ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

สรุปวิปัสสนูกิเลส
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=65929
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 28 ก.ค. 2025, 14:27 ]
หัวข้อกระทู้:  สรุปวิปัสสนูกิเลส

๑๐. นิกันติ (ความติดใจ)
คำว่า นิกันติ ได้แก่ วิปัสสนานิกันติ (ความติดใจในวิปัสสนา) ก็นิกันติอย่างสุช่างสุม
มีอาการสงบ ทำความใยดีในวิปัสสนาอันประดับประดาไปด้วยวิปัสสนูปกิเลส มีโอภาส
เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจแม้แต่จะกำหนดจับได้ว่ามันเป็นกิเลส ย่อมเกิดขึ้นแก่โยคีนั้น
ด้วยประการฉะนี้. (อธิบายข้อ ๑๐)
สรุปตอนท้ายแห่งวิปัสสนูปกิเลส

ก็เมื่อโอภาสเกิดขึ้นฉันใด ในบบรรดาวิปัสสนูปกิเลสที่เหลือมีญาณเป็นต้นตามที่ได้
แสดงแล้วเหล่านี้ เมื่อวิปัสสนูปกิเลสอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ก็เหมือนฉันนั้น โยคาวจร
"ก่อนแต่นี้ ญาณเห็นปานนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นแก่เราเลยหนา, ปีติ, ปัสสัทธิ,
อธิโมกข์, ปัคคหะ, อุปัฏฐานะ, อุเบกขา, นิกันติเห็นปานนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นแก่เราเลยหนา
เราคงเป็นผู้บรรลุมรรค เป็นผู้บรรลุผลแล้วแน่นอน" ดังนี้แล้ว ย่อมถือเอาสิ่งที่มิใช่มรรค
เลยว่า "เป็นมรรค" สิ่งที่มิใช่ผลเลยว่า "เป็นผล" เมื่อโยคาวรนั้นถือเอาสิ่งที่มิใช่มรรค
เลยว่า "เป็นมรรค" สิ่งที่มิใช่ผลเลยว่า "เป็นผล" วิปัสสนาวิถีย่อมเป็นอันชะงักไป
โยคาวจรนั้นละมูลกัมมัฏฐานของตน นั่งชมอยู่แต่นิกันติอย่างเดียว.
(eto๔) (๒๙๐) บทว่าว่า ตสฺส โยค อุทยพฺพยญาณํ มตฺถกํ ปาเปนฺตสฺส โยคิโน
แปลว่า แก่โยคีนั้นผู้ยังอุทยัพพยญาณให้ถึงจุดสุดยอด. ในที่นี้ พึงทราบการพินิจและการ

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 28 ก.ค. 2025, 16:00 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สรุปวิปัสสนูกิเลส

พิจารณา คือการพิจารณาเห็นควานเกิดขึ้นและความเสื่อมไป โดยนัยเป็นต้นว่า รูปที่เกิดขึ้น
อย่างนี้บ้าง รูปเสื่อมไปอย่างนี้บ้าง วชิราวุธที่จอมเทพซัดไปเป็นของไม่เปล่าประโยชน์ และ
อะไรขัดขวางไม่ได้ ฉันใด ญาณแม้นี้ก็ละเอียด ในการเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป
ฉันนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า ดังวชิราวุธของพระอินทร์ที่ปล่อยออกไป
แล้ว ฉะนั้น เป็นต้น. ในคำว่า คม คือ ไม่ที่อ. คำว่า กล้า คือ มีเดช. คำว่า เฉียบแหลม
ยิ่ง คือ ญาณอันชัดแจ้งยิ่งกันที่จะปรียบได้ ด้วยความเป็นญาณที่พ้นแล้วย่อมเกิดขึ้น
จริงอย่างนั้น โยคีย่อมสำคัญว่า เราเป็นผู้บรรลุมรรรรคแล้วด้วยญาณนี้

คำว่า วิปัสสนาปิติ ได้แก่ ปิติอันสัมปยุตด้วยวิปัสสนาจิต. ปิติทั้งหลายมีขุททกาปิติ
เป็นตัน ข้าพเจ้าได้พรรณาไว้แล้วในหนหลังนั้นเอง เพราะเมื่ออุทยัพพยานุปัสสนาดำเนิน
ไปสู่วิถีแล้ว ย่อมเกิดปีติ ๕ ประการ โดยลำดับ. ฉะนั้น ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า ปิติ ๕
อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมเกิด ดังนี้. ส่วนผรณาปิติอย่างเดียวย่อมมีพร้อมกับอุทยัพพยญาณที่
ถึงจุดสุดยอด. ก็ผรณาปิติย่อมมิได้เหมือนกัน แม้ในกาลอื่นจากขณะอุปจารและอัปปนา
ด้วยเหตุนั้น ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า ย่อมเกิดเต็มทั่วสรีระ

ยุคฬธรรมทั้ง ๖ มีปัสสัทธิเป็นต้น ไม่พรากกันและกัน เพราะเหตุนั้น เมื่อปัสสัทธิ
เกิดขึ้น แม้ธรรมนอกนี้ก็เกิดขึ้นด้วยเหมือนกัน เพราะเหตุนั้น ท่านอาจารย์เมื่อจะแสดง
ธรรมชาติทั้งหมดนั้นโดยหัวข้อ คือการแสดงกิจ จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ความกระวนกระ-
วายแห่งกายและจิตก็ย่อมไม่มีเลย ฯ ความหนักแห่งกายและจิตก็ไม่มี ฯ. ในคำนั้นด้วย
ศัพท์ว่า กาย พึงทราบกายถือเอาเเม้รูปกาย ไม่ใช่ถือเอาทันธ์ ๓ มีเวทนาเป็นต้นนั่นเทียว
เพราะว่าธรรมทั้งหลายมีกายปัสสัทธิเป็นต้น ย่ำยีความกระวนกระวายเป็นต้น แม้แห่ง
รูปกาย กายและจิต ชื่อว่า ย่อมระงับ เบา อ่อน ควรแก่การ แจ่มใส ตรงอย่างเดียว
เพราะวัปัสสนาจิตตุปบาทเป็นในเวลานั้น ด้วยอำนาจทำลายเสียซึ่งสังกิเลสิกธรรม มี
อุทธัจจะเป็นต้น มีถีนมิทธะเป็นต้น มีนิวรณ์ที่เหลือเป็นต้น มีอสัทธิยะเป็นต้น มีมายาและ
สาไถยเป็นตัน ชื่อเป็นเหตุแห่งความที่กายและจิตเหล่านั้น เป็นธรรมชาติไม่ระงับเป็นต้น
คำว่า ในสมัยนั้น คือในสมัยที่อุทยัพพยญาณเกิดขึ้นนั้น ความยินดีนี้ของมนุษย์ทั้งหลาย
เหตุนั้น จึงชื่อว่า มานุสี ได้แก่ ควานยินดีในความสุขอันควรมนุษย์, แม้ความยินดีอัน
เป็นทิพย์ก็สงเคราะห์เข้าด้วย เพราะไม่เป็นไปล่วงภาวะที่มนุษย์ผู้วิเศษทั้งหลายเช่นนั้นจะ
พึงเสวย. อีกอย่างหนึ่ง แม้ความยินดีอันเป็นทิพย์ก็สงเคราะห์เข้าด้วย เพราะเป็นเหมือน

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 29 ก.ค. 2025, 03:08 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สรุปวิปัสสนูกิเลส

กับความยินดีของมนุษย์, ความยินดีไม่ใช่ของมนุษย์ เพราะก้าวล่วงความยินดีของมนุษย์
นั้น เหตุนั้น จึงชื่อว่า อมานุสี แปลว่า ไม่ใช่ของมนุษย์.
คำว่า สู่สุญญาคาร ได้แก่ สู่เสนาสนะอันสงัดแห่งใดแห่งหนึ่ง หรือสู่วิปัสสนานั้น
เอง. ก็วิปัสสนาแม้นั้นย่อมได้ภาวะที่จะพึงพูดได้ว่า สุญญาคาร เพราะเป็นคุณชาติว่างจาก
ความเป็นของเที่ยงเป็นต้น และเพราะควานเป็นที่อาศัยอย่างเป็นสุขของโยคี. ชื่อว่า ผู้มี
จิตสงบ เพราะความปราศจากกิเลสอันกระทำความไม่เข้าไปสงบแห่งจิต. ชื่อว่า แก่ภิกษุ
เพราะการเห็นภัยในสงสาร. ชื่อว่า เห็นแจ้งอยู่ คือ ด้วยอำนาจกพิจารณาเห็นความ
เกิดขึ้นและความเสื่อมไปเป็นต้น แห่งรูปธรรมและอรูปธรรม โดยชอบ คือ โดยถูกต้อง
ชื่อว่า ไม่ใช่ของมนุษย์ คือ ไม่ใช่วิสัยของมนุษย์ทั้งหลายที่ยังไม่ได้เริ่มวิปัสสนาพิจารณาอยู่.
ความยินดี ที่รู้กันว่าปิติและสุขในวิปัสสนา ย่อมมีเนื้อความดังกล่าวมานี้ เป็นความย่อแห่ง
คาถาในอธิการนี้ ส่วนคาถาที่ ๒ ท่านอาจารย์กล่าวหมายเอาอุทยัพพญาณอย่างเดียว
ในคาถาที่ ๒ นั้น สองบทว่า ยโต รูปโต รูปโต วา อรูปโต แปลว่า ทางร฿ปขันธ์หรือทาง
อรูปขันธ์ใด ๆ.
(๒๗๑) คำว่า วิปัสสนาสุข ได้แก่ สุขทางใจอันสัมปยุตด้วยวิปัสสนาจิต เพราะ
กายทั้งหมดย่อมเป็นสภาพอันรูปทั้งหลายอันประณีตยิ่ง ซึ่งตั้งขึ้นแต่สุขทางใจนั้น สัมผัส
โดยรอบและเพิ่มพูนโดยรอบแล้ว. ฉะนั้น ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า ที่แผ่ไปทั่วร่างกาย

คำว่า อธิโมกข์ ได้แก่ ศรัทธา อธิบายว่า ไม่ใช่อธิโมกข์ที่เป็นเยวาปนกเจตสิก. ก็
ในที่นี้ ศรัทธานั้นเป็นไปด้วยอำนาจการเชื่อกรรมและผลแห่งกรรม หรือด้วยอำนาจการ
เชื่อพระรัตนตรัยหามิได้ โดยที่แท้ เป็นเหตุผ่องใสเกินเปรียบแก่สัมปยุตธรรมทั้งหลาย
ด้วยปราศจากความขุ่นมัวคือกิเลส. ด้วยเหตุนั้น ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า ศรัทธาที่สัมปยุต
กับวิปัสสนา ฯลฯ ย่อมเกิดขึ้น ดังนี้.
วิริยะที่เป็นไปสม่ำเสมอพร้อมแล้ว ด้วยกำลังภาวนาที่เกิดขึ้นก่อน ชื่อว่า ปัคคหะ
เพราะประคองจากโกสัขชะซึ่งเป็นฝักผ่ายแห่งสังกิเลส. ด้วยเหตุนั้น ท่านอาจารย์จึงกล่าว
ว่า คำว่า ปัคคหะ ได้แก่ วิริยะ เป็นต้น.
คำว่า เข้าไปตั้งอยู่อย่างดี คือ ที่เข้าไปตั้งอยู่ด้วยดีในอารมณ์โดยการกำหนดสภาวะ
คำว่า ตั้งขอยู่อย่างมั่นคง คือ ตั้งอยู่ด้วยดี เพราะเป็นธรรมชาติอันอารมณ์นั้นให้หวั่นไหว

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 29 ก.ค. 2025, 10:07 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สรุปวิปัสสนูกิเลส

ไม่ได้ ด้วยความปราศจากปฏิปักษ์ เพราะเหตุนั้นแหละ จึงเหมือนกับเป็นหลักไม่หวั่นไหว
ชื่อว่า เป็นเช่นกันภูเขาหลวง ก็เพราะเป็นความไม่หวั่นไหวนั่นเอง เพราะหตุนั้น ท่าน
อาจารย์จึงแสดงสติที่เข้าไปตั้งอยู่อย่างดีนั้นเองด้วยบททั้ง ๓. บทว่า โส โยโค โยคาวจโร
คำว่า ฐานะใด ๆ ได้แก่ ฐานะที่เข้าไปตั้งอยู่ของคนใด ๆ เป็นรูปบ้าง เป็นอรูปบ้าง บทว่า
โอกฺขนฺฑิตฺวา แปลว่า ไหลเข้าไป. บทว่า ปกฺขนฺทิตฺวา เป็นไวพจน์ของบทว่า โอกฺขนฺฑิตวา
นั้นแหละ: ท่านอาจารย์กล่าวว่า ดุจปรโลกปรากฏแก่ทิพพจักขุ ฉะนั้น หมายเอาหมู่สัตว์
ที่หมายรู้กันว่า ปรโลกชื่อปรากฏแก่ทิพพจักขุ คือ แก่ยถากัมมูปคญาณอันเป็นอันเป็นเครื่องใช้
ท่านถือเอาวิสัย คือวัณณายตนะ เพราะความที่ที่ทิพพจักจักขุมีปรโลกเป็นวิสัย. ปรากฏด้วยสติ
แก่เธอ อธิบายว่า ย่อมชัดเจน หรืออธิบายว่า ย่อมเข้าไปตั้งอยู่แก่โยคีนั้น. ก็สติไหลเข้าไป
สู่อารมณ์ตั้งอยู่โดยส่วนใด แม้อารมณ์ท่านก็เรียกว่า ไหลเข้าไปตั้งอยู่แก่โยคีนั้นโดยส่วนนั้น.

วิปัสสนูเบกชา ตั้งอยู่โดยความเป็นกลางในการค้นคว้าสังขารทั้งหลาย เพราะมี
อารมณ์อันได้ค้นคว้าแล้ว. ก็วิปัสสนูเบกขานั้น โดยอรรถ ได้แก่ ตัตรมัชฌัตตุเบกขา ที่เป็น
ไปอย่างนั้นนั่นเอง. เจตนาที่สัมปยุตกับมโนทวาราวัชชนจิต ท่านเรียกว่า อาวัชขนุเบกยา
เพราะเป็นไปด้วยอำนาจวางเฉยในอาวัชชนะ. อุเบกขาที่เป็นท่านกลางในการพิจารพิจารณาเห็น
ความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป เพราะความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปปรากฏด้วยดียิ่ง ชื่อว่า
วิปัสสนูเบกชา ในที่นี้. ก็ความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปเหล่านั้นเป็นของสังขารทั้งปวง
เพราะเหตุนั้น ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า อันเป็นความเป็นท่ามกลาง (คือวางเฉย) ในสังขาร
ทั้งปวง. พึงเห็นความที่อาวัชขนาการเป็นเหมือนกับวชิราวุธของพระอินทร์และหอกที่ร้อน
และความที่อาวัชขนุเบกขาเป็นธรรมชาติกล้าแข็งโดยความเป็นอย่างนั้น แห่งญาณที่เที่ยว
ไปตามอุเบกขานั้น เหมือนอย่างอาวัชชนุเบกขาอันมีสัพพัญญุตญาณเป็นที่เที่ยวไปในเบื้อง
หน้าฉะนั้น.

(๒๗๒) คำว่า วิปัสสนานิกันติ แปลว่า ความพอใจ คือ ความเพ่งอยู่ในวิ
ปัสสนูปกิเลสทั้งหลาย มีโอภาสเป็นต้น เป็นการแสดงทำของวิปัสสนา ย่อมเป็นเหมือน
เครื่องประดับของวิบัสสนานั้น เพราะหตุนั้น ท่านอาจาย์จึงกล่าวว่า อันประดับประดา
ไปด้วยวิปัสสนูกิเลสมีโอภาสเป็นต้น. คำว่าความโยคีได้แก่ ควานเพ่งเล็ง. คำว่าอย่าง
สุขุมมีอาการสงบ คือ อาการสุมุมและมีอาการสงบ. ก็ควานที่ความพอใจนั้นเป็นเรื่องสุขุม
มีอาการสงบนั้น ก็เพราะภาวนาเป็นไปอย่างมีความล้ำเลิศ เพราะแม้ความที่ความพอใจ

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 29 ก.ค. 2025, 13:05 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สรุปวิปัสสนูกิเลส

นั้นเป็นกิเลสเป็นเรื่องที่พึงรู้ได้ยาก ด้วยเหตุนั้น ท่านอาจารย์กล่าวว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอ
ไม่อาจแม้แต่จะกำหนดจับได้ว่ามันเป็นกิเลส.

บทว่า เอเตสุ โยค ยถาทสฺสิเตสุ ญาณาทีสุปี แปลว่า แม้บรรดาวิปัสสนูปกิเลส
มีญาณเป็นต้น ตามที่ได้แสดงเเล้วเหล่านี้ คำว่า เมื่อวิปัสสนูปกิเลสอย่างใดอย่างหนึ่ง
เกิดขึ้น นี้ ท่านอาจารย์กล่าวไว้เพื่อแสดงการยึดถือว่า เราเป็นผู้บรรลุมรรคแล้วเป็นต้น
ในเมื่อวิปัสสนูกิเลสอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นเกิดขึ้น เพราะอุปกิเลสทั้งหลายจะเกิดขึ้น
แม้ขณะเดียวกันก็หามิได้, อนึ่ง การพิจารณาเล่า ก็ย่อมนี้เป็นแผนก ฯ ไป

คำว่า ก่อนแต่นี้ นิกันติเห็นปานนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นแก่เราเลยหนา นี้ ท่านกล่าวไว้
ด้วยอำนาจแสดงสภาวะแห่งธรรม แต่หาได้กล่าวด้วยอำนาจความเป็นไปแห่งจิตอย่างนั้น
ของโยคีในเวลานั้นไม่ เพราะว่าโยคีนั้นจะรู้นิกันติว่าเป็นนิกันติในเวลานั้นก็หามิได้ เมื่อ
เป็นอย่างนั้น ก็จะไม่มีการยึดถือว่า เราเป็นผู้บรรลุมรรค ซึ่งมีนิกันตินั้นเป็นวิสัยทีเดียว
เพราะเหตุนั้น โยคีนั้นจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ความยินดียิ่งในภาวนาเห็นปานนี้ ไม่เคย
เกิดขึ้นแก่เราเลยหนา, เราคงเป็นผู้บรรลุมรรคแล้วแน่แท้.

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/