ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
สังขาร http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=65160 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 10 ธ.ค. 2024, 05:31 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | สังขาร | ||
องค์ที่ ๒ สังขาร สังขาร เป็นปัจจัยแก่ วิญญาณ คือ วิญญาณ จะปรากฏเกิดขึ้นได้ก็ สังขารเป็นปัจจัย ลักขณาทิจตุกะของสังขารมีดังนี้ อภิสงฺขรณลกฺขณา > มีการปรุงแต่ง เป็นลักษณะ อายูหนรสา > มีการพยายามให้ปฏิสนธิวิญญาณเกิดขึ้น หรือพยายามให้ผล คือ รูปขันธ์นามขันธ์เกิดขึ้น เป็นกิจ เจตนา ปจฺจุปฏฺฐานา > จงใจทำให้เกิดความสำเร็จ เป็นผล อวิชฺชา ปทฎฺฐานา > มี อวิชชา เป็นเหตุใกลั สังขารที่กล่าวแล้วในบทอวิชชานั้น เป็นสังขารที่เป็นปัจจยุบบันนธรรมของอวิชชา ซึ่งได้แก่ เจตนา ๒๙ หรือ กรรม ๒๙ ส่วนสังขารที่กล่าวถึงในบทนี้ เป็นสังขารที่เป็นปัจจัยธธรรม อุปการะช่วยเหลือให้ เกิดวิญญาณนั้น ก็ได้แก่เจตนา ๒๙ หรือ กรรม ๒๙ เหมือนกัน วิญญาณ ที่เป็นปัจจยุบบันนธรรมของสังขารนี้ มีแสดงเป็น ๒ นัย คือ อภิธัมม- ภาชนิยนัย ตามนัยแห่งพระอภิธรรม ๑ และ ชุดสุตตันตภาชนิยนัย ตามนัยแห่งพระสูตร ๑ ตามนัยแห่งพระอภิธรรมนั้น วิญญาณที่เป็นปัจยุบบันนธรรมของสังขาร ได้แก่ จิตทั้งหมด (และเจตสิกที่ประกอบกับจิตนั้น ๆ ด้วย) เพราะจิตจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยมี สังขารเป็นปัจจัย คือต้องมีสิ่งปรุงแต่ง ตามนัยแห่งพระสูตรนั้น วิญญาณที่เป็นปัจจยุบบันธรรมของสังขารก็ได้แก่ โลกีย วิปากวิญญาณ ๓๒ คือ อกุสลวิบากจิต ๗ อเหตุกกุลวิบากจิต ๘, มหาวิบากจิต ๘. และ มหัคควิบากจิต ๙ เท่านั้น โลกียวิบากวิญญาณ ๓๒ อันเป็นปัจจยุบบันนธรรมของสังขารนี้ ยังจำแนกได้เป็น ๒ จำพวก คือ วิญญาณที่เกิดในปฏิสนธิกาล มีชื่อว่า ปฏิสนธิวิญญาณ ได้แก่ปฏิสนธิจิต ๑๙ ดวงนั้นพวกหนึ่ง ปฏิสนธิวิญญาณ ๑๙ ดวงนี้ก็อยู่ในจำนวนโลกียวิบากวิญญาณ ๓๓ นั้นเอง วิญญาณที่เกิดในปวัตติกาล มีชื่อว่า ปวัตติวิญญาณ ได้แก่โลกียวิบากจิต ๓๒ อีกพวกหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ทำกิจปฏิสนธิ แต่ทำภวังคกิจ และกิจอื่จอื่น ๆ
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 10 ธ.ค. 2024, 06:38 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขาร |
อบุญญาภิสังขาร ๑. อปุญญาภิสังขาร เฉพาะเจตนาในอกุศลจิต ๑๑ ดวง (เว้นอุทธัจจเจตนา) เป็น ปัจจัยธรรม ให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณเป็นปัจจยุบบันธรรมในปฏิสนธิกาล คือ อุเบกขา สันตีรณอกุศลวิบาก ๑ ดวง ให้ปฏิสนธิในอบายภูมิทั้ง ๔ เป็นพวกทุคติอเหตุกบุคคล ซึ่ง มักเรียกกันสั้น ๆ ว่า ทุคติบุคคล ๒. อบุญญาภิสังขาร ได้แก่เจตนาในอกุสลจิตทั้ง ๑๒ ดวง เป็นปัจจัยธรรม ให้เกิด ปวัตติวิญญาณเป็นปัจจยุบบันนธรรมในปวัตติกาล คือ อกุสลวิบากจิต ๗ ดวง ให้ได้เห็น (จักขุวิญญาณ)ให้ได้ฟัง(โสตวิญญาณ)ให้ได้กลิ่น (ฆานวิญญญาณ)ได้รับรส(ชิวหา วิญญาณ), ให้ได้การสัมผัสถูกต้อง (กายวิญญาณ), ให้มีการรับอารมณ์ (สัมปฏิจฉันนะ), ให้มีการไต่สวนอารมณ์ (สันตีรณะ) และการรับอารมณ์ต่อจากชวนะ (ตทาลัมพนะ) ล้วน แต่เป็นสิ่งที่ไม่ดี ตลอดจนการรักษาภพรักษาชาตินั้น (ภวังคจิต) ด้วย บุญญาภิสังขาร ๑. บุญญาภิสังชาร ได้มาเจตนาในมหากุสลชนิดที่เป็นทวิเหตุกโอมกุกกัฏฐะ และ ทวิเหตุกโอมโกมกะ เป็นปัจจัยธรรม ให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณเป็นปัจจยุบบันนธรรมในปฏิสนธิ กาล คือ อุเบกขาสันตีรณกุสลวิบาก ๑ ดวง ให้ปฏิสนธิเป็นมนุษย์ และเทวดาชั้นต่ำ มี ความพิกลพิการ บ้า ใบ้ หนวก บอด เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นพวก สุคติอเหตุกบุคคล ๒. บุญญาภิสังขาร ได้แก่เจตนาในมหากุศลที่เป็นตืเหตุกโอมกุกกัฏฐะ ติเหตุก- โอมโกมกะ, ทวิเหตุกอุกกัฏฐุกกัฏฐะ และ ทวิเหตุกอุกกัฏโฐมกะ เป็นปัจจัยธรรม ให้เกิด ปฏิสนธิวิญญาณ เป็นปัจจยุบบันนธรรมในปฏิสนธิกาลคือ มหาวิบากญาณวิปปยุตต ๔ ดวง ให้ปฏิสนธิเป็นมนุษย์และเทวดาที่ไม่ประกอบด้วยปัญญามาแต่กำเนิด ซึ่งเรียกว่าเป็นพวก ทวิเหตุกบุคคล ๓. บุญญาภิสังขาร ได้แก่เจตนาในมหากุสลชนิดที่เป็นที่เหตุกกัฏอุกกัฏฐะ และ ติเหตุกอุกกัฏโฐมกะ เป็นปัจจัยธรรม ให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณเป็นปัจจยุบบันนธรรมใน ปฏิสนธิกาล คือ มหาวิบากญาณเส้นปยุตต ๔ ควง ให้ปฏิสนธินมนุษย์และเทวดาที่ ประกอบด้วยปัญญามาแต่กำเนิด ซึ่งเรียกว่าเป็นพวก ติเหตุกบุคคล ๔. บุญญาภิสังขาร ทั้ง ๓ ข้อนี้ที่แก่เจตนาในมหากุศลทั้ง ๔ เป็นปัจจัยธรรม |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 10 ธ.ค. 2024, 08:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขาร |
ให้เกิดปวัตติวิญญาณเป็นปัจยุบบันนธรรรมในปวัตติกาล คือ ก. อเหตุกกุสลวิบาก ๘ ดวง ให้ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัฏถูกต้อง การรับอารมณ์ การไต่ส่วนเอารมณ์ และการรับอารมณ์ค่อจากซวนะ เหล่านี้ล้วนแต่ที่ดีทั้งนั้น ข. มหาวิบาก ๘ ดวง ทำหน้าที่รักษาภพรักษาชาตินั้น ๆ (ภวังคจิต) ด้วย เจตนาในมหากุลมจิต ๘ ดวง ที่จำแนกเป็น ติเหตุกอุกกัฎฐุกกัฏฐะ ติเหตุกอุกกัฐ- โฐมกะ ติเหตุกโอมกุกกัฏฐะ ติเหตุกโอมโกมกะ ทวิเหตุกอุกกัฏฐุกกัฏฐะ ทวิเหตุกอุกกัฏโฐมกะ ทวิเหตุกโอมกุกกัฏฐะ และทวิเหตุกโอมโกมกะ รวม ๘ ดังนี้ ได้กล่าวไว้แล้วในปริเฉทที่ ๕ หมวดที่ ๓ กัมมจตุกะตอนที่ตั้งแห่งวิบากจิต(ปากฐาน) นั้นแล้ว จึงไม่กล่าวซ้ำในที่นี้อีก ๕.บุญญาภิสังขาร ได้มาเจตนาในรูปาวจรกุสลจิต ๕ ดวง เป็นปัจจัยธรรม ให้ เกิดปฏิสนธิวิญญาณเป็นปัจจยุบันธรรมในปฏิสนธิกาล คือ รูปร่างหน้าตา ๕ ดวง ให้ปฏิสนธิเป็นรูปพรหมในรูปภูมิ ซึ่งรียกว่าเป็นพวกที่เหตุกบุคคล เหมือนกัน ๖. บุญญาภิสังขาร ได้แก่เจตนาในรูปาวจรกุศลดวง ๕ ดวง เป็นปัจจัยรรวม ให้ เกิดในปวัตติกาล(จักขุวิญญาณ)ให้ได้ยิน(โสตวิญญาณ) มีการรับอารมณ์(สัมปฎิจฉันนะ) และการไต่สวนอารมณ์ (สันตีรณะ) ล้วนแต่ที่ดีทั้งนั้น พร้อมทั้งการรักษาภพรักษาชาติ นั้น ๆ (ภวังคจิต) ด้วย อเนญชาภิสังขาร ๑. อาเนญชาภิสังขาร ให้แก่เจตนาในอรูปาวจรกุสลใด ๔ ดวง เป็นปัจจัยธรรม ให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณ เป็นปัจจุบันธรรมในปฏิสนธิกาล คือ อรูปาวจรวิบากจิต ๔ ให้ปฏิสนธิเป็นอรูปพรหมในอรูปภูมิ ซึ่งเรียกว่าเป็นจำพวก ติเหตุกบุคคล ๒. อาเนญชาภิสังธาร ได้แก่เจตนาในอรูปาวจรกุสลจิต ๔ ดวง เป็นปัจจัยธรรม ให้เกิดปวัตติวิญญาณเป็นปัจจยุบบันนธรรมในปวัตติกาล คือ อรูปาวจรวิบากจิต ๔ ทำ หน้าที่ภวังคกิจ รักษาภพรักษาชาตินั้น ๆ ในบทสังขารเป็นปัจจัยแก่วิญญาณนี้ มีข้อที่ควรสังเกอยู่ว่า สังขาร ๓ ที่เป็นหตุให้เกิดวิญญาณ จำแนกได้เป็น ๒ ประเภท คือ สังขาร ๓ ที่เป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณนั้น ได้แก่เจตนา ๒๘ โดยต้องเว้นอุทธัจจเจตนาเสีย ๑.เพราะ อุทธัจจเจตนาไม่สามารถส่งผลให้เป็นปฏิสนธิได้ ส่วนสังขาร ๓ ที่เป็นปัจจัยให้ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 10 ธ.ค. 2024, 14:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขาร |
เกิดปวัตติวิญญาณนั้น ได้แก่เจตนาทั้ง ๒๙ ดวง เหตุที่อุทธัจจเจตนาไม่สามารถให้เป็นปฏิสนธิได้นั้น ได้กล่าวไว้ไนปริเฉจที่ ๕ หมวดที่ ๓ กัมมจตุกะ ตอนที่ตั้งแห่งวิบากจิต (ปากฐาน) นั้นแล้ว จึงไม่กล่าวซ้ำในที่นี้อีก วิญญาณที่เป็นปัจจยุบบันนธรรมของสังขาร ก็จำแนกได้ป็น ๒ จำพวกคือ ปฏิสนธิ วิญญาณได้แก่ปฏิสนธิจิต ๑๙ และปวัตติวิญญาณ ได้แก่โลกียวิบากวิญญาณ ๓๒ โลกียวิบากวิญญาณ ๓๒ นั้น เกิดได้ในปวัตติกาลอย่างเดียวมี ๑๓ ดวง คือ ทวิ ปัญจวิญญาณ ๑๐, สัมปฏิจฉันนจิต ๒ และโสมนัสสันดีรณจิต ๑ ส่วนปฏิสนธิวิญญา ๑๙ นั้น นอกจากทำปฏิสนธิกิจในปฏิสนธิกาลโดยตรงแล้วในปวัตติกาลก็ยังเกิดจิต ๑๙ ดวงนี้ได้ แต่ว่าเกิดขึ้นมาทำกิจอย่างอื่น ซึ่งไม่ใช่ปฏิสนธิกิจ ปัจจัย ๒๔ ที่เกี่ยวแก่สังขาร ในบทสังขารเป็นปัจจัยแก่วิญญาณนี้ เมื่อกล่าวโดยปัจจัย ๒๔ แล้วก็เป็นไปได้ ด้วยอำนาจแห่งปัจจัยเพียง ๒ ปัจจัย คือ ๑. ปกตูปนิสสยปัจจัย และ ๒. นานักขณิกกัมมปัจจัย ความหมายแห่ง ปกตูปนิสสยปัจจัย นั้นได้กล่าวแล้วในบทก่อน ในบทนี้ก็มีนัยเป็น ทำนองเดียวกันนั้นเอง จึงไม่ต้องกล่าวซ้ำอีก ส่วน นานักขณิกกัมมปัจจัย หมายถึงกรรม หรือ สังขาร คือเจตนาที่เกิดต่างขณะกัน (คือเจตนาที่ดับไปแล้วนั้น) เป็นปัจจัยช่วยอุปการะแก่นามและรูปที่เกิดจากกรรมนั้น ๆ ดังนั้น ในที่นี้จึงได้แก่ สังขาร (เจตนา) เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัย วิญญาณ (วิบากวิญญาณ ๓๒) เป็นนานักขณิกกัมมปัจจยุบบัน แสดงปฏิสนธิวิญญาณโดยนัยต่าง ๆ ปฏิสนธิวิญญาณ คือปฏิสนธิจิต ซึ่งมีจำนวน ๑๙ ดวงนี้ มีการแสดงโดยนัยต่างๆ ดังต่อไปนี้ กล่าวโดย นัยแห่ง มิสสกะ และ สุทธะ แล้วก็มี ๒ คือ ๑. รูปมิสสกวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณที่มีรูปเกิดพร้อมด้วยนั้น มี ๑๕ ดวง ได้แก่ อุเบกขาสันตีรณะ ๒, มหาวิบาก ๘ และรูปาวจรวิบาก ๕ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 10 ธ.ค. 2024, 15:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขาร |
๒. รูปอามิสสกวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณที่ไม่มีรูปเกิดพร้อมด้วยนั้นมี ๔ ดวง ได้แก่ อรูปาวจรวิบาก ๔ เพราะไม่มีรูปเกิดมาปะปนด้วย จึงใต้ชื่อว่า สุทธะ กล่าวโดย นัยแห่งภูมิ ก็มี ๓ คือ ๑. กามวิญญาณ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในกามภูมิ มีจำนวน ๑๐ ดวง ได้แก่ อุเบกขาสันตีรณะ ๒ และมหาวิบาก ๘ ๒. รูปวิญญาณ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในรูปภูมิ มีจำนวน ๕ ดวง ได้แก่ รูปาวจรวิบาก ๕ ๓. อรูปวิญญาณ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในอรูปภูมิ มีจำนวน ๔ ควง ได้แก่ อรูปาวจรวิบาก ๔ กล่าวโดย นัยแห่งกำเนิด ก็มี ๔ คือ ๑. อัณฑชวิญญาณ คือ ปฏิสนธิวิญญาณไม่ไข่ มีจำนวน ๑๐ ดวงได้แก่ อุเบกขา สันตีรณะ ๒ และมหาวิบาก ๘ ๒. ชลาพุชวิญญาณ คือ ปฏิสนธิวิญญาณในครรภ์มารดา มีจำนวน ๑๐ ดวง ได้แก่ อุเบกขาสันตีรณะ ๒ และ มหาวิบาก ๘ ๓. สังเสทชวิญญาณ คือ ปฏิสนธิวิญญาณในที่เปียกขึ้น มีจำนวน ๑๐ ดวง ได้แก่ อุเบกขาสันตีรณะ ๒ และ มหาวิบาก ๘ ๔. โอปปาติกวิญญาณ คือ ปฏิสนธิวิญญาณที่ไม่ได้อาศัยที่เกิดเหมือน ๓ อย่าง ข้างต้นนั้น แต่เกิดโดยอาการที่ผุดหรือโผล่ขึ้นมาเต็มที่เลยทีเดียวมีจำนวน ๑๙ ดวง คือ ปฏิสนธิวิญญาณทั้ง ๑๙ อันได้แก่ อุเบกขาสันตีรณะ ๒, มหาวิบาก ๘ และ มหัคคตวิบาก ๔ นั่นเอง กล่าวโดย นัยแห่งคติ ก็มี ๕ คือ ๑. เทวคติวิญญาณ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในเทวภูมิ ๖, ในรูปรูมิ ๑๕ และ อรูปภูมิ ๔ นั้น มีจำนวน ๑๘ ดวง ได้แก่ อุเบกขาสันตีรณกุสลวิบาก ๑, มหาวิบาก ๘ และมหัคคตวิบาก ๙ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 11 ธ.ค. 2024, 04:54 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขาร |
๒. มนุสสคติวิญญาณ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในมนุสสภูมิ มีจำนวน ๙ ดวงได้แก่ อุเบกขาสันตีรณกุสลวิบาก ๑ และ มหาวิบาก ๘ ๓. ติรัจฉานคติวิญญาณ ๔.เปตคติวิญญาณ ๕. นิรยคติวิญญาณ ทั้ง ๓ นี้มีปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง ได้แก่ อุเบกขาสันตีรณอกุสลวิบากดวงเดียวเท่านั้น กล่าวโดย นัย แห่งวิญญาณฐีติ คือ ภูมิอันปืนที่ตั้งแห่งวิญญาณนั้นนั้นก็มี ๗ ได้แก่ ๑. นานัตตกายนานัตตสัญญีวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่างต่างกันและ ปฏิสนธิจิตก็ต่างกัน อันได้แก่ปฏิสนธิในกามสุคติภูมิ ๗ นั้น มีปฏิสนธิวิญญาณ ๙ ดวง คือ อุเบกขาสันตีรณกุสลวิบาก ๑ และมหาวิบาก ๘ คำว่า นานัตตะ นี้บางทีก็ใช้อย่าง ทีฆะ ว่า นานาตตะ ๒. นานัตตกายเอกัตตสัญญีวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่างต่างกัน แต่มีปฏิสนธิวิญญาณอย่างเดียวกัน อันได้แก่ปฏิสนธิในอบายภูมิ ๔ และในปฐมฌานภูมิ ๓ รวม ๗ ภูมิด้วยกัน ปฏิสนธิในอบายภูมิ ๔ มีปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง คือ อุเบกขาสันดีรณอกุลล วิบากㆍ ปฏิสนธิในปฐมฌานภูมิ ๓ มีปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง คือ รูปาวจรปฐมฌาน วิบาก ๑ ๓. เอกัตตกายนานัตตสัญญีวิญญาณ ปฏิสนสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่างเหมือนกัน แต่มีปฏิสนธิวิญญาณต่างกัน อันได้แก่ปฏิสนธิในทุติยาฌานภูมิ ๓ มีปฏิสนธิวิญญาณ ๒ ดวง คือ รูปาวจรทุติยฌานวิบาก ๑ และ รูปาวจรตติยฌานวิบาก ๑ ๔. เอกัตตกายเอกัตสัญญีวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่างเหมือนกัน และมีปฏิสนธิวิญญาณก็อย่างเดียวกัน อันได้แก่ปฏิสนธิในตติยฌานภูมิ ๓, เวหัปผลาภูมิ ㆍ และสุทธาวาสภูมิ ๕ รวม ๙ ภูมิ มีปฏิสนธิวิญญาณ ๒ ดวง คือ ปฏิสนธิใน ตติยฌานภูมิ ๓ มีปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง คือ รูปาวจรจตุตถฌาน วิบาก ๑ ปฏิสนธิในเวหัปผลาภูมิ ๑ และ สุทธาวาสภูมิ ๕ นั้น มีปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง คือ รูปาวจรปัญจมฌานวิบาก ๑ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 15 ธ.ค. 2024, 03:54 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สังขาร |
๕.อากาสานัญจายตนวิญญาณ ปฏิสนธในอากาวานัญจายตนภูมิมีปฏิธปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง คือ อากาสานัญจายตนวิบาก ๑ ๖.วิญญาณัญจายตนวิญญาณ ปฏิสนธิในวิญญาญณัญจายตนภูมิมีปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง คือ วิญญาณัญจายตนวิบาก ๑ ๗.อากิญจัญญายตนวิญญาณ ปฏิสนธิในอากิญจัญญายตนภูมิมีปฏิสนธิวิญญาณ ๑ ดวง คือ อากิญจัญญายตนวิบาก ㆍ ตามนัยแห่งวิญญาณฐีตินี้ ไม่ได้กล่าวถึง อสัญญสัตตภูมิ และ เนวสัญญนา ญายตนภูมิเลย เพราะว่า อสัญญสัตตภูมิเป็นภูมิของสัตว์ที่ไม่มีปฏิสนธิวิญญาณ ส่วน เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ แม้จะเป็นภููมิของสัตว์ที่มีปฏิสนธิวิญญาณก็จริง แต่ว่า วิญญาณ นั้นไม่ปรากฏชัด จะว่ามีก็ไม่ใช่ จะไม่มีก็ไม่เชิง ด้วยเหตุนี้จึงไม่จัดเข้า วิญญาณฐีติ ๗. กล่าวโดยนัยแห่ง สัตตาวาสภูมิ คือ ภูมิอันเป็นที่อาศัยอยู่ของทั้งหลาย ซึ่ง จําแนกไว้ป็น ๙ ภูมิด้วยกัน ในจำนวน ๙ ภูมินี้มีอยู่ภูมิ ๑ ซึ่งเป็นที่อาศัยอยู่ของสัญญสัตต ผู้ไม่มีวิญญาณ จึงไม่ต้องกล่าวในที่นี้ด้วย คงจะกล่าวแต่เพียง ๘ ภูมิซึ่งเป็นภูมิที่อาศัยอยู่ ของสัตว์ที่มีวิญญาณ ดังต่อไปนี้ ๑. นานัตตกายภูมิ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่างต่าง ๆ กัน มี ๑๔ ภูมิ คือ กามภูมิ ๑๑ และ ปฐมฌานภูมิ ๓ ๒. เอกัตตกายภูมิ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีรูปร่างเหมือน ๆ กันมั้ย ๑๒ ภูมิ คือ ทุติยฌานภูมิ ๓, ตติยฌานภูมิ ๓, เวหัปผลาภูมิ ๑ และ สุทธาวาสภูมิ ๕ ๓. นานัตตสัญญีภูมิ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีปฏิสนธิจิตต่างกัน มี ๑๐ ภูมิ คือ กามสุคติภูมิ ๗ และ ทุติยฌานภูมิ ๓ ๔.เอกัตตสัญญีภูมิ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในภูมิที่มีปฏิปฏิสนธิจิตอย่างเดียวกัน มี ๖ ภูมิ คือ อบายภูมิ ๔, ปฐมฌานภูมิ ๓, ตติยฌานภูมิ ๓, เวหัปผลาภูมิ ๑ และ สุทธาวาสภูมิ ๕ ๕.อากาสานัญจายตนภูมิ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในอากาสานัญจายตายภูมิ ๑ ภูมิ ๖. วิญญานัญจายตนภูมิ หมายถึงปฏิตนธืวิญญาณในวิญญาณัญจายตนภูมิ ๑ ภูมิ ๗.อกิญญายตนภูมิ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในอากิญจัญญายตนภูมิ ๑ ภูมิ ๘. เนวสัญญานาสัญญาณตนภูมิ หมายถึงปฏิสนธิวิญญาณในเนวสัญญานาสัญญตนภูมิ ๑ ภูมิ กล่าวโดย นัยแห่งภพ ก็มี ๙ ภพ ซึ่งจะกล่าวต่อไปข้างหน้า |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |