ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
กายานุปัสสนา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=64659 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 06 ม.ค. 2024, 19:03 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | กายานุปัสสนา | ||
เทียบเคียงการกำหนครู้กับหลักฐานจากพระคัมภีร์ กายานุปัสสนา การกำทนดรู้ในขณะที่เห็น เมื่อสมถยานิกะเข้าถึงฌานใด ออกจากฌานนั้นแล้ว ย่อมพิจารณากำหนดรู้ ณานนั้น และรูปอันเป็นที่อาศัยของฌานนั้น พร้อมทั้งรูปเกิดเพราะฌานนั้น ฉันใด แม้วิปัสสนายานิกะ ก็ควรพิจารณากำหนรู้ฉันนั้นเช่นกัน คือ กำหนดรู้จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตกระทบสัมผัส จิตคิด ซึ่งเพิ่งจะเกิดขึ้นแล้วดับไป ในตอนนั้น พร้อมทั้งรูปอันเป็นที่อาศัยของจิตทั้งทลายเหล่านั้น และรูปที่เกิดเพราะ จิตเหล่านั้น รวมถึงรูปที่เป็นอารมณ์ของจิตเหล่านั้นด้วย ซึ่งข้อนี้ได้เปรียบเทียบ ไว้แล้วในปริเฉทที่ ๓ ที่ผ่านมา คำว่า "จิตเห็น" ในที่นี้ หมายถึง จักขุทวารวิถีทั้งวิถี ซึ่งเริ่มต้นที่อาวัชชนะ สิ้นสุดที่ตทารัมมณะ ทั้งนี้เพราะว่า ในการเจริญวิปัสสนานั้น โยคีไปสามารถนำ เอาจิตตุปบาทแต่ละดวงมากำหนดหรือพิจารณาแยกเป็นดวงๆได้เลย จึงต้อง กำหนดโดยวิถีจิตทั้งวิถี ตามที่ได้นำเสนอเทียบเคียงกับหลักฐานจากพระไตรปิฎก อัฏฐกถา และฎีกาไปแล้วนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปริเฉทที่ ๖ ตอนที่ว่าด้วยเรื่อง ของภังคญาณนั้น จะได้กล่าวถึงเรื่องนี้อีก ถามว่า : จะกำหนด "จิตเห็น" อย่างไร? ตอบว่า : ในขณะที่เห็น พึงกำหนดว่า "เห็นหนอ" ให้ทันในทุกขณะของการ เห็นเลยที่เดียว แม้ในขณะ อื่นๆก็พึงกำหนดโดยทำนองเดียวกันนี้ เช่น ในขณะที่ ได้ยินเสียง ก็พึงกำหนดว่า "ได้ยินหนอๆ"
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 07 ม.ค. 2024, 04:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กายานุปัสสนา |
ถามว่า : ในกรกำหนดว่า "เห็นหนอๆ" ในขณะที่เห็นอยู่นั้น เรียกว่า เป็นการกำหนดรู้สภาวธรรมใดฤๅ? ตอบว่า : เป็นการกำหนดรู้สภาวธรรม ๕ ประการ คือ จักขุปสาท รูปายตนะ จักวิญญาณ ผัสสะ และเวทนาโดยมีลักษณะของการกำหนดรู้ดังนี้ คือ หากจักขุรูป (จักขุปสาท) ที่มีความใสหมดจดนั้นปรากฏชัดขึ้นมาโยคีก็สามารถ เห็นจักษุรูปที่มีความใส เรียกว่า "จักขุปสาท" เป็นอารมณ์ แล้วในกรณี เดียวกัน หากสภาวธรรมฝ่ายที่เป็นรูปารมณ์ปรากฎชัดกว่า ก็เรียกว่าเป็นการรู้ รูป(สีสันวรรณะ) ซึ่งเรียกว่า "รูปายตนะ" นั้น เป็นอารมณ์หลัก โดยทำนองเดียวกัน หากจิตที่รู้ปรากฏเกิดขึ้นชัดกว่าทั้งสอง(จักขุปสาทและรูปายตนะ) ก็เรียกว่าเป็นการ รู้ตัวจิตซึ่งเป็นตัวเห็น ซึ่งเรียกว่า "จักวิญญาณ" นั้น เป็นอารมณ์หลัก หากการ กระทบสัมผัสระหว่างรูปสีสันกับการเห็นปรากฏชัดกว่า ก็เรียกว่าเป็นการกำหนด รู้การเห็นการกระทบสัมผัส ซึ่งเรียกว่า "จักขุสัมผัสสะ" นั้น เป็นอารมณ์หลัก โดยทำนองเดียวกัน หากเห็นแล้วรู้สึกดี เห็นแล้วรู้สึกไม่ดี เห็นแล้วรู้สึกทั้ง ดีและไม่ดี ก็เรียกว่าเป็นการกำหนดรู้ความรู้สึกจากการเห็นดังกล่าว ซึ่งเรียกว่า "จักขุสัมผัสสชาเวทนา" ถามว่า : ในการกำหนดนั้น ควรที่จะกำหนดโดยให้ศัพท์และความหมาย มีความสอดคล้องกัน เช่น หากจักขุปสาทปรากฎชัด โยคีก็ควรกำหนดด้วยภาษา ของตนให้สอดคล้องกับความหมายของคำบาลี ดังนี้ว่า "ตาใสหนอๆ" หรือ หากรูปสีสันปรากฏชัด ก็ควรกำหนดว่า "เห็นรูปหนอๆ" หรือหากจักขุวิญญาณ ปรากฏชัด ก็ควรกำหนดว่า "รู้เห็นหนอ" หรือหากผัสสะปรากฏชัด ก็ควรกำหนดว่า "ประจวบหนอ" หรือถ้าเวทนาปรากฏชัด ก็กำหนดว่า "รู้สึกหนอ" มิใช่หรือ? ตอบว่า : แม้จะควรกำหนดให้สอดคล้องกันก็ตาม แต่ว่า หากมัวแต่จดจ้อง กำหนดอยู่อย่างนั้น ในแต่ละครั้งที่มีการเห็นเกิดขึ้น ก็จะทำให้เกิดการพิจารณา ใคร่ครวญเกี่ยวกับการเห็นนั้นโดยทำนองที่ว่า "ธรรมใดหนอ จะปรากฎชัดกว่า เราจะกำหนดธรรมนั้นอย่างไรหนอ" ซึ่งการทำเช่นนี้จะก่อให้เกิดช่องว่างระหว่าง การกำหนดหน้ากับการกำหนดหลังได้ ซ้ำยังไม่สามารถกำหนดให้เป็นปัจจุบัน จะๆได้และไม่สามารถกำหนดจิตทั้งหลายที่ทำหน้าที่พิจารณาได้ จึงทำให้สติสมาธิ |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 07 ม.ค. 2024, 04:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กายานุปัสสนา |
และปัญญาแก่กล้าช้า ด้งนั้น โยคีจึงไม่ควรกำหนดโดยมัวแต่เน้นให้ศัพท์และ ความหมายมีความสอดคล้องกัน แต่ควรทำการกำหนดรู้โดยลักษณะพื้นๆ เช่น ในขณะที่เห็น ก็ควรพิจารณาว่า "เห็นหนอ" เท่านั้น ซึ่งการกำหนดเช่นนี้ จะทำให้ โยคีหมดปัญหาตามที่ได้กล่าวมาแล้วและก็จะทำให้โยคีผู้นั้นสามารถนันและ รู้สภาวะใดสภาวะหนึ่งที่ปรากฏชัดในขณะที่เห็นได้อย่างชัดเจน ก็ การที่โยคี สามารถรู้เช่นที่กล่าวมานี้นั้นจะทำให้สำนวนโวหารที่เป็นคำเรียกกิริยาอาการ เช่น "เห็นหนอ" ได้ชื่อว่าเป็นวิชชมานบัญญัติ ตัชชาบัญญัติ แก่โยคีผู้นั้นผู้ซึ่ง มุ่งประสงค์จะรู้ชัดแต่เพียงสภาวะของรูปนามทีปรากฎในขณะทีเห็นเท่านั้น คำว่า วิชชมานบัญญัติ นั้น หมายถึง ชื่อหรือนามบัญญัติที่ใช้เรียกปรมัตถ ธรรม ซึ่งมีปรากฏอยู่จริง ก็แล ชื่อของปรมัตถ์นี้ ยังได้ชื่อว่าตัชชาบัญญัติด้วย ในฐานะเป็นสื่อแสดงให้รู้ถึงสภาวะของปรมัตถ์ ซึ่งเกิดขึ้นโดยสอดคล้องต้องกัน ตามที่มีอยู่จริงดังที่ในคัมภีร์ทั้งหลายท่านได้ตั้งรูปวิเคราะห์ให้คำจำกัดความไว้ดังนี้ว่า ตสฺส ปรมตฺถสภาวสฺส อนุรูปํ ชายตีติ ตชฺชา, สา เอว ปญฺญาเปตพฺพํ ปรมตฺถสภาวํ ปญฺญาเปตีติ ตชฺชาปญฺญตฺติ. สาเหตุที่เรียกว่า ตชฺชา เพราะเป็นชื่อหรือนามบัญญัติที่ตั้งขึ้นโดยสอดคล้อง กับสภาวะปรมัตถ์นั้น เนื่องจากเป็นทั้งชื่อหรือนามที่ตั้งขึ้นโดยสอดคล้องกับ สภาวะปรมัตถ์และสามารถสื่อสภาวะปรมัตถ์ให้บุคคลเข้าใจได้ ดังนั้น จึงเรียกชื่อ หรือนามนั้นว่า ตัชชาบัญญัติ ตามนัยที่กล่าวมานี้ พึงทราบว่า ชื่อหรือนามของปรมัตถ์ทั้งหมดทั้งปวงไม่ว่า จะเป็นชื่อที่เป็นภาษาใดๆ เช่น ชื่อในภาษาบาลีว่า ปถวี, ผสฺส ดังนี้เป็นต้น หรือชื่อ ในภาษาไทย เช่น ดิน, แข็งกระด้าง, นุ่ม, เห็น, ได้ยิน เป็นต้น ก็ล้วนแล้วแต่ได้ ชื่อว่าเป็นตัชชาบัญญัติทั้งสิ้น ซึ่งประเด็นนี้ก็ได้แสดงไปแล้วในตอนที่ว่าด้วยเรื่อง ปรมัตกับบัญญัติในปริเฉทที่ ๓ ที่ผ่านมา ถามว่า : หากโยคีทำการกำหนดโดยใช้ชื่อที่เป็นตัชชาบัญญัติ เช่น "เห็นหนอ" เป็นต้น แล้วจะไม่เป็นการกำหนดอารมณ์ที่เป็นบัญญัติดอกหรือ? ตอบว่า : ใช่ หากเป็นแต่ในตอนช่วงต้นๆที่ภาวนายังไม่แก่กล้าเท่านั้น ด้วยว่า ในตอนเริ่มต้นเจริญวิปัสสนานั้น หากโยคีผู้ใดได้ทำการกำหนดรู้โดยใช้ชื่อเป็นตัว |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 07 ม.ค. 2024, 06:51 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: กายานุปัสสนา | ||
กำหนดไซร้ โยคีนั้นก็จะมีจิตตั้งมันอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นเหตุให้สามารถรู้สภาวะ ของนามรูปตามความเป็นจริงและสามารถทำลายสันตติฆนบัญญัติกล่าวคือทิวแถว แห่งรูปนามจนทะลุทะลวงมองเห็นไตรลักษณ์ตามความเป็นจริงได้ในที่สุด ยิ่งเมือ ภาวนาของโยคีนั้นแก่กล้าเต็มที่แล้ว ก็จะทำให้จิตที่กำหนดอยู่นั้นสามารถละทิ้ง อารมณ์ที่เป็นปัญญัติได้โดยอัตโนมัติ โดยจะรับรูปนามปรมัตถ์แท้ที่กำลังเกิดดับอยู่ มาเป็นอารมณ์เท่านั้น สำหรับโยคีผู้ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ควร พีจะปลงใจเชื่อตามนยะหรือหลักการที่ท่านได้แสดงไว้ในคัมภีวัวิสุทธิมรรคมหาฏิกา (๑/๒๖๖) ดังนี้ว่า นนุ จ ตชฺชาปญฺญตฺติวเสน สภาวธมฺโม คยฺหตีติ?, สจฺจํ คยฺหติ ปุพฺพภาเค ภาวนาย ปน วทฺฒมานาย ปญฺญตฺติ สมติกฺกมิตฺวา สภาเวเยว ติฏฐติ. ถามว่า : ควรที่โยคีจะกำหนดรู้(มนสิการ) สภาวธรรมโดยอาศัยชื่อหรือนาม ที่เป็นตัชชาบัญญัติหรือไม่? ตอบว่า : ในตอนเริ่มต้นของการปฏิบัตินั้น โยคีสามารถทำการกำหนด เช่นนั้นได้ แต่เมื่อภาวนาแก่กล้าแล้ว จิตของโยคีนั้นจะสามารถข้ามพ้นบัญญัติ ดังกล่าวแล้วรับเอาสภาวะปรมัตถ์เท่านั้นเป็นอารมณ์ นี่คือคำที่กล่าวไว้ในพุทธานุสสติวรรณนา ตอนที่ว่าด้วยการอธิบายเกี่ยวกับ พุทธานุสสติกัมมัฏฐาน แม้ถึงกระนั้น คำฎีกานี้ก็สามารถเป็นสาธกหลักฐานที่จะ ทำให้เรามีความเชื่อถือเป็นแบบในเรื่องของวิปัสสนาได้ อนึ่ง ในช่วงที่วิปัสสนาญาณทั้งหลายมีอุทยัพพยญาณเป็นต้น เกิดขึ้นนั้น เนื่องจากรูปนามปรากฏรวดเร็วมากจึงทำให้ไม่สามารถที่จะกำหนดโดยออกชื่อ ได้ทัน จึงเพียงแต่กำหนดรู้สภาวะการเกิดดับได้เท่านั้น ซึ่งข้อนี้โยคีจะได้ศึกษา ในปริเฉทที่ ๕ และก็จะได้ประสบกับตัวเองโดยตรงในเวลาปฏิบัติถึงญาณเหล่านั้น เพราะฉะนั้น โยคีจึงไม่ควรนั่งนึกตรึกเอาว่า เราจะต้องกำหนดธรรมใด สภาวะใด แต่จะต้องสำเหนียกว่า ทุกๆครั้งที่มีการเห็น ก็ให้กำหนดรู้ว่า "เห็นหนอๆ" ผู้ที่ กำหนดเช่นนี้ได้อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งสภาวธรรมปรากฏชัดนั้น ในเบื้องต้นของ การปฏิบัตินั้น สภาวธรรมที่จะปรากฎแก่โยคีนั้น ก็จะปรากฎโดยลักขณะ ปัจจุปัฏฐานและปทัฏฐานอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น โยคีก็จะรู้ตามทันสภาวธรรมที่ ปรากฏนั้น เพราะฉะนั้นเพื่อให้โยคีสามารถกำทนดรู้ได้อย่างถูกต้อง และให้ สภาวธรรมปราฏได้อย่างถูกต้องในคัมภีร์วิสุทธิมรรคท่านจึงได้กล่าวคำนี้ว่า ลกฺขณรสาทิวเสนปริคฺคเหตพฺพา โยคีพึงกำหนโดยความเป็นลักขณะรสะเป็นต้น ซึ่งคำอธิบายข้อความนี้ผู้เขียนได้กล่าวไว้แล้วในปริเฉทที่ ๓ ตอนว่าด้วยเรื่องของ การปฏิบัติที่ควรถือเป็นแนวทาง การหยั่งรู้ลักษณะของสภาวธรรม ทั้งที่ไม่มีสุตะ
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 13 ม.ค. 2024, 13:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กายานุปัสสนา |
การรู้ที่ประจักษ์แจ้งกับสุตะ"สิ่งที่ตนได้เคยเล่าเรียนมา" ขึ้นชื่อว่าปุถุชนทั้งหลายสามารถที่จะรูประจักษ์แจ้งรูปนามฝ่ายกามาวจรได้ ทั้งนี้เพราะว่า สภาวะเหล่านั้นปรากฏเกิดขึ้นในขันธสันดานของตนโคยตรง และ เพราะว่าเป็นสภาวธรรมที่ปรากฎในทวารทั้งหก จึงสามารถรู้ได้โดยประจักษ์แจ้ง แม้ด้วยการเจริญภาวนา แต่สำหรับบุคคลผู้เป็นฌานลาภีหรือผู้ที่ได้ฌานแล้วย่อม สามารถรูประจักษ์แจ้งมหัคคตธรรมทั้งหลาย ก็ในตอนที่รูประจักษ์แจ้งอย่างนั้น ย่อมสามารถรู้ตามความเป็นจริง เช่น รู้ว่า ปฐวี จิต ผัสสะ เป็นต้นตามที่คัมภีร์ได้ แนะนำไว้นั้นมีสภาวะเช่นนี้ๆและตามที่เป็นจริงงอาศัยสุตะทีตนได้ยินได้ฟังมา เช่น ปฐวี จิต ผัสสะ เป็นต้นที่พระธรรมกถึกได้เคยแสดงให้เราฟังนั้น แท้จริงแล้ว มีสภาวะเช่นนี้ๆนั่นเทียว อุปมาเหมือนกับผู้ที่ไม่เคยรับประทานองุ่น ตอนแรกก็ยัง ไม่รู้รสชาติองุ่นตามความเป็นจริง แม้จะได้รับข้อมูลจากบุคคลอื่นเล่าให้ฟังมาแล้ว ก็ตาม แต่เมื่อใดที่บุคคลนั้นได้รับประทานด้วยตนเองแล้ว ก็จะสามารถรู้รสของ องุ่นว่ามีรสชาติเช่นไร ตรงกับที่บุคคลอื่นอธิบายไว้เช่นไร อุปมาฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น ก็ในเรื่องนี้ บุคคลคิดว่า "ปุถุชนทั้งหลายไม่สามารถรู้แจ้งเฉพาะโลกุตตรธรรมเท่านั้น ส่วนโลกิยธรรมทั้งหมดสามารถที่จะรู้แจ้งได้" ความจริงแล้ว ไม่ควรที่จะคิดเช่น การอุปมาด้วยผลองุ่นนี้ ก็เพื่อที่จะให้เป็นข้อคิด โดยมิให้เกิดความคิดตามที่กล่าวมา แล้วนั่นเอง ผู้ที่บอดมาแต่กำเนิดนั้นไม่สามารถที่จะรู้รูปารมณ์ได้ตามความเป็นจริง ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อธิบายไว้แล้วข้างต้น |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |