ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

บัญญัติธรรม
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=65180
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 18 ธ.ค. 2024, 07:26 ]
หัวข้อกระทู้:  บัญญัติธรรม

บัญญัติธรรม

ได้กล่าวแล้วตั้งแต่ต้นตามนัยแห่งคาถาที่ ๒ ว่า ปัจจยสังคหวิภาคนี้แสดงธรรม ๒
ส่วน คือ ปฏิจจสมุปบาทนัยส่วนหนึ่ง และปัฏฐานนัย(ปัจจัย ๒๔) อีกส่วนหนึ่ง
เมื่อได้แสดงธรรมม ๒ ส่วนนั้นแล้ว ก็ควรจบได้แล้ว แต่ว่าในในปัจฉิมคาถาที่ ๒ (คือคาถา
ที่ ๒๗) มีใจความว่า ปัจจัย ๒๔ ล้วนตั้งอยู่แล้วด้วยสามารถแห่งบัญญัติธรรม นามธรรม
และรูปธรรม
นามธรรม และ รูปธรรม ได้แสดงมาแล้วมากมาย ส่วนบัญญัติธรรมได้กล่าว
ถึงบ้างแต่เพียงเล็กน้อย เหตุนี้ พระอนุรุทธาจารย์ จึงแสดงบัญญัติธรรมโดยมีข้อความ
ละเอียดพอประมาณ ในตอนท้ายปริเฉทนี้ด้วยการเริ่มคาถาที่ ๒๘ และ ๒๙ ว่า

๒๘. ตตุถ รูปธมฺมา รูปกขนุโธ วาติ วิชานิยา
จิตฺตเจตสิกกฺขาตา จตุขนฺธา อรูปิโน ๆ
๒๙.อสงฺขตํ นิพฺพานญฺจ อิติ ปญฺจวิธํ อิทํ
อรูปนฺติ จ วเกฺยน นามนฺติ จ ปวุจฺจติ ฯ

แปลความว่า ธรรมหล่านั้น (คือ บัญญัติธรรม นามธรรม รูปธรรม) รูปธรรม
ทั้งหลายพึงพราบว่าป็นรูปขันธ์อย่างดียว อรูปขันธ์ ๔ นั้น ได้แก่จิต เจตสิก ซึ่งปีน
สังขตธรรม
อรูปขันธ์ ๔ และรวมนิพพาน ๑ ชื่อเป็นสังขตธรรมเข้าไปด้วยเป็น ๕ อย่างนี้
ท่านกล่าวว่าเรียก อรูป ก็ได้ เรียก นาม ก็ได้
คาถาทั้ง ๒ นี้แสดงถึงรูปนาม ย้ำให้รู้ว่า รูปธรรมทั้ง ๒๘ รูปนั้นเรียกว่า รูป
ขันธ์ อย่างเดียว ส่วน นามธรรม คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญ-
ญาณขันธ์ ที่เป็นขันธ์และเป็นฝ่ายสังขตธรรม กับ นิพพาน ที่เป็นขันธวิมุตติและเป็น
ฝ่ายอสังขตธรรม รวมนามธรรมทั้ง ๕ อย่างนี้เรียกว่าอรูปก็ได้ เพราะนามธรรมทั้ง ๕
อย่างนี้ ไม่มีรูป ไม่ใช่รูป จึงเรียกว่า อรูป

๓๐. อวเสสา จ ปญฺญตฺติ ตโต จ นามรูปโต
ปญฺญาปิยตฺตา ปญฺญตฺติ. สปญฺญาปนโต ตถา
ทุวิชา ปญฺญตฺติ โหติ อิติ วิญญูหิ จิตฺติตํ ฯ


ไฟล์แนป:
_074-removebg-preview-removebg-preview.png
_074-removebg-preview-removebg-preview.png [ 278.64 KiB | เปิดดู 1493 ครั้ง ]

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 18 ธ.ค. 2024, 09:35 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บัญญัติธรรม

แปลความว่า ส่วนธรรมที่เหลือจาก รูปธรรม นามธรรมนั้น ชื่อว่าบัญญัติ
บัญญัติธรรมนั้นมี ๒ อย่าง คือ ปญฺญาปิยตฺตาปญฺญตฺติ และ ปญฺญาปนโตปญฺญัตฺติ
ซึ่งนักปราชญ์ทั้งหลายได้บัญญัติไว้แล้วดังนี้
หมายความว่า นอกจากสภาวธรรมอันเป็นรูปธรรม และนามธรรมแล้ว ยังมี
บัญญัติธรรม อันเป็นอสภาวะ คือเป็นธรรมที่ไม่มีสภาวะ แต่เป็นธรรมที่สมมติขึ้น ตั้งขึ้น
บัญญัติขึ้น เพื่อจะได้ใช้พูดจาว่าขานกันให้รู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้
บัญญัติธรรมนี้ จำแนกโดยประเภทใหญ่แล้วมี ๒ ได้แก่ ปัญญาปิยัตตาบัญญัติ หรือ
อัตถบัญญัติ ๑ และ ปัญญาปนโตบัญญัติ หรือ สัททญัญญัติ อีก ๑
ปัญญาปิยัตตาบัญญัติ ซึ่งบ้างก็เรียกว่า อัตถบัญญัตินั้น บัญญัติขึ้น สมมติขึ้น
ตั้งขึ้น เพื่อให้รู้เนื้อความแห่งรูปร่าง สัณฐาน หรือ ลักษณะอาการของชื่อนั้น ๆ เช่น ภูเขา
ต้นไม้ บ้านเรือน ยืน เดิน เป็นต้น
ปัญญาปนโตบัญญัติ ซึ่งบ้างก็รียกว่า สัททบัญญัตินั้น บัญญัติขึ้น สมมติขึ้น
ตั้งขึ้น เพื่อให้รู้จักเสียงที่เรียกชื่อนั้น ๆ คือ รู้ด้วยเสียง รู้ด้วยคำพูด ที่หมายถึงอัตถ-
บัญญัตินั้น เช่นในขณะที่ไม่ได้เห็นภูเขา ไม่ได้เห็นตันไม้ แต่เมื่อออกเสียงพูดว่า ภูเขา พูดว่า
ต้นไม้ ก็รู้และเข้าใจได้ว่า ภูเขา ต้นไม้ มีรูปร่าง สันฐาน อย่างนั้น ๆ หรือพูด
ว่าเดิน ก็รู้และเข้าใจได้ว่ามีกิริยาอาการอย่างนั้น ๆ
ปัญญาปิยัตตาบัญญัติ
ปัญญาปิยัตตาบัญญัติ หรือ อัตถบัญญัตินี้ จำแนกออกได้เป็น ๖ ประเภทตาม
สิ่งที่ได้อาศัยบัญญัติขึ้น สมมติขึ้น ตั้งขึ้น เป็นชื่อนั้น ๆ คือ
๑. สัณฐานบัญญัติ เป็นการบัญญัติ ขึ้น สมมติขึ้น ตั้งขึ้น โดยอาศัยรูปทรงส่วน
สัดสัณฐานของวัตถุนั้น ๆ มาเรียกรวมกัน เช่น ภูเขา ตันไม้ แม่น้ำ จาน ชาม มีด
จอบ เสียม เป็นต้น
๒. สมูหบัญญัติ เป็นการสมมติขึ้น ตั้งขึ้น โดยอาศัยความประชุมของวัตถุต่าง ๆ
มาเรียกขานกัน เช่น เกวียน บ้านเรือน โบสถ์ ศาลา เป็นต้น
๓. สัตตบัญญัติ เป็นการทั้งขึ้นโดยอาศัย รูปร่างกาย เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ ซึ่งเป็นขันธ์ ๕ มาเรียกขานกัน เช่น คน เป็ด ไก่ ช้าง ม้า วัว ควาย เป็นต้น

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 18 ธ.ค. 2024, 12:50 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บัญญัติธรรม

๔.ทิสากาลาพิบัญญัติ เป็นการตั้งขึ้นโดยอาศัยเวลาที่พระอาทิตย์ พระจันทร์
ดวงดาวต่าง ๆ หมุนเวียนไปตามทิศต่าง ๆ นั้นมาเรียกขานกัน เช่น ทิศตะวันออก ทิศตะ.
วันตก วัน คืน เดือน ปี เป็นต้น
๕.อุปคูหาทิบัญญัติ บ้างก็เรียกว่า อากาสบัญญัติ เป็นการตั้งขึ้นโคยอาศัย
ช่องว่างที่มหาภูตรูป ๔ ไม่ติดต่อกัน อันบุคคลไม่ได้ทำไม่ได้ขุดขึ้นแต่เป็นของเกิดขึ้นเอง เช่น
หลุม โพรง เหว ถ้ำ เป็นต้น
๖. นิมิตบัญญัติ เป็นการตั้งขึ้นโดยอาศัยเครื่องหมาย ข้อนี้มีความหมายกว้าง
ขวางมาก เช่น นิมิตของกัมมัฏฐาน ก็มี ปริกัมมนิมิต อุคคหนิมิต ปฏิภาคนินิมิต เป็นตัน
นิมิตของสัณฐาน เช่น สุภนิมิต สวย งาม น่ารัก น่าชม อสุภนิมิต ไม่สวย ไม่งาม
น่าเกลียด น่าชัง เป็นต้น นิมิตของกิริยาอาการ เช่น เดิน ยืน นั่ง นอน
ทั้ง ๖ นี้เป็นอัตถบัญญัติ เป็นเงาของนี้อความ ไม่มีปรากฎโดยปรมัตถสัจ กำหนด
เปรียบเทียบเรียกอย่างนั้นเอง เพื่อให้รู้อย่างเดียวกัน ยังกันและกันให้รู้ที่ว่าสิ่งนี้ชื่อนั้นสิ่งชื่อนั้นสี่ง
นั้นชื่อนี้ นี่แหละจึงหรือว่า ปัญญาปิยัตตาบัญญัติ คือ บัญญัติเป็นหตุยังกันและกันให้รู้ทั่ว

ปัญญาปนโตบัญญัติ

ปัญญาปนโตบัญญัติ หรือ สัททบัญญัติ หมายถึงคำพูดที่บุคคลได้ออกเสียงเรียก
ขาน เมื่อต้องประสงค์ในการภายหลัง ตามชื่อที่ตั้งไว้แต่ก่อนแล้วนั้น
ปัญญาปนโตบัญญัตินี้ มีชื่อเรียกได้ถึง ๖ ชื่อ คือ
๑. ชื่อว่า นามบัญญัติ หมายความว่า มีสภาพพร้อมสู่เนื้อความและทำให้เนื้อ
ความนั้นน้อมสู่ตน เช่นคำว่า ภูเขา ก็น้อมตามเนื้อความว่าเป็นเนินที่สูงขึ้นเป็นจอมใหญ่
เมื่อพูดว่า ภูเขา ก็ทำให้เข้าใจได้ว่าหมายถึงเนื้อความอย่างนั้น
๒. ชื่อว่า นามกัมมบัญญัติ หมายความว่าชื่อต่าง ๆ เหล่านั้นแหละเป็นชื่อที่พึง
เรียกกันโดยทั่วไป
๓. ชื่อว่า นามเธยยบัญญัติ หมายความว่า ชื่อต่าง ๆ เหล่านั้นนักปราชญ์ทั้ง
หลายได้ตั้งชื่อไว้ตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว
๔. ชื่อว่า นิรุตติบัญญัติ หมายความว่า นักปราชญ์ได้พิจารณาคิดตั้งขึ้นสมมติ
ขึ้นซึ่งถ้อยคำนั้น ชื่อเหล่านั้นจึงปรากฏมีขึ้นมา

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 18 ธ.ค. 2024, 15:06 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บัญญัติธรรม

๕. ชื่อว่า พยัญชนบัญญัติ หมายความว่า เป็นถัอยคำที่สามารถแสดงเนื้อความ
ให้รู้ให้ปรากฏได้
๖. ชื่อว่า อภิลาปบัญญัติ หมายความว่า ผู้ที่พูดย่อมนึกถึงเนื้อความ คือ
รูปร่างสัณฐานของวัตถุนั้น เช่น ภูเขา แล้ว จึงเปล่งเสียงพูออกมา
รวมความว่า ไม่ว่าคำใดคำหนึ่งก็ตาม ภาษาใดภาษาหนึ่งก็ตาม เช่นคำว่า ภูเขา
ก็มีชื่อเรียกได้เป็น ๖ อย่าง นามะ นามกัมมะ เป็นต้น ดังที่ให้กล่าวมาแล้วนี้
สัททบัญญัตินี้ เรียก นามบัญญัติก็ได้ อันหมายเฉพาะว่าเป็นนามบัญญัติ ดังนี้
กล่าวในข้อ ๑ ข้างบนนี้

สัททบัญญัติจำแนกได้เป็น ๖ ประเภท

ปัญญาปนโตบัญญัติ หรือ สัททบัญญัติ จำแนกได้เป็น ๖ ประเภท คือ วิชชมาน
บัญญัติ อวิชชมานบัญญัติ วิชชมาเนนอวิชชมานบัญญัติ อวิชชมาเนนวิชชมาบัญญัติ
วิชชมาเนนวิชชมานบัญญัติ และอวิชชมาเนนอวิชชมานบัญญัติ มีความหมายโดยย่อ ดัง
ต่อไปนี้
๑. วิชชมานบัญญัติ เป็นคำพูดที่มีคำเดียว และคำนั้นมีสภาวปรมัตถปรากฏอยู่
เช่นคำว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จิต เจดสิก นิพพาน เป็นต้น
๒. อวิชชมามบัญญัติ เป็นคำพูดที่มีที่มีคำเดียวเหมือนกัน แต่คำนั้นไม่มีสภาว-
ปรมัตถ์ปรากฏอยู่ เป็นโลกโวหารโดยแท้ เช่นคำว่า ภูเขา ต้นไม้ โต๊ะ เก้าอี้ แมว สุนัข
เป็นตัน
๓. วิชชมาเนนอวิชชมานบัญญัติ เป็นคำพูด ๒ คำ คำแรกเป็นปรมัตถ์ คำหลัง
เป็นโลกโวหาร เช่น อภิญญา ๖, พละ ๕, โพชฌงค์ ๗
คำว่า อภิญญา พละ โพชฌงค์ เป็นคำปรมัตถ์ คือ วิชชมานบัญญัติ และอยู่
หน้า ส่วนเลขที่บอกจำนวน ๕ , ๖ หรือ ๗ นั้นเป็นโลกโวหาร คือ อวิชชมานบัญญัติและ
อยู่หลัง จึงเรียกว่าวิชชมาเนนอวิชชมานบัญญัติ
๔. อวิชชมาเนนวิชชมานบัญญัติ เป็นคำพูด ๒ คำเหมือนกัน แต่คำแรกเป็นโลก
โวหาร คำหลังเป็นปรมัตถ์ เช่น ฉฬภิญฺโญ ปญฺจพโล สตฺตโพชฺฌงฺโค

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 19 ธ.ค. 2024, 06:20 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บัญญัติธรรม

คำที่บอกจำนวน ปญฺจ=๕, ฉ= ๖, สตฺต=๗ นั้นเป็นโลกโวหาร คือ อวิชชมาน
และอยู่ข้างหน้า ส่วนคำว่า ภิญฺโญ=อภิญญา พโล=พละ โพชฺฌงฺโค=โพชฌงค์
ซึ่งเป็นปรมัตถ์ คือ วิชชมาน และอยู่หลัง ดังนั้นคำบาลี ที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้จึงเป็น
อวิชชมาเนนวิชชมานบัญญัติ
๕. วิชชมาเนนวิชชมานบัญบัญติ เป็นคำพูด ๒ คำ ซึ่งทั้งคำแรกและคำหลังเป็น
ปรมัตถ์ด้วยกันทั้งคู่ เช่น จักขุวิญญาณ โลภจิต โลกุตตระ อภิญญา เป็นต้น
๖. อวิชชมาเนนอวิชชมานบัญญัติ เป็นคำพูด ๒ ซึ่งทั้งคำแรกและคำหลัง
ป็นโลกโวหารด้วยกันทั้งคู่ เช่น ราชบุตร ราชรถ ภรรยาเศรษฐี พี่สะใภ้ น้องเขย
เป็นต้น

สรุปพอให้จำง่ายได้ดังนี้
วิชชมานบัญญัติ -> เป็นคำปรมัตถ์
อวิชชมานบัญญัติ -> เป็นคำโลกโวหาร
วิชชมาเนนอวิชชมานบัญญัติ -> คำปรมัตถ์อยู่หน้า คำโลกโวหารอยู่หลัง
อวิชชมาเนนวิชชมานบัญญัติ -> คำโลกโวหารอยู่หน้า คำปรมัตถ์อยู่หลัง
วิชชมาเนนวิชชมานบัญญัติ -> คำหน้าและคำหลังเป็นปรมัตถ์ทั้งคู่
อวิชชมาเนนอวิชชมานบัญญัติ คำหน้าและคำหลังเป็นโลกโวหารทั้งคู่
คำพูดทั้งหลายเป็นบัญญัติทั้งนั้น

คำปรมัตถ์ คือคำที่มีสภาวปรมัตถ์ปรากฏอยู่นั้น เป็นคำที่มีลักขณาทิจตุกะ คือ
ลักษณะ รสะ ปัจจุปัฏฐาน และ ปทัฏฐาน
คำโลกโวหาร คือทำที่ในมีสภาวปรปรมัตถ์ปรากฏอยู่นั้น เป็นคำที่ไม่มีลักขณาทิจตุกะ

แสดงความเป็นไปที่รู้ความหมายของสัททบัญญัติ

มีคาถาที่แสดงถึงวิถีจิตที่ให้รู้ความหมายในศัพทบัญญัติ อัตถบัญญัติแระการตั้งชี่อให้
ปรากฎแก่ชนทั้งหลาย เป็นทำนอง ปัจฉิมคาถาแห่งบัญญัติธรรมรวม ๒ คาถา คือ
๓๐. วจีโฆสานุสาเรน. โสตวิญญาณวีถิยา
ปวตฺตานนฺตรุปฺปนฺน มโนทฺวารสฺส โคจรา ฯ

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 19 ธ.ค. 2024, 06:57 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: บัญญัติธรรม

๓๒. อตฺถา ยสฺสานุสาเรน วิญฺญายนฺติ ตโต ปรํ
สายํ ปญฺญตฺติ วิญฺเญยฺยา โลกสงฺเกตนิมฺมิตา ฯ

แปลความว่า
บุคคลทั้งหลาย ได้รู้ถึง อัตถบัญญัติ คือ วัตถุสิ่งของ เรื่องราว ๆ โดย
เป็นไปตามนามบัญญัติ ภายหลังจากนามัคคหณวิถี, นามบัญญัติซึ่งเป็น อารมณ์ของ
นามัคคหณวิถีที่เกิดขึ้นในลำดับแห่ง โสตทวารวิถี และอตีตัคคหณวิถี สมูหัคคหณวิถี ซึ่ง
เกิดขึ้น เป็นไปตามคำพูดนั้น นักศึกษาพึงทราบนามบัญญัตินั้นว่า นักปราชญ์ทั้งหลาย
ย่อมตั้งขึ้นอนุโลมไปตามโวหารของโลก ทีละเล็กละน้อย
หมายความว่า เมื่อได้ยินเสียงตลอดจนรู้ความหมายนั้น วิธีจิตเกิด ๕ หรือ ๔ วิถี
ซึ่งได้กล่าวแล้วในคู่มือการศึกษาวิถีสังคหวิภาค ปริจเฉทที่ ๔ ตอน ตทนุวัตติกมโนทวาร
วิถี หรือ อนุพันธกมโมทรารวิถี ขอให้ดูที่นั่นประประกอบด้วย ในที่นี้จะกล่าวซ้ำเพียงโดย
ย่อ คือ
๑.ได้ยินเสียงที่กำลังปรากฏอยู่ เป็นวิถีแรก ชื่อ โสตวิญญาณ
๒. รู้เสียงที่ดับไปแล้ว เป็นวิถีที่ ๒ ชื่อ อตีตัคคหณวิถี
๓. รวมเสียงที่ได้ยิน เป็นวิถีที่ ๓ ชื่อ สมูหัคคหณวิถี แต่ถ้าเสียงนั้นพยางค์เดียว
วิถีนี้ก็ไม่มี เพราะไม่ต้องมีการรวมเสียงแต่อย่างใด
๔. รู้นามรู้ชื่อว่า้สียงนั้นเป็นอะไร เช่นรู้ว่าเป็นเป็ดเป็นไก่เป็นต้น เป็นวิถีที่ ๔
ชื่อ นามัคคหณวิถี
๕. รู้ความหมายแห่งรูปร่างสัณฐานว่า เป็ด ไก่ มีรูปทรงสัดส่วนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
เป็นวิถีที่ ๕ ชื่อ อัตถัคคหณวิถี
สัทหบัญญัติและอัตถบัญญัติ ที่ปรากฎอยู่ในโลกทุกวันนี้ ก็เพราะนักปราชญ์ทั้งหลาย
ในอดีตและปัจจุบัน ได้บัญญัติขึ้น สมมติขึ้น ตั้งขึ้น อนุโลมไปตามโวหารของโลกทีละ
เล็กทีละน้อย แม้ต่อไปในอนาคต ก็จะต้องมีการบัญญัติขึ้นใหม่อีกเรื่อย ๆ ตลอดไป ให้สม
กับที่เรียกว่าเป็นความเจริญรุ่งเรืองของชาวโลก

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/