นๆตามที่ให้สัจจะไว้ ประพฤติได้เช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่าผู้นั้นมีสัจจะ และมิได้เป็นความเสียหายแต่อย่างใด หากจะพูดบอกโยมอุปัฏฐาก หรือแก่ผู้ที่ควรบอกว่า ...
“ ข้าพเจ้าไม่บริโภคเนื้อสัตว์ชนิดนั้นๆ ”

(๒) การชำระสินค้าแบบผ่อนใช้เป็นรายเดือน และปฏิบัติได้ถูกตรงตามกติกาที่ได้ตกลงกันไว้ ไม่ถือว่าเป็นบาป ทั้งยังเป็นการสร้างสัจจบารมีให้เกิดขึ้นอีกด้วย แต่การตัดสินใจซื้อสินค้าเงินผ่อน เป็นเจตนาก่อหนี้ให้เกิดขึ้น พระพุทธะจึงตรัสว่า “ การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก ” ซึ่งมีผลเป็นบาป ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ผู้ถามปัญหามีสติระลึกได้ทันตัณหา อันจะเป็นเหตุให้เกิดการก่อหนี้ได้หรือไม่ หากการสร้างหนี้ยังมีความจำเป็นแก่ชีวิต และต้องทำเพื่อให้เศรษฐกิจในสังคมหมุนเวียน ต้องทำด้วยเงื่อนไขที่ตนเองปฏิบัติได้ โดยให้มีความทุกข์เกิดเท่าที่จำเป็นและตัวเองยอมรับได้

(๓) ด้วยเหตุที่จิตมีการเกิด-ดับเร็ว จนระบบประสาทไม่สามารถตามสัมผัสได้ทัน จึงคิดเอาเองว่า อายตนะภายนอก (รูป เสียง กลิ่น รส ฯลฯ) เข้ากระทบอายตนะภายใน (ตา หู จมูก ลิ้น ฯลฯ) พร้อมกันทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วมิได้เป็นเช่นนั้น หากเป็นดังกรณีที่บอกเล่าไปต้องกำหนดผัสสะใหญ่ หรือผัสสะที่ปรากฏเด่นชัดให้หมดไปให้ได้ก่อน แล้วจึงกำหนดผัสสะรองให้หมดไปเป็นอันดับถัดมา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ความเชื่อเรื่องอานิสงค์การปล่อยสัตว์ของคนไทย เช่นปล่อยเต่าจะอายุยืน ปล่อยปลาหมอทำให้หายจากโรค ปล่อยปลาไหลทำให้การงานลื่นไหล ปล่อยหอยขมทำให้ใจไม่ขมขื่น เหล่านี้มีความเป็นจริงเพียงใดครับ

2 ขอรบกวนอาจารย์แนะนำว่าสัตว์อะไรเราควรปล่อยดีที่สุด และจะได้อานิสงค์บุญที่สูงที่สุดครับ (ในจำนวนตัวที่เท่ากัน) การปล่อยสัตว์ขนาดใหญ่จะได้อานิสงค์บุญมากกว่าการปล่อยสัตว์ขนาดเล็กเสมอไป หรือไม่ครับ

3. การถวายของให้พระพุทธรูป หรือพระภูมิ หรือถวายแด่ดวงวิญญาณอื่นๆ ถ้าเราซื้อกับข้าวที่เป็นถุงมัดด้วยหนังยาง จะถวายทั้งที่ยังมัดปากถุงอยู่ได้หรือไม่ครับ หรือเราต้องแกะห่อใส่ชามแล้วจึงถวายเสมอ (บางทีไม่มีเวลาจัดถาดอาหารถวาย และล้างทำความสะอาดภาชนะครับ)

ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ

คำตอบ
(๑) การปล่อยสัตว์ให้เป็นอิสระ เท่ากับการให้ชีวิตเป็นทานแก่สัตว์ที่ถูกนำไปปล่อย การให้ทานเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ผู้ให้ได้บุญ บุญทำให้สำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกอย่าง เช่น ปรารถนามีอายุยืนยาว ปรารถนาไม่อาพาธ ปรารถนาให้งานลื่นไหล ปรารถนาไม่ให้ระทมขมขื่นใจ ฯลฯ ทั้งนี้มีเงื่อนไขที่ว่า ต้องไม่มีอกุศลกรรมอื่นใดที่ทำไว้ก่อนแล้วมาชิงให้ผลตัดหน้า ความปรารถนาดังกล่าวข้างต้นจึงจะเป็นจริงได้

(๒) ควรปล่อยสัตว์ที่มีคุณต่อมนุษย์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย ฯลฯ หรือสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่าปรกติ (ใหญ่เบ้อเร่อ) เช่น ปลาช่อนตัวใหญ่ ปลาไหลตัวใหญ่ นกตัวใหญ่ ฯลฯ หรือสัตว์ที่มีบริวารมาก

หมายเหตุ : พระโพธิสัตว์ เคยเกิดเป็นลิงใหญ่ (มหากปิราช) มีบริวารมาก เคยเกิดเป็นสุนัขตัวใหญ่ (พญาสุนขราช) มีบริวารมาก เคยเกิดเป็นปลาช่อนตัวใหญ่ (พญามัจฉาปลาช่อน) มีบริวารมาก เคยเกิดเป็นนกแขกเต้า มีบริวารมาก ฯลฯ

(๓) ถวายได้ แต่ควรใส่ภาชนะที่มนุษย์ใช้ใส่อาหารสำหรับบริโภค จะดีกว่าถวายอาหารทั้งที่ถูกบรรจุอยู่ในถุง ซึ่งดูมักง่ายเกินไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีคำถามจะรบกวนอาจารย์ ครับ ผมเป็นคนเดียวกับที่เคยเขียนมาเล่าและถามอาจารย์ เกี่ยวกับประสบการณ์ธรรมกับกลุ่มสหธรรมมิก ที่ผมเคยประสบ สมัยผมยังเป็นคาทอลิก และตอนหลังได้แยกตัวออกมาปฏิบัติเอง และได้เคยไปกราบหลวงปู่สุภาที่ภูเก็ตครับ

๑. ประมาณวันที่ ๒๕-๒๖ มีนาคม นี้ผมจะเดินทางไปเชียงใหม่ และจะนำหนังสือสวดมนต์ และประสบการณ์ธรรมของหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน ที่ผมและเพื่อนๆ พี่น้อง ได้ร่วมกันจัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเป็นแจกธรรมทาน ตั้งใจว่าจะนำหนังสือในส่วนนี้ ไปให้พระสงฆ์ท่านอนุโมทนาเป็นสังฆทานและธรรมทานด้วย จึงจะขอรบกวนอาจารย์สนอง ได้กรุณาแนะนำวัดในเชียงใหม่ ที่ผมสามารถไปดำเนินการได้ครับ และถ้ามีสิ่งใดอาจารย์จะช่วยชี้แนะ ก็จะเป็นพระคุณครับ

๒. อิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ กับ บุญญฤทธิ์ มีความหมายอย่างไร เกิดจากกรรม และภพ ภูมิธรรมอะไรครับ และต่างกันอย่างไรครับ
ผมขอรบกวนอาจารย์ในตอนนี้ เท่านี้นะครับ

ด้วยความเคารพในธรรม

คำตอบ
(๑) แนะนำให้ถวายกับวัดที่มีการปฏิบัติธรรม อาทิ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) วัดอุโมงค์ อ.เมือง
วัดสันป่าสักวรอุไรธรรมาราม อ.หางดง
วัดพระธาตุจอมทอง อ.จอมทอง
สำนักปฏิบัติธรรมตานัง-แลนัง
วัดพันหลัง อ.ดอยสะเก็ด ฯลฯ

(๒) คำว่า “ อิทธิปาฏิหาริย์ ” หมายถึง แสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์ เช่น หายตัว ดำดิน เดินบนผิวน้ำ ลอยในอากาศ ฯลฯ ผู้ที่จะมีฤทธิ์และแสดงความอัศจรรย์เช่นนี้ได้ ต้องเป็นผู้ที่สามารถพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนเข้าถึงความทรงฌาน เมื่อนำจิตออกจากความทรงฌาน อิทธิปาฏิหาริย์ย่อมเกิดได้เป็นอัศจรรย์ ภูมิธรรมที่บุคคลสามารถแสดงฤทธิ์ได้ เรียกว่า โลกิยอภิญญา ซึ่งเกิดขึ้นได้กับปุถุชน หรืออริยบุคคลผู้เข้าฌานได้ คำว่า “ บุญญฤทธิ์ ” หมายถึง สำเร็จด้วยบุญ เช่น ผู้มีบุญปรารถนาสิ่งใดได้สิ่งนั้น เป็นใหญ่ได้เพราะบุญ มีบริวารซื่อสัตย์ก็เพราะบุญ ได้มนุษย์สมบัติ ได้สวรรค์สมบัติ ได้นิพพานสมบัติก็เพราะบุญ เป็นพุทธสาวก พุทธสาวิกาได้ก็เพราะบุญ ฯลฯ
ผู้ที่จะมีบุญญฤทธิ์ได้ ต้องประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ จนกระทั่งพลังของบุญให้ผล ภูมิธรรมที่ให้ผลเป็นเช่นนี้ ต้องสั่งสมบุญไว้มาก และเกิดขึ้นได้กับปุถุชนหรืออริยบุคคลได้เหมือนกัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กราบเรียนอาจารย์สนอง ที่เคารพ ผมมีคำถาม เนื่องด้วยมีผู้รู้ได้สอนผมเรื่องการปฎิบัติธรรมให้ได้มรรคผลนั้น ต้องเริ่มต้นที่การศึกษาเรื่องเจตสิกก่อน ไม่ใช่การนั้งสมาธิ เดินจงกลม หรือการเจริญกสิน และให้ผมสวดเจตสิกให้ได้ จิตจะได้บันทึกไว้ ทำให้ผมเกิดความสงสัยมาก และผมเคยมีโอกาสไปกับคณะท่านอาจารย์ท่านนั้นเพื่อทำบุญ ปรากฎว่าทุกคนในรถท่องคาถาต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่วมาก เช่น บทธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร บทสวดอกุสลา และบทสวดเจตสิก ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้ผมมาก นอกจากนี้ยังห้ามสวดบทสวดอื่นๆ ที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสหรือสวด เช่น ชินบัญชร พาหุงมหากา เป็นต้น และได้สอนผมว่าถ้าปฎิบัติตามหลวงพ่อ และหลวงปู่ จะลงนรกขุม 8 เป็นต้น นอกจากนี้ยังบอกว่าไม่มีพระอริยะ อีกแล้วในปัจจุบัน ซึ่งผมไม่เห็นด้วยครับ แต่รู้สึกประหลาดใจมากๆ จึงอยากกราบเรียนถามอาจารย์ผู้รู้ด้วยครับ โดยเฉพาะเรื่องเจตสิก เช่น ให้อธิษฐานว่า "ขอให้จิตเจตสิกของข้าพเจ้า เข้าสู่กระแสมรรค 4 ผล 4 พระนิพพาน 1 โดยเฉียบพลันในปัจจุบันกาลชาตินี้เทอญ" สามารถอธิฐานได้หรือไม่ครับ เพราะปกติผมจะอธิษฐานว่าให้ปัญญาเห็นถูกตรงตามธรรม และสิ้นอาสวกิเลส ครับ


คำตอบ
คำว่า อธิษฐาน หมายถึงตั้งจิตปรารถนาในสิ่งดีงาม ดังนั้นการอธิษฐานให้มีปัญญาเห็นถูกตามธรรม เป็นการอธิษฐานที่ถูก แต่ต้องทำเหตุให้ถูกตรง คือต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เช่นเดียวกันอธิษฐานให้สิ้นอาสวะ ต้องพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดกาม ภพและอวิชชาให้หมดไปจากใจได้แล้ว อาสวะย่อมหมดได้เมื่อนั้น อนึ่งผู้ใดระลึกได้ในกาลามสูตร แล้วใช้กาลามสูตรกรองคำพูดของตน จนเข้าถึงเหตุผลได้ถูกต้องแล้ว ผู้นั้นจะไม่ถูกหลอกให้เชื่อในสิ่งที่ไม่มีเหตุผลรองรับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูขอรบกวนปรึกษาอาจารย์ค่ะ
หนูรับงานทำรายงานจบให้คนๆหนึ่งค่ะ
หนูก็ให้คำสัญญาเค้าไว้แล้วว่าจะทำ
แต่หนูรู้มาจากหนังสือ ของ อาจารย์เล่มหนึ่ง ว่า ทำรายงานให้คนอื่นไม่ดี

พอมาถึงตอนที่หนูฝึกงาน หนูเคยบอกกับตัวเองตอนเครียดๆว่า " ถ้าได้งานที่นี่จะเลิกทำรายงานให้คนอื่น "

ถึงหนูจะทำหรือไม่ทำรายงานให้เขามันก็ไม่เดือดร้อนหนูเลยค่ะ ทางกายนะค่ะ เพราะหนูทนทำงานหนักได้ ถ้าปฏิเสธไป ก็ไม่เอาเงินที่ขาดไปก็ได้ ไม่เป็นปัญหา
แต่หนูกลัวจะผิดสัจจะ ผิดศีล ลำบากใจ ผิดคำอธิฐาน ทำให้คนอื่นเดือนร้อนเพราะสัญญาไว้แล้ว อีกหลายอย่าง ลำบากใจมากกว่า แต่ถ้าหนูรู้ว่าอย่างไหนดีกว่าหนูจะไม่รีรอที่จะทำค่ะ ทำอย่างไหนผิดอย่างไหนถูกคะอาจารย์

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
ศีลและสัจจะเป็นคุณธรรมที่ทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความดีงามสูงสุดได้ ผู้นั้นต้องศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์จะเป็นเช่นนี้ ต้องรักษาศีลและสัจจะไว้ ความดีงามสูงสุดจึงจะเกิดขึ้นกับตัวเองได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งหนี่งดิฉันได้ทำสมาธิและรู้สึกว่ามีจิตที่นิ่งสนิท เหมือนใบไม้ที่ลมพัดก็ไม่ไหวติง และมีตัวรู้ว่าจิตนิ่งคือเหมือนว่ามี2สิ่งในขณะนั้น ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรต่อนั่งดูจิตที่นิ่งอยู่สักพักก็ออกมาจากสมาธิ หลังจากนั้นก็พบว่าจิตยังนอนนิ่งอยู่ไม่ว่าจะต้องมาใช้ชีวิตประจำวันดูแล หลาน ดุว่าหลานแต่กลับพบว่าจิตไม่ได้โกรธไปตามอาการที่แสดงออก ยังนิ่งอยู่อย่างนั้น อาการอย่างนี้เป็นอยู่2 วันไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะดิฉันมักติดข้อสงสัยในปัญหานี้ ไม่ทราบวิธีปฎิบัติที่ถูกต้อง

กราบเรียนถามท่านอาจารย์ค่ะ โดยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
เมื่อจิตนิ่งดังที่บอกเล่าไปแล้ว ให้ใช้จิตนิ่งตามดูสิ่งกระทบที่เข้าทางหู ตา จมูก ลิ้น ฯลฯ ว่าทุกสิ่งที่เข้ากระทบต้องดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ แล้วจิตจะปล่อยวางสิ่งกระทบที่แท้จริงแล้วไม่มีตัวตน และจิตเข้าสู่ความว่างเป็นอุเบกขา ปัญญาเห็นแจ้งในสิ่งกระทบจึงเกิดขึ้นด้วยวิธีนี้ นี่คือวิปัสสนาญาณที่ผู้ ปรารถนาความพ้นทุกข์นิยมพัฒนากัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เนื่องจากดิฉันมีความเกลียดชังพ่อมาก ไม่ว่าท่านจะทำอะไรก็ขัดหูขัดตาไปหมด รู้สึกทรมาณใจมาก ได้พยายามหาวิธีที่จะทำให้ตนเองไม่เกลียดพ่อ แต่ก็ได้ผลเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยชี้ทางด้วยค่ะ

และอีกเรื่องที่ทรมาณใจมากคือการที่ดิฉันเอาใจไปผูกไว้กับคนที่ไม่ได้มี ใจต่อดิฉันในทำนองเดียวกัน ทั้งๆที่พยายามตัดใจไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะตัดได้อย่างเด็ดขาด ใจมักจะวนเวียนคิดถึงเขาอยู่เสมอ ทั้งๆที่เขาเองก็มิได้ติดต่อหรือตอแยดิฉัน
กรุณาชี้ทางออกของปัญหานี้แก่ดิฉันด้วยค่ะ


คำตอบ
ทั้งสองปัญหาแก้ได้ด้วยครกหินแกรนิตที่ใช้ตำน้ำพริก ด้วยการไปซื้อหาครกหินน้ำหนักประมาณ ๑๐ กิโลกรัมไม่รวมสากมาหนึ่งใบ ครั้งใดที่จิตคิดถึงพ่อในทางไม่ดี และครั้งใดที่คิดถึงเรื่องอื่นที่ไม่ดี ให้ยกครกหินด้วยมือทั้งสองข้าง ไม่เลิกคิด-ไม่เลิกยก ยกแช่ไว้ทุกครั้งที่คิดเช่นนี้ ยกบ่อยๆแล้วจะทำปัญหาให้หมดไปได้..... พิสูจน์ไหม?

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1......ถ้าจิตเป็นพลังงานชนิดหนึ่ง แล้วเราจะพัฒนาจิตได้เหรอคะ เราจะขัดเกลาหรือฝึกมันได้เหรอคะ ในเมื่อมันเป็นเพียงพลังงาน

2......ถ้าสรรพสิ่งเป็นอนัตตา...คือไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตน...สติก็ต้องเป็นอนัตตา.... สติก็ย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไปเช่นกัน เราจะเอาตัวตนที่ไหนมาบังคับให้มันอยู่กับเราตลอดไปล่ะคะ เพราะแม้แต่ตัวเราก็ไม่มี ขอรบกวนอาจารย์ช่วยตอบให้ผู้มีปัญญาน้อยได้กระจ่างด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

คำตอบ
(๑) พัฒนาได้ครับ ฝึกได้ครับ

(๒) ผู้ใดดับรูปดับนามได้แล้ว สติย่อมไม่มีตัวตน แต่พระอรหันต์ที่ยังมีเบญจขันธ์ (สอุปาทิเสสนิพพาน) ยังดับรูปไม่ได้ ยังดับนามไม่ได้ .... ครับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันชอบอ่านหนังสือธรรมะมาก เมื่อเร็วๆนี้ได้อ่านพ็อคเก็ต บุคเล่มหนึ่งเป็นประสบการณ์การปฏิบัติธรรมที่เข้มข้นของแม่ชีคนหนึ่ง (ซึ่งปฎิบัติได้ผลก้าวหน้ามาก-ได้ญาณแล้วด้วย) ดิฉันรู้สึกทึ่งและศรัทธาในความเพียรที่เป็นเลิศของเขามาก จึงหาเบอร์โทร และโทรไปคุยกับเขา จึงได้ทราบว่าตอนนี้เขาสึกออกมาแล้ว มาทำงานและถูกโกงเพราะอ่อนประสบการณ์ทางโลกมาก แต่ใจเขาอยากปฎิบัติธรรม นั่งสมาธิตลอดเวลา ดิฉันรู้สึกสงสารจึงส่งเงินไปช่วยเขา 2 ครั้งแล้ว และเติมเงินมือถือให้เขาอีก 2 ครั้ง (โดยยังไม่เคยพบหน้ากันเลย) ตอนนี้เขาเริ่มตั้งศูนย์ปฎิบัติธรรมเล็กๆค่ะ เพื่อสอนคนนั่งสมาธิ...แต่เพราะการที่ไม่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว จึงเกิดความสงสัย อยากเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1) การที่เราสนับสนุนให้คนอื่นเดินไปบนเส้นทางสายธรรม และเขาก็ปฎิบัติได้ก้าวหน้ามาก การทำอย่างนี้ได้อานิสงส์ผลบุญมากแค่ไหนคะ (บางคนบอกว่าเทียบเท่ากับการเป็นเจ้าภาพบวชพระ -จริงหรือไม่คะ)

2) อดสงสัยไม่ได้ว่า เขาปฎิบัติธรรมอย่างจริงจังมาเกือบ 20 ปี แต่ทำไมยังขัดสนเรื่องเงินทองอยู่ (ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรมไม่ใช่หรือคะ)

3) ในใจตัวเองคิดว่า การที่เรายังไม่มีโอกาสได้ปฎิบัติเช่นนั้น (เพราะยังติดภาระหลายๆอย่าง) แต่ถ้าเราช่วยให้ผู้ที่ตั้งใจปฎิบัติจริงได้เดินทางล่วงหน้าไปก่อน พอถึงตัวเองคงจะเดินทางได้สะดวกขึ้น จริงหรือไม่คะ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่กรุณาค่ะ

คำตอบ

(๑) ปฏิบัติธรรมจนได้ญาณ (ปรีชากำหนดรู้ , ความรู้สูงสุด) แล้วยังถูกหลอก แสดงว่ารู้ความหมายของคำว่าญาณ แต่ยังไม่เข้าถึงปรีชาหยั่งรู้ (ญาณ) นั่นเอง ดังนั้นการสนับสนุนคนให้เดินไปบนเส้นทางธรรมจะได้อานิสงค์ของบุญ เท่าที่ผู้ถูกสนับสนุนพัฒนาคุณธรรมได้

(๒) ปฏิบัติธรรมได้ แต่ยังไม่มีธรรมคุ้มครองใจ ความขัดสนเรื่องเงินทองจึงได้เกิดขึ้น ผู้ตอบปัญหาพูดว่า “ ธรรมะ ของพระพุทธะประกันได้ทุกเรื่อง เว้นไว้แต่ความตายเท่านั้นที่ธรรมะประกันไม่ได้ ”

(๓) ช่วยเหลือคนอื่นในทางที่ดีเป็นบุญ ผู้ใดมีบุญให้ผล ผู้นั้นย่อมสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อตอนประมาณ 2 ปีที่แล้ว หนูมีปัญหากลิ่นตัวแรงเป็นอย่างยิ่ง คือ เมื่อเลิกงานแล้ว พอขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน คนที่นั่งข้างๆ หนูมักจะมีท่าทีที่ค่อนข้างรังเกียจหนู (แต่ไม่มาก) บางครั้งก็ไม่มีใครมานั่งใกล้ๆ หนูเลยค่ะ

เพื่อนๆที่หวังดีก็แนะนำให้หนูใช้โคโลญหรือสเปรย์ เพื่อระงับกลิ่นกายค่ะ หลังจากนั้นอาการก็ดีขึ้นค่ะ แต่ต่อมาไม่นาน หนูกลับมีปัญหาเรื่องกลิ่นปากแรงค่ะ แรงชนิดที่ว่าลูกค้าที่มาติดต่อด้วยต้องปิดจมูกคุยค่ะ (หนูทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์ค่ะ) ลูกค้าบางรายพอคุยกับหนูถึงกับต้องเปิดกระเป๋าเอาลูกอมมาอมค่ะ บางที มีคนเดินมาถามทางไปห้องน้ำหรือร้านค้าต่างๆ เขาถึงกับต้องเอามือปิดจมูกคุยกับหนูค่ะ และที่ช้ำใจมากๆ ก็คือเวลาที่หนูต้องคุยกับคนที่หนูแอบชอบ เขาก็มีปฏิกิริยานี้ค่ะ และที่เสียใจทุกข์ใจมากที่สุด ก็คือเรื่องกลิ่นปากนี้มีผลกระทบต่อการทำงานของหนู หนูแทบไม่กล้าคุยกับเจ้านายหรือลูกค้าค่ะ (หนูกลัวว่าเพื่อนจะหาว่าหนูอู้งาน ไม่อยากคุยกับลูกค้าค่ะ แต่จริงๆ แล้ว หนูไม่มั่นใจในกลิ่นปากของตัวเองค่ะ) นอกจากนี้หนูยังมักจะลาออกจากบริษัทที่ดีๆ เหตุเพราะคำบางคำ ทำให้หนู (ในตอนนั้น) ไม่สามารถให้อภัยได้ (แต่ตอนนี้ไม่โกรธแล้วค่ะ) พอหายโกรธ ก็กลับมานั่งคิดว่า ทำไมเราจะต้องเก็บเอามาคิดเป็นฟืนเป็นไฟ (ตอนนั้นโกรธจนรู้สึกได้ว่าอดรีนาลีนจากสมองตรงกลางค่อนไปซ้ายหลั่งทุกครั้ง ที่มีคำพูดที่ขัดใจ หรือเสียดแทงใจ) (ตอนนั้นก็รู้ตัวว่าโกรธ แต่ไม่สามารถเอาชนะใจได้ รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม ที่เขามาว่าเราอย่างโน้นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่คนอื่นก็มีจุดบกพร่องเช่นกัน ทำไมเขาไม่ว่า หรือเตือนคนอื่นบ้าง) แต่ตอนนี้กลับมองว่าทำไมเราเอาเรื่องเล็กๆ มาเป็นอารมณ์ สะสมได้ขนาดนั้น พอทนไม่ไหว ก็ลาออกเลย อาจารย์คะ

หนูอยากจะขอเรียนรบกวนถามท่านอาจารย์ค่ะว่าหนูได้ทำ กรรมอะไรไว้คะ หนูถึงได้ปากเหม็น ตัวเหม็น และมักจะลาออกจากงาน ทั้งๆที่ก็รักงานนั้นมากๆค่ะ บางที ถ้าได้งานก็มักจะเป็นงานที่มีลูกค้ามาต่อว่า (ต่อว่าบริษัท หรือผลิตภัณฑ์ หรือบริการหลังการขายของบริษัท) และหนูต้องทำอย่างไรจึงจะหายจากกรรมนี้คะ (หนูไปหาหมอฟันขูดหินปูน อุดฟัน รักษากระเพราะอักเสบ สุขภาพทุกอย่างดีแล้ว และพยายามไม่กินอาหารที่มีกลิ่นเหม็นแล้วก็ไม่หายค่ะ) อาจารย์คะช่วยหนูด้วยนะคะ หนูทุกข์มากๆค่ะ ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
ปากเหม็น แล้วไม่สามารถบำบัดรักษาด้วยภูมิปัญญาทางการแพทย์ได้ ถือว่าเป็นโรคที่มีเหตุมาจากกรรม ด้วยการพูดหยาบคายต่อผู้ทรงคุณธรรม เมื่อใดที่กรรมให้ผล ผู้ประพฤติอกุศลวจีกรรม จึงต้องได้รับผลกรรมด้วยมีปากเหม็น ดังมีตัวอย่างเกิดขึ้นในครั้งพระพุทธกัสสปะ กปิลภิกษุชอบด่าพระสงฆ์ผู้ทรงคุณธรรม ตายแล้วไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในนรก พ้นจากนรกจึงได้ไปเกิดเป็นปลาที่มีกลิ่นเหม็น

ส่วนเรื่องมีกลิ่นเหม็น เหตุเป็นเพราะประพฤติทุศีล หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะพ้นอกุศลวิบากดังกล่าว ต้องรู้วิธีบริหารหนี้เวรกรรม แล้วประพฤติให้ได้ตามนั้น (ดูสนทนาภาษาธรรม เล่ม ๑๑ ข้อ ๗๘ ) และต้องประพฤติตนให้มีศีล ๕ หรือศีล ๘ คุมใจอยู่เสมอ ส่วนเรื่องการลาออกจากงาน เหตุเป็นเพราะใช้ปัญญาเห็นผิดแก้ปัญหา ผู้รู้ไม่เคยชี้แนะผู้ใดให้หนีปัญหา แต่ชี้นำให้บุคคลอยู่กับปัญหา แล้วใช้ปัญญาเห็นถูกมาจัดการกับปัญหา จนมีจิตเป็นอิสระจากปัญหา แล้วการลาออกจากงานก็จะไม่เกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่ตอนนี้ หนูมีปัญหาที่ร้อนใจเป็นอันมาก และไม่มีความเข้าใจเลยค่ะ
คือว่า หนูไปปฎิบัติธรรมที่วัดสวนโมกข์มาค่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง รู้สึกดีมากๆค่ะ แต่ช่วงวันท้ายๆของการนั่งสมาธิเกิดอาการวูบๆขึ้น หลังจากนั้นตอนกลางคืนก็ตาสว่างทั้งคืนนอนไม่หลับเลยค่ะ
พออีกวันหลังจากนั้น ขณะที่นั้งสมาธิ จะเกิดอาการดังนี้คือ หน้าบิดเบี้ยว ฟันบิด หลังจากนั้นพอนั่งไป จะเกิดอาการเอนซ้ายขวา สลับ หน้าหลัง แล้วเกิดอาการว่างๆ แล้วก็เกิดอาการอย่างนั้นซ้ำๆกันค่ะหลังจากวันนั้น จนถึงวันนี้ หนูไม่สามารถนอนหลับได้เลย เป็นเวลาสามวันเต็มๆค่ะ และถึงแม้ว่าไม่ได้นั่งสมาธิแล้วก็ตามก็ยังเกิดอาการอย่างนั้นตลอดเวลาเลย ค่ะ
และมีอาการมึนๆแน่นๆ ที่หน้าผากตลอดเวลาเลยค่ะ เหมือนมีพลังงานอ่ะไรซักอย่างค่ะ

หนูเครียดมาก เพราะหนูมีความตั้งใจดีในการศึกษาธรรมะเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาชีวิต แต่เกิดอาการอย่างนี้หนูไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้เลยค่ะ และไม่สามารถปรึกษาใครได้เลย เพราะไม่อยากให้พ่อกับแม่ท่านไม่สบายใจค่ะ เพราะท่านเป็นห่วงหนูมาก ทำให้หนูเหมือนอยู่ตัวคนเดียวเลยค่ะ

จะขอบพระคุณอาจารย์มากๆเลยค่ะ ถ้าจะช่วยแนะนำว่าควรจะทำตัวอย่างไรดีเพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ เหมือนเดิม เพื่อให้อาการเหล่านั้นหายไป และอาการต่างๆเหล่านั้นเกิดจากอะไร และหนูควรนั่งสมาธิต่อหรือไม่

ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ


คำตอบ
ผู้ใดปฏิบัติธรรมถูกตรงตามธรรม อารมณ์ติดลบย่อมไม่เกิดขึ้นกับใจ ปัญหาตาสว่างแล้วทำให้นอนไม่หลับ วิธีแก้คือเติมกิเลสให้กับใจ เช่นไปท่องเที่ยว ไปดูหนังฟังเพลง ไปออกกำลังกายเล่นกีฬา ฯลฯ ปฏิบัติธรรมแล้วเกิดอาการวูบขึ้น ต้องกำหนดว่า “ วูบหนอ ๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการวูบหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม

ปฏิบัติธรรมแล้วเกิดอาการเอนซ้ายเอนขวา ต้องกำหนดว่า “ เอนหนอ ๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการตัวเอนหายไป ฯ

ปฏิบัติธรรมแล้วเกิดอาการหน้าบิดเบี้ยว ต้องกำหนดว่า “ บิดเบี้ยวหนอ ๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าอาการบิดเบี้ยวหายไป ฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันได้รับทราบมาว่า เวลาเปิดเทปธรรมะ ก็ดี หรือเทป บทสวดพาหุง หรือ ยอดพระกัณฑ์ฯ ก็ดี เทพเทวดาจะมาฟัง แต่พวกสัมภเวสี หรือ วิญญาณทีล่องลอย จะปวดร้าวและทุรนทุราย เมื่อได้ยิน

1. จริงหรือไม่คะ ข้างต้น

2.หากจริง เราจะทำอย่างไร ถ้าต้องการเปิดเราฟังด้วย เทวดาฟังด้วย และไม่ไปทำร้ายพวกสัมภเวสีและวิญญาณเหล่านั้น

3.มีผู้รู้บอกว่า ที่บ้านมีเจ้าที่เจ้าทาง และวิญญาณที่ตายในบริเวณบ้านมาช้านานแต่อดีตชาติยาวนาน เมื่อตายก็จะอยู่ตรงนั้น แต่ก็ต่างคนต่างอยู่ คนละมิติกัน เมื่อเราไปเปิดเทปพาหุง หรือ ยอดพระกัณฑ์ หรือเทปเทศนาธรรม พวกเหล่านี้ก็ทุรุนทุราย ก็จะถือโกรธเรา เขาก็แกล้งทำให้ที่บ้านอยู่ไม่เป็นสุข เห็นหน้าพี่น้องกันเองก็หัวเสียหงุดหงิดกันง่ายๆ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เทพเทวดาไม่ช่วยเราหรอก หรือคะเรื่องที่วิญญาณโกรธทำกับเรา

4.ได้ยินว่า หากเราสวดบทพาหุง หรือยอดพระกัณฑ์ จะ กันภูตผีปีศาจ เวลาเราจะอุทิศบุญกุศลให้เขา เขาก็เข้ามารับไม่ได้ จริงหรือคะ แล้วทำอย่างไรดีเพื่อเราจะอุทิศให้เขาได้ เหมือนเคยฟังอาจารย์ว่า เพียงเขาอนุโมทนาด้วยก็ได้แล้ว ที่นี้จำเป็นต้องเข้ามาใกล้จึงจะมารับได้หรือคะ

5. ที่บ้านบูชาพระพุทธ มีหิ้งพระ แล้ววิญญาณต่างๆเหล่านี้จะอยู่ในบ้านได้หรือคะ แถมยังมียัณฑ์แปดเซียน และอะไรต่ออะไร ซึ่งผู้รู้บอกว่านี่แหละมีส่วนทำให้เขาทุรนทุราย ควรเอาไปเก็บไว้ที่หิ้งพระ? ดิฉันควรทำอย่างไร เพราะอยากมีไว้ให้อุ่นใจ ไม่อยากให้พวกเหล่านี้มาหลอกหลอน หรือ แสดงตัวให้เห็น เข้าใจคะว่าหากเราปฏิบัติดี ทำดี มีศีล แต่ก็ไม่ได้เต็มร้อยตลอดเวลา ก็กลัวเขาจะมาให้เห็นคะ ขอบพระคุณอาจารย์ ที่ให้ความกระจ่าง

คำตอบ
(๑) จริงหรือไม่ ต้องถามใจตัวเอง เมื่อได้ยินได้ฟังสิ่งที่ชอบใจ และสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบใจ แล้วรู้สึกอย่างไร นั่นแหละเป็นคำตอบ
(๒) ก่อนเปิดเทป ควรกล่าวเชิญอมนุษย์ที่ประสงค์จะฟังธรรมะเข้ามาฟังได้ ส่วนอมนุษย์ที่ฟังแล้วทุกข์ใจ ขออภัยและหลีกให้ห่างไกล

(๓) ผู้ใดประสงค์ให้มีเทวดาช่วย ต้องพัฒนาจิตตัวเองให้มีศีลและมีธรรมคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น แล้วผู้นั้นย่อมมีเทวดาคุ้มรักษาและช่วยเหลือ

(๔) ขณะสวดมนต์ ผู้สวดไม่สามารถอุทิศบุญให้ผู้อื่นได้ เมื่อหยุดสวดมนต์ จึงจะมีโอกาสเปิดให้อุทิศบุญได้ การอนุโมทนาบุญแม้จะอยู่ห่างไกลแค่ไหน หากยังมีจิตสื่อถึงกันได้ ก็สามารถอนุโมทนาบุญได้

(๕) เมื่อมีผู้มาบอกกล่าวเช่นนั้น ถือว่าเป็นความเห็นถูกของผู้บอกกล่าว แต่จะเห็นถูกตามธรรมหรือไม่ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผู้ใดกลัวสิ่งที่ถูกเห็น แสดงว่าผู้นั้นมีความไม่รู้จริงในสิ่งที่ถูกเห็น ประสงค์แก้ปัญหาเรื่องความกลัว ต้องพัฒนาจิตให้เข้าถึงความจริงในสิ่งที่กลัว แล้วความกลัวในสิ่งนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเคารพท่านเป็นอย่างมากเนื่องจากดิฉันเชื่อในคำตอบของ ท่านค่ะว่าถูกต้องตามธรรมอย่างแน่นอน ฉันเคยเขียนคำถามถึงท่านครั้งหนึ่งและได้เข้ามาอ่านคำตอบปัญหาจากท่านในเว็บ อยู่เรื่อย ๆ ค่ะ วันนี้ดิฉันขออนุญาตกราบเรียนถามท่านอีกดังนี้ค่ะ

1. ดิฉันได้อ่านพบหลายครั้งที่ท่านสอนให้อย่าหนีปัญหาในเรื่องการทำงาน โดยที่ไม่ลาออกแต่ให้พัฒนาปัญญาของตนมาจัดการกับปัญหา ดิฉันสงสัยว่ามีปัญหาในที่ทำงานอื่นใดหรือไม่ที่เราสมควรลาออกค่ะ หรือหากมีปัญหาเราไม่ควรลาออกในทุกกรณีค่ะ

2. ดิฉันเป็นผู้ไม่ค่อยสนใจในสิ่งต่างๆ ที่คนทั่วไปให้ความสนใจตั้งแต่เด็กๆ แล้ว (ดิฉันเคยมีปัญหามาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ ที่ทำให้ดิฉันรู้สึกด้อยกว่าคนอื่นเสมอค่ะ ทำให้สมองดูเหมือนชอบตัดเรื่องราวของคนอื่น ซึ่งมักทำให้ดิฉันรู้สึกแย่ออกไป) ทำให้ดิฉันไม่ค่อยสนใจเรื่องราวทางโลก หรือหากรู้ก็ไม่ค่อยให้ความสนใจมากค่ะ หลายครั้งก็คิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ และพวกเขาใช้เวลามากเกินไปในการคุย แต่มักกลายเป็นว่าดิฉันมีเวลามากกว่าคนอื่นที่คุยกัน แต่ดิฉันก็ไม่สามารถทำงานได้ดีเท่ากับคนอื่น ดิฉันมีความตั้งใจทำงานมาก พยายามคิดเป็นตรรกะเสมอ แต่สมองช้า เรียนรู้ช้ากว่าคนอื่น ทำงานละเอียดแต่ไม่รอบคอบค่ะ คนอื่นก็มองว่าดิฉันโง่ ไม่รู้เรื่อง ไม่เอาเรื่องเอาราวกับใคร ไม่สามารถคุยลงลึกทำความสนิทกับใคร เป็นวัฒนธรรมองค์กรของแผนกดิฉันในถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและกันผ่านการพูดคุย เล่น เมื่อดิฉันไม่ค่อยคุยลงลึกก็ทำให้มีข้อมูลไม่เท่าคนอื่นในการทำงาน ตอนนี้เพื่อนวัยเดียวกับดิฉันก็ก้าวหน้ากว่าดิฉันมากแล้ว เด็กรุ่นน้องดิฉันเกือบสิบปีก็มาอยู่ตำแหน่งเดียวกับดิฉันแล้ว ดิฉันควรพัฒนาตัวเองทางโลกและเพิ่มความสนิทสนมกลมกลืนกับพวกเขา (ซึ่งหลายอย่างนั้นอาจต้องขัดกับทางธรรมเพื่อให้สนิทกับเขาได้) เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับเขาได้ดีขึ้นหรือไม่คะ หรือดิฉันควรจะทำตัวอย่างไรดีคะ หากดิฉันต้องการพัฒนาเรื่องหน้าที่การงานให้ก้าวหน้าเหมาะสมกับวัย และพัฒนาทางธรรมเป็นหลักค่ะ

3. ดิฉันอายุ 38 ปีแล้ว แต่มีบุคคลิกไม่น่าเชื่อถือ ไม่ค่อยมั่นใจตัวเอง ไม่กล้าว่ากล่าวหรือตำหนิผู้อื่นในเรื่องที่ควรทำ เพราะดิฉันไม่ทราบว่าจะแสดงออกอย่างไร เนื่องจากทุกครั้งที่เคยแสดงออกไปแล้วกลายเป็นว่าดิฉันทำเกินไป ทำให้ดิฉันกลัวการตำหนิผู้อื่น จนกลายเป็นยอมตามผู้อื่นตลอด นอกจากนี้ ดิฉันควบคุมการแสดงออกทางอารมณ์สีหน้าไม่่ค่อยได้ มีใบหน้าที่ล่อกแล่ก เหมือนกับคนไม่จริงใจ ดิฉันควรพัฒนาตัวเองอย่างไรคะ


4. หากมีคนที่สนิทพอสมควรทำเรื่องไม่ถูกต้อง แต่คนรอบข้างมีความเห็นผิดคือเข้าข้างเขา ดิฉันควรตักเตือนเขาไหมคะ แต่ตัวดิฉันเองก็เป็นผู้ที่ไม่ค่อยมีปัญญาในการตักเตือนผู้อื่น เท่าที่สังเกตดู คนอื่นไม่ค่อยเชื่อถือในสิ่งที่ดิฉันเตือนและมองดิฉันในแบบที่ดิฉันก็ไม่ เข้าใจ ดิฉันควรจะทำอย่างไรคะ ปล่อยเลยตามเลย หรือบอกกล่าวเขาเท่าที่เราจะสามารถทำได้ ถ้าไม่ได้ผลก็ไม่เป็นไร ที่สำคัญคือเราได้บอกเขาในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

กราบขอบพระคุณที่ท่านกรุณาค่ะ ขอให้ท่านอาจารย์และครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ อุปัทวเหตุต่างๆ ค่ะ

คำตอบ

(๑) หากยังมีความจำเป็นต้องหาทรัพย์มาไว้เลี้ยงตัวเลี้ยงครอบครัว หากที่ทำงานไม่จ่ายเงินหรือทำงานได้เงินน้อย ต้องลาออกไปหางานใหม่ที่ได้เงินดีกว่าทำ ตรงกันข้ามหากตนเองมีทรัพย์มากพอที่จะเลี้ยงตัว เลี้ยงครอบครัวได้ ไม่ควรลาออกจากงาน เพราะการทำงานเป็นการเพิ่มประสบการณ์ให้ชีวิตได้เรียนรู้คน ได้เรียนรู้วิธีทำงาน (๒) ผู้ใดยังคิดนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ผู้นั้นยังมีความเห็นแก่ตัว (อัตตา) ยังมีจิตไม่สงบระงับ คนโง่ชอบคิดเช่นนี้ (ขออภัยพูดตรงตามธรรม) ความคิดเป็นเรื่องของจิต สมองเป็นเพียงเครื่องมือให้จิตช่วยคิด หากประสงค์จะพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้คิดไว ต้องพัฒนาสองเรื่อง
เรื่องแรก ต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังสติกล้าแข็ง แล้วจะทำให้อารมณ์ปรุงแต่งของจิตลดลง ส่งผลให้คลื่นความถี่ของสมองมีความเป็นระเบียบ ทำงานได้รวดเร็ว
เรื่องที่สอง ต้องพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดกิเลสที่มีอยู่ในใจให้ลดน้อยลงหรือหมดไปเมื่อใด ความคิดฉับไวย่อมเกิดขึ้น การพัฒนาหาความรู้ในทางโลกยังต้องทำ หากยังมีงานของสังคมให้ทำ ฟัง อ่าน คิด อยู่เสมอ จนเป็นพหุสูต แล้วจึงจะสามารถทำงานแข่งขันกับผู้อื่นได้ (๓) ต้องทำอย่างน้อยสามเรื่องคือ - พัฒนาตัวเองให้เป็นคนเก่ง (ดูข้อ (๒) ย่อหน้าสุดท้าย) - พัฒนาเองให้เป็นคนดี (มีคุณธรรม) ด้วยการประพฤติจริยธรรมที่เกี่ยวข้อง - พัฒนาตัวเองให้มีศีลคุมใจ และบำเพ็ญทาน (สังฆทาน) อยู่เสมอ ผู้ใดประพฤติคุณธรรมได้ครบทั้งสามอย่างนี้แล้ว ปัญหาดังกล่าวย่อมหมดไป (๔) หากตัวเองมีตำแหน่งและหน้าที่เปิดให้ทำเช่นนั้นได้ ต้องว่ากล่าวตักเตือน ด้วยจิตเมตตา เว้นอคติ และรู้กันเฉพาะสองคน ตรงกันข้ามหากไม่ใช่หน้าที่ต้องปล่อยวาง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กราบขอเรียกว่าอาจารย์นะคะ พักนี้ตัวดิฉันเองสับสนกับการปฏบัติธรรมมากไม่รู้จะไปทางไหนดี ช่วงนี้มันมีทางปฏิบัติหลายสายเหลือเกิน ชักเริ่มงงงวยแล้วค่ะ
ตัวดิฉันเองต้องการปฏิบัตธรรม ซึ่งก็ไม่รูจะไปที่ไหนดี ที่จะได้เจออาจารย์กรรมฐานที่ท่านเชี่ยวชาญ และเข้าใจจริตของลูกศิษย์ เมื่อศิษย์เกิดปัญหา อย่างเช่นที่อาจารย์ดร.สนองได้เจอพระวิปัสสนาที่ท่านเก่งซึ่งตัวดิฉันเองก็ ยังเกิดไม่ทัน ช่วงนี้รู้สึกท้อมากพยายามตามหาแต่หลายท่านก็มรณภาพไปแล้ว เหลือเพียงลูกศิษย์ ซึ่งตัวดิฉันเองก็เลยเกิดความไม่มั่นใจ

ขอบุญบารมีและความเมตตาของดร.สนอง ที่มีเมตตาเผยแพร่ธรรม ต่อผู้ที่ยังไม่พบแสงสว่างในการปฏิบัติธรรมของดิฉันด้วยเถิด ดิฉันจะไม่ลืมพระคุณเลยค่ะ

คำตอบ
จะปฏิบัติธรรมสายใดก็ได้ แต่ผลที่เกิดขึ้นต้องถูกตรงคือ ปฏิบัติสมถภาวนาแล้ว จิตต้องเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ปฏิบัติวิปัสสนาแล้ว จิตต้องเกิดปัญญาเห็นแจ้ง คือเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงว่า “ สรรพสิ่งเกิดขึ้น ย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิด เมื่อเหตุดับ สรรพสิ่งย่อมดับไปด้วย ” ศาสดาตรัสดั่งนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 66, 67, 68, 69, 70, 71, 72 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร