ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
สังขารุเบกขาญาณจำแนกพระอริยบุคคล ๗ ประเภท http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=65390 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 09 ก.พ. 2025, 06:17 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | สังขารุเบกขาญาณจำแนกพระอริยบุคคล ๗ ประเภท | ||
สังขารุเบกขาญาณจำแนกพระอริยบุคคล ๗ ประเภท [๗๗๑] ส่วนคำใดที่ข้าพเจ้ากล่าวได้ไว้ว่า "เป็นปัจจัยเพื่อจำแนกพระอริยบุคคล ๗ ประเภท" ในคำนั้น เบื้องตันพระอริยบุคคล ๗ ประเภทเหล่านี้ คือ ๑. สัทธานุสารี ๒. สัทธาวิมุตต์ ๓. กายสักขี ๔ อุภโตภาควิมุตต์ ๕ ธัมมานุสารี ๖. ทิฏฐิปัตตะ ๗. ปัญญา วิมุตต์. สังขารุเบกขาญาณนี้ย่อมเป็นเป็นปัจจัยเพื่อจำแนกพระอริยบุคคล ๗ ประเภทนั้น สังขารุเบกขาญาณจำแนกพระอริยบุคคล ๗ ประเภท [๗๗๑] (๓๐๑) สองบทว่า เตสํ วิภาคาย ความว่า เพื่อความเป็นสภาวะที่ได้ จำแนกพระอริยบุคคล ๗ ตามที่กล่าวแล้วนั้น โดยเป็นสัทธานุสารีเป็นต้น อธิบาย พระอริยบุคคล ๗ ประเภท ๑. สัทธานุสารี ๒. สัทธาวิมุตตํ [๗๗๒] ก็ภิกษุใดมนสิการ โดยเป็นของไม่เที่ยง มากด้วยอธิโมกข์ ย่อมได้เฉพาะ ซึ่งสัทธินทรีย์ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็น สัทธานุสารี ในขณะแห่งโสดาปัตติมรรค ในฐานะ ๗ ที่เหลือ ชื่อว่าเป็น สัทธาวิมุตตํ. (๗๗๒] คำว่า ย่อมได้เฉพาะซึ่งสัทธินทรีย์ ความว่า ย่อมได้เฉพาะสัทธินทรีย์มี ประมาณยิ่งอันเป็นเหตุแห่งความเป็นสัทธานุสารีเป็นต้น. เหตุแห่งความเป็นผู้มากไปด้วย อธิโมกข์ และแห่งความเป็นผู้มีสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในหนหลัง นั่นแหละ. อีกอย่างหนึ่ง ความย่อในอธิการนี้ มีดังนี้ เพราะการกำหนดอาการไม่เที่ยง เป็นอุปนิสสัยแก่การรู้ยิ่งด้วยศรัทธา ศรัทธาในมรรคที่ดำเนินตามสังขารุเบกขาญาณนั้น จึงเป็นธรรมชาติเข้มแข็งยิ่ง ด้วยเหตุนั้น พระอริยบุคคลที่ ๔ จึงชื่อว่าเป็น สัทธานุสารี. คำว่า ในฐานะ ๗ ที่เหลือ ได้แก่ โนฐานะ ๗ ตั้งแต่ผลที่ ๑ (โลตาปัตติผล) จนถึงมล อันเลิศ (อรหัตตผล). มีคำถามสอดเข้ามาว่า เพราะเหตุไร ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า ใน ฐานะ ๗ พระอริยบุคคลก็เป็นสัทธาวิมุตต์ในฐานะ ๖ ที่เหลือมิใช่หรือ แต่ถ้าพระอริยบุคคล นี้เป็นผู้ได้อรูปฌานในผลอันเลิศ ก็เป็นอุภโตภาควิมุตต์ หากมิใช่เป็นผู้ได้อรูปฌาน ก็เป็น ปัญญาวิมุตต์ หาเป็นสัทธาวิมุตต์ไม่. จริงอยู่ ย่อมรู้ความที่สัทธาวิมุตต์เป็นเสขบุคคล หาใช่ เป็นอเสขบุคคลไม่ เพราะ ในพระอภิธรรม ได้ตรัสความสิ้นไปแห่งอาสวะบางอย่างไว้ว่า บุคคลเป็น สัทธาวิมุตต์ เป็นไฉน ? บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตาม เป็นจริง ว่า นี้ทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุเกิดทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง ว่า นี้ความดับทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติได้ถึงความดับทุกข์. อนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว อันผู้นั้นเห็นตัดด้วยปัญญา ดำเนินไป ด้วยดีด้วยปัญญา. อนึ่ง อาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็หมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วย
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 09 ก.พ. 2025, 09:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขารุเบกขาญาณจำแนกพระอริยบุคคล ๗ ประเภท |
ปัญญา แต่มิใช่อย่างที่บุคคลผู้เป็นทิฏฐิปัตตะเห็น บุคคลนี้เรียกว่า บุคคลผู้เป็น สัทธาวิมุตต์ ดังนี้. และเพราะในธรรถถากล่าวไว้ว่า ธุระ ๒ อภินิเวส ๒ สีละ ๒ ดังนี้ ความเป็นสัทธา วิมุตต์จึงไม่มีแก่พระอรหันต์ ? ตอบว่า ข้อนี้จริงโดยนิปปริยาย ก็พระอภิธรรมเป็นนินไปปริยายกถา แต่ในที่นี้ท่าน กล่าวไว้อย่างนี้โดยปริยาย. ถ้าว่าความที่พระอรหันต์เป็นสัทธาวิมุตโดยบริยายไซรั. ก็ปริยายนั้นเป็นอย่างไร ? ก็จะเป็นความคล้อยตามสัทธาวิมุตต์. ด้วยว่า พระอริยบุคคลใดเป็นสัทธาวิมุตต์ในขณะ แห่งมรรคอันเลิศ พระอริยบุคคลนั้นก็เป็นสัทธาวิมุตต์ เพราะความเป็นผู้คล้อยตามพระ อริยบุคคลในขณะแห่มรรคนั้น แม้ในขณะแห่งผล เพราะเหตุนั้น ในปฏิสัมภิทามรรค ท่าน พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร จึงได้กล่าวไว้โดยปริยาย เพราะเหตุนั้น แม้ในที่นี้ท่านอาจารย์ ก็ได้กล่าวไว้อย่างนั้นเหมือนกัน. อีกประการหนึ่ง พระอรหันต์ชื่อว่าเป็น สัทธาวิมุตต์ เพราะความเป็นผู้เหมือนกับ สัทธาวิมุตต์. ก็ในข้อนี้ความเหมือนกันเป็นอย่างไร ? ความสิ้นกิเลสของเสขบุคคลผู้เป็นสัทธาวิมุตต์ ก็เหมือนกับการตัดต้นกล้วยด้วย ดาบที่ทื่อ เพราะมีพระบาลีว่า แต่มิใช่เหมือนบุคคลผู้เป็นทิฏฐิปัตตะ ข้อนี้ฉันใด แม้ความ สิ้นกิเลสของพระอรหันต์ผู้คล้อยตามเสขบุคคลนั้น ก็เหมือนฉันนั้น เพราะเหตุนั้น ในที่นี้ จึงมีความเหมือนกัน ดังนี้. ถามว่า ก็ความต่างกันในการละกิเลสของเสขบุคคลและพระอรหันต์เหล่านั้น มี อยู่หรือ ตอบว่า ไม่มี. ถามว่า เมื่อเป็นช่นนั้น เพราะเหตุไรพระอริยบุคคลผู้เป็นสัทธาวิมุตต์ จึงไม่ถึง พระอริยบุคคลผู้เป็นทิฏฐิปัตตะเล่า ? ตอบว่า เพราะความต่างแห่งฐานะอันเป็นที่มา. ด้วยว่า พระอริยบุคคลผู้เป็น ทิฏฐิปัตตะ เมื่อข่มก็เลสทั้งหลายในเพราะการมาถึงไม่ลำบากด้วยความยากเล็กน้อย ย่อม สามารถข่มได้ พระอริยบุคคลผู้เป็นสัทธาวิมุตต์ ย่อมสามารถข่มได้ด้วยความยาก อิกประการหนึ่ง ความต่างกันของพระเสขบุคคลและพระอรหันต์เหล่านั้น แม้ด้วยปัญญา ท่านอาจารย์ทั้งหลายย่อมกล่าวว่า ความต่างกันนั้น ย่อมได้ตามที่กำหนดไว้. ก็เพราะทำ อธิบายอย่างนี้ แม้เมื่อมีความเสมอกันแห่งอินทรีย์ในมรรคที่ ๑ เป็นต้น แม้การกล่าวความ ที่อินทรีย์มีสัทธาเป็นต้น เป็นธรรมเข้มแข็ง ก็ย่อมเป็นอันสำเร็จประโยชน์นี้ด้วยดี. |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 09 ก.พ. 2025, 10:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขารุเบกขาญาณจำแนกพระอริยบุคคล ๗ ประเภท |
๓. กายสักขี ๔. อุภโตภาควิมุตต์ [๗๗๓] อนึ่ง ภิกษุใดมนสิการ โดยความเป็นทุกข์ มากด้วยปัสสัทธิ ย่อมได้เฉพาะ ซึ่งสมาธินทรีย์ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าเป็น กายสักขี ในฐานะ ๘ ทั้งหมด แต่บรรลุอรูปฌาน แล้วถึงผลอันเลิศ ย่อมชื่อว่าเป็น อุภโตภาควิมุตต์. [๗๗๒] บทว่า โส โภค ทุกฺขโต วุฏฐิโต แปลว่า บุคคลผู้ออกโดยยาการเป็นทุกข์ นั้น บทว่า สพฺพตฺถ ความว่า โนฐานะทั้ง ๘. ก็เพราะอรรถกถาได้กำหนดกันไว้ว่า ธุระ ๒ อย่าง ดังนี้ ในขณะแห่งมรรคที่ ๑ บุคคลควรรจะเป็นสัทธานุสารี หรือเป็นธ้มมานสารี มิใช่หรือ ? ตอบว่า ในที่นี้เป็นสัทธานุสารี สมควรแล้วหามิได้, แม้ความที่พระอรหันต์เป็น กายสักขีก็ไม่มี. ก็เพราะในพระอภิธรรมได้ตรัสความสิ้นอาสวะบางส่วนไว้วางใจ บุคคลเป็น กายสักขี (นามกาย) เป็นไฉน? บุคคลบางคนโลกนี้ ถูกต้อง วิโมกข์ ๘ ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ และละอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็หมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า บุคคลผู้เป็นกายสักขี ดังนี้. ถามว่า ก็ย่อมรู้ความที่กายสักขีเป็นเสชบุคคลนั่นเองหรือ ? ตอบว่า ข้อนี้จริงโดยนิปปริยาย, แต่ในที่นี้ทำนกล่าวโดยปริยาย. ถามว่า ก็ปริยายนั้นเป็นอย่างไร ? ตอบว่า ก็คือความเหมือนกายสักขี. จริงอยู่ ความบังเกิดที่ได้สัมผัสอรูปสมาธิอันวิเศษยิ่งโดยสมาธิในรูปฌานชั้นอุปจาร เพราะเหตุนั้น ในปฏิสัมภิทามรรค ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรได้กล่าวถึงพระอรหันต์ ว่า เปรียบเหมือนกายสักขี โดยเล็งถึงความเสมอกัน ด้วยความสิ้นไปแห่งอาสวะ ด้วยการ ตั้งมั่นแห่งกายสักขีนั้น ด้วยการสัมผัสสมาธิอันวิเศษยิ่ง กับบุคคลที่พึ่งกล่าวกายสุกขี เทียบเคียงความสิ้นไปแห่งอาสวะบางส่วน จึงชื่อว่า กายสักขี เพราะเหตุนั้น แม้ในที่นี้ท่าน ก็ถือเอานัยนั้นนั่นแหละ กล่าวความที่แม้พระอรหันต์เป็นกายสักขี. ก็อันนี้เป็นการสังวรรณ- นาแห่งพระสูตรแล. แต่โดยนิปปริยาย พระอริยบุคคย่อมชื่อว่าเป็นกายสักขีในฐานะทั้ง ๖ ตั้งแต่ผลที่ ๑ ไป และกายสักนั้นแล เป็นผู้ได้สมาบัติ ๘ หาใช่เป็นสุกขวิปัสสนาผู้เป็น วิปัสสนายานิก เป็นผู้ได้เพียงอุปจารฌาน หรือเป็นผู้ได้เพียงรูปฌานไม่. ก็คำว่า มากด้วย ปัสสัทธิ ท่านกล่าวถึงสมาธิโดยยกปัสสัทธิเป็นประธาน เพราะเหตุนั้น ท่านจีงประสงค์เอา บุคคลผู้เป็นสมถยานิก ผู้ได้สมาธิที่มีความวิเศษยิ่งเท่านั้น ก็ความที่บุคคลผู้เป็นสมถยานิก นั่นเอง เป็นกายสักขี ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้น. คำว่า อรูปฌาน ได้แก่ อรูปฌาน ๔ อย่าง. ก็ไมอรูปฌาน ๔ อย่างนั้น ท่านท่านอาจารย์ กล่าวว่า อรูปฌาน เท่านั้น เพื่อแสดงความข้อนี้ว่า บุคคลผู้ได้อรูปฌานแม้อย่างเดียวแล้ว บรรลุอรหัตตผล ก็เป็นอุภโตภาควิมุตตํเหมือนกัน หาใช่ว่าจะต้องได้อรูปฌานทั้ง ๔ ไม่ ด้วยเหตุนั้น อุภโตภาควิมุตต์นี้จึงมี ๔ ประเภท คือ จัดตามอรูปสมาบัติทั้ง ๔ แลที่ และนิโรธ สมาบัติ แม้ในกายสักขีก็มีนัยนี้ พระอริยบุคคลใดหลุดพ้นแล้วสิ้นวาระทั้ง ๒ โดยส่วน ทั้ง ๒ เหตุนั้น พระอริยบุคคลนั้นชื่อว่า อุภโตภาควิมุตต์. |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 09 ก.พ. 2025, 12:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขารุเบกขาญาณจำแนกพระอริยบุคคล ๗ ประเภท |
๕. ธัมมานุสารี ๖. ทิฏฐิปัตตะ ๗. ปัญญาวิมุตต์ [๗๗๔] อนึ่ง ภิกษุใดมนสิการ โดยความเป็นอนัตตา มากไปด้วยเวท(ความรู้) ย่อมได้เฉพาะซึ่งปัญญินทรีย์ ภิกษุนั้นในขณะแห่งโสดาปัตติมรรค ย่อมชื่อว่าเป็น ธัมมา นุุสารี โนฐานะ ๖ ชื่อว่าเป็น ทิฏฐิปัตตะ ในผลอันเลิศ ชื่อว่าเป็น ปัญญาวิมุตต์ [๗๗๔] อรรถทั้งหลายที่ละเอียดยิ่งและลึกซึ้ง ย่อมเป็นสภาพชัดเจนปรากฏแก่ ผู้มีปัญญา เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวความที่บุคคลผู้มนสิการโดยความเป็นอนัตตา เป็นผู้มากด้วยเวท (ความรู้) และกล่าวการได้เฉพาะซึ่งปัญญินทรีย์. บุคคลเป็นชื่อว่า ธัมมานุสารี เพราะความที่ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง. ก็ปัญญาท่านประสงค์เอาว่า "ธรรม" ในที่นี้ เหมือนอย่างในพระบาลีเป็นต้นว่า สุจจํ ธมฺโม ฐีติ จาโค ธรรมะ (ปัญญา) ฐิติ จาคะ อ้างพระบาลีในปฏิสัมภิทามรรค [๗๗๕] ข้อนี้ สมดังคำที่ท่านกล่าวไว้ ดังนี้ว่า "เมื่อภิกษุมนสิการไปโดยความเป็นของไม่เที่ยง สัทธินทรีย์ย่อมมีประมาณ ยิ่ง เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง ย่อมได้เฉพาะโสดาปัตติมรรค ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า สัทธานุสารี" อนึ่ง กล่าวไว้มีอาทิว่า "เมื่อภิกษุมนสิการไปโดยความเป็นของไม่เที่ยง สัทธินทรีย์ย่อมมีประมาณ ยิ่ง เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง โสดาปัตติผลย่อมเป็นอันภิกษุทำให้แจ้งแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า สัทธาวิมุตต์" (๗๗๕] (๓๐๒) ท่านอาจารย์กล่าวความที่พระอริยบุคคลเป็นสัทธาวิมุตต์เป็นต้น ในที่นี้ด้วยอำนาจแห่งพระบาลีใด เพื่อจะแสดงพระบาลีนั้น ท่านอาจารย์จึงเริ่มคำว่า ข้อนี้ ผมดังคำที่ท่านกล่าวไว้ ดังนี้เป็นต้น, คำนั้นรู้ได้โดยง่ายทีเดียว. |
เจ้าของ: | Duangtip [ 03 มิ.ย. 2025, 20:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขารุเบกขาญาณจำแนกพระอริยบุคคล ๗ ประเภท |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |