ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

อาศัยตัณหาละตัณหา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=65560
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 01 เม.ย. 2025, 04:47 ]
หัวข้อกระทู้:  อาศัยตัณหาละตัณหา

"ถามว่า : การประมวลวิจยหาระในเรื่องนั้น คืออะไร
ตอบว่า :ในเรื่องนั้น ความปรารถนามี ๒ ประการ คือ ความปรารถนาที่เป็นกุศล
[ไม่มีโทษ] และความปรารถนาที่เป็นอกุศล
ความปรารถนาที่เป็นอกุศล ย่อมยังเหล่าสัตว์ให้ไปสู่สงสาร
ความปรารถนาที่เป็นกุศล เป็นความปรารถนาซึ่งเหตุละ[อกุศล]โดยละได้ชั่วขณะ
เป็นต้น] ทำให้บรรลุพระนิพพาน
แม้มานะก็มี ๒ ประการ คือ มานะที่เป็นกุศล [ไม่มีโทษ] และมานะที่เป็นอกุศล
มานะที่เป็นกุศล (มานะที่มีกุศลเป็นปัจจัย) คือ มานะอันบุคคลอาศัยแล้วย่อมละ
มานะได้
มานะที่เป็นอกุศล คือ มานะอันบุคคลอาศัยแล้วย่อมก่อให้เกิดทุกข์
ความปรารถนาที่เป็นกุศล คือ ความปราวถนาที่เกิดแก่กุลบุตรผู้ปรารถนาอริยะผล
ว่า เมื่อใดหนอ เราจักกระทำให้แจ้งบรรลุธรรมอันสงบ (อริยผล) ซึ่งพระอริยะเจ้าทั้งหลาย

ไฟล์แนป:
ei_1740527937164-removebg-preview.png
ei_1740527937164-removebg-preview.png [ 52 KiB | เปิดดู 1002 ครั้ง ]

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 01 เม.ย. 2025, 05:20 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อาศัยตัณหาละตัณหา

การทำให้เเจ้งบรรลุอยู่ โทมนัสใดย่อมเกิดขึ้นเพราะความปรารถนาเป็นปัจจัย โทมนัสนั้นชื่อว่า
เนกข้มมสิตะ (โทมนัสอาศัยการออกจากกาม) ความปรารถนา[ในอริยผล]นี้เป็นกุศล มี
เจโตวิมุตติอันคลายกำหนัดเป็นอารมณ์ หรือมีปัญญาวิมุตติอันคลายอวิชชาเป็นอารมณ์

(ตามปกติตัณหา คือ ความปรารถนา จัดเป็นอกุศล เพราะเป็นโลภเจตสิกที่เพลิดเพลิน
กามคุณ แต่ในที่นี้ท่านกล่าวว่าตัณหาเป็นกุศลโดยอ้อม เพราะความปรารถนาบรรลุพระนิพพานแล้ว
เพียรปฏิบัติธรรม ในบางขณะก็จัดเป็นตัณหาเช่นเดียวกัน ตัณหาในลักษณะนี้ควรเสพ เหมือนมานะ
ที่แบ่งออกเป็น ๒ ประการ โดยมานะที่ควรเสพจัดเป็นกุศลโดยอ้อม ด้วยความมุ่งมันไม่ยอมแพ้การ
บรรลุธรรม
ในมัชฌิมนิกาย สักกปัญหาสูตร พระพุทธองค์ตรัสโทมนัสที่อาศัยการออกจากกามว่าควรเสพ
เพราะเป็นปัจจัยเพื่อละอกุศลและก่อให้เกิดกุศล โทมนัสดังกล่าวเกิดจากตัณหาที่ต้องการจะบรรลุอรหัตต-
ผลแล้วปฏิบัติธรรมเป็นเวลานาน แต่ไม่อาจบรรลุได้ จึงเกิดความโทมนัสเสียใจ ดังนั้น ตัณหาจึงเป็น
ธรรมที่ควรเสพโดยอ้อม ในเรื่องนี้ท่านจำแนกตัณหาออกเป็นกุศลเป็นต้น เพราะได้จำแนกตัณหาเป็น
เหตุแห่งวิปัลลาสไว้ในเทสนาหารสัมปาตะแล้ว จึงจำแนกไว้อีกนัยหนึ่งในหนี้)

เมื่อตัณหาใดๆกำลังเกิดขึ้นก็พิจารณาตัณหานั้นว่ามีโทษ ควรออกจากตัณหานั้นเสีย นี้เรียกว่าตัณหาละตัณหา

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/