ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ลักษณะความปรากฏของมรรคจิต http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=64595 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 20 ธ.ค. 2023, 14:02 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | ลักษณะความปรากฏของมรรคจิต | ||
ลักษณะความปรากฏของมรรคจิต หลังจากทีละทิ้งอารมณ์ และจิตที่กำหนดซึ่งได้ชื่อว่า สังขารแล้ว จะปรากฏ การเข้าถึงความดับแห่งสังขาร(เข้าถึงพระนิพพาน)ก่อน แล้วหลังจากนั้นจะเห็นความ ตั้งอยู่สภาวะความดับของจิตนั้นเพียงชั่วขณะเดียว หลังจากนั้น ก็จะปรากฏ เหมือนกับตื่นจากภวังค์ หรือเหมือนกับผุดขึ้นจากผิวน้ำ คือหลังจากที่จิตเจ้าถึง ความดับแล้ว ก็จะออกมาทำการพิจารณา ซึ่งเรียกว่า ปัจจเวกขณะ ถ้าหากนัก ปฏิบัติเป็นผู้มีความรู้เรื่องปริยัติ ก็จะสามารถตัดสินได้ทันทีว่า จิตที่เข้าสภาวะ ความดับแห่งสังขารเป็นครั้งแรกนั้น ได้แก่ โคตรภูจิต ต่อจากนั้นจะเป็นวาระของ มรรคจิตซึ่งเป็นจิตที่ปราศจากสังขารและตั้งอยู่เพียงชั่ว ๑ ขณะ ส่วนจิตดวงสุดท้าย (ของวิถี)ซึ่งอุบัติขึ้นเพื่อเสวยผลต่อจากมรรคนั้น ได้แก่ ผลจิต เกี่ยวกับเรื่องนั้ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ได้อธิบายไว้ด้วยอุปมาดังต่อไปนี้ อุปมาเช่นบุรุษผู้ต้องการที่จะข้ามเหมืองน้ำขนาดใหญ่พอประมาณ(ครั้นเตรียม การพร้อมแล้ว) บุรุษนั้นได้วิ่งด้วยความเร็วสูงแล้วใช้มือคว้าเชือกหรือไม้มีผูกห้อย ไว้กับกิ่งไม้ ไกล้ฝั่งของเหมืองทางที่ตนกำลังจะกระโดดข้ามนี้ แล้วโหนเชือกหรือ ไม้พุ่งตัวกระโดด น้อมไปทางฝั่งทางโน้น พอเห็นว่าตัวเองกระโดดขึ้นมาอยู่เหนือ ฝั่งตรงกันข้ามแล้วจึงสลัดเชือกหรือไม้ที่ตนกาะอยู่นั้นทิ้ง แล้วกระโดดตัวลงสู่ พื้นฝั่งตรงกันข้ามด้วยอาการที่โงนเงน คือยังทรงตัวได้ไม่ดี แล้วค่อยๆทรงตัว อย่างช้าๆ ฉันใด แม้พระโยคาวจรนี้ก็ฉันนั้น คือในเบื้องต้น นักปฏิบัติผู้ปรารถนาที่จะข้ามภพ ไปหานิพพานอันเป็นฝั่งตรงกันข้ามกับภพ โยนิ คติ ฐิติ และนิวาสนั้น เบื้องต้นจะ ต้องวิ่งด้วยความเร็วสูงแล้วโหนเชือกคือรูป หรือไม้คือนามธรรม อย่างใดอย่างหนึ่ง มีเวทนา เป็นต้นที่ผูกห้อยไว้ที่กิ่งไม้คืออัตภาพ แล้วพิจารณาอาวัชชนจิตที่นำหน้า อนุโลมญาณว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ หรือเป็นของที่ไม่อยู่ในบังคับบัญชาก็ดี เสร็จแล้วกระโดดข้ามด้วยอนุโลมจิตดวงที่ ๑ โดยที่ยังไม่ปล่อยอารมณ์ที่พิจารณา นั้นในทันทีทันใด แล้วน้อมจิตไปสู่ฝั่งพระนิพพานด้วยอนุโลมจิตดวงที่ ๒ เหมือนกับ บุรุษกำลังน้อมกาย กระโดดไปฝั่งตรงกันข้ามฉันนั้น แล้วจึงขยับเข้าใกล้นิพพานซึ่ง กำลังจะถึงอยู่รอมร่อแล้วด้วยอนุโลมจิตดวงที่ ๓ เหมือนกับบุรุษกำลังกระโดดมา ถึงเหนือพื้นฝั่งตรงกันข้ามของเหมืองน้ำฉันนั้น เสร็จแล้วทันทีที่จิต(อนุโลมจิต)นั้น ดับลง ก็รีบสลัดทิ้งอารมณ์สังขารนั้น แล้วตกไปในนิพพานอันปราศจากสังขาร ด้วยโคตรภูมิ แต่เนื่องจากยังไม่สามารถรับนิพพานอย่างเดียวเท่านั้นมาเป็นอารมณ์ จึงทำอารมณ์ยังไม่แน่นอน แต่เมื่อได้บรรลุมรรคญาณแล้ว อารมณ์จึงจะตั้งอยู่โดย แน่วแน่และแน่นอนดุจบุรุษผู้ข้ามฝาก ซึ่งกำลังตกถึงพื้นของฝั่งตรงกันข้ามด้วย อาการที่โงนเงน เพราะยังทรงตัวได้ไม่ดีฉันนั้น อนึ่ง การยกอุปมาอุปไมยของพระอรรถกถาจารย์นี้ ช่างมีความเหมาะสมกัน เสียเหลือเกิน และนอกจากนี้ ในพระบาลี มัชฌิมปัณณาสก์ มหามาลุกยปุตตสูตร และอังคุตตรนิกาย นวนิบาต มหาวรรค ปัญจสูตร เป็นต้น ก็ทรงแสดงไว้เหมือนกันดังนี้
|
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 21 ธ.ค. 2023, 03:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลักษณะความปรากฏของมรรคจิต |
อานนท์ภิกษุในพระธรมวินัยนี้สงบระงับจากกามและอกุศลธรรมทั้งปวงแล้ว ย่อมบรรลุปฐมฌานที่ประกอบด้วยวิตก(ความตรึก)และวิจาร(ความตรอง)อันมี ความอิ่มใจและความสุขใจที่เกิดแต่วิเวก(ความปราศจากนิวรณ์)ภิกษุนั้นย่อมกำหนด พิจารณาธรรมทั้งหลายกล่าวคือรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณซึ่งเกิดขึ้น ขณะแห่งปฐมฌานนั้นว่า เป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นดั่งโรคที่รักษาไม่หายขาด เป็นดั่งฝี เป็นดั่งลูกศร เป็นดั่งบาป เป็นสิ่งที่คอยเบียดเบียนดุจอาพาธ เป็นธรรม แปลกหน้า เป็นภาพลวงตา เป็นของว่างเปล่า เป็นอนัตตา(สิ่งที่ไม่ใช่อัตดา) ดังนี้ ครั้นกำหนดพิจารณาอย่างนี้แล้วย่อมปฏิเสธจิต * จากรูปธรรม-นามธรรมเหล่านั้น และเมื่อปฏิเสธได้แล้วย่อมสามารถน้อมนำจิตไปสู่นิพพานธาตุ ซึ่งเป็นธาตุที่ ปราศจากความตาย มีคำถามว่า จะน้อมนำไปได้อย่างไร? วิสัชชนาว่า พึงน้อมนำ เข้าหานิพพานอย่างนี้ว่า "นิพพานธาตุอันเป็นการละอุปธิทั้งปวงและเป็นความสิ้นไป แห่งกิเลสตัณหา ทั้งเป็นการสำรอกความกำหนัดยินดี และเป็นความดับแห่งสังขาร ทั้งปวงนี้ เป็นสภาวะที่สงบและประณีต" ดังนี้ อนึ่ง ในขณะที่มรรคจิตเกิดขึ้นนั้นมิได้หมายความว่า จะต้องพิจารณาโดย กำหนดออกเสียงว่า "เอตํ สนตํ, เอตํ ปณีตํ" แต่เป็นเพียงการรู้แจ้งถึงความดับของ สังขารโดยอาการอันสงบ เหมือนกับได้เข้าไปรู้เข้าไปเห็นทีเดียว ส่วนญาณที่ ว่า สภาพความของสังขารเป็นสิ่งสงบ เป็นสิ่งประเสริฐดีเลิส นั้นจะปรากฎในช่วง เวลาของปัจเวกขณญาณเท่านั้น ดังที่ท่านอธิบายไว้ในอรรถกถา ของมัชฌิมปันณาสก์ -------------------------------------------------------------------------- * คำว่า "ปฏิเสธ" นี้ในอังคุตตรอรรถกถาขยายไว้ว่า นิปผนฺนวเสน นิวตฺเคติ = ปฏิเสธหรือห้ามด้วยอำนาจ แห่งการยังกิจให้สำเร็จ อนึ่ง ข้อที่ว่า "พระโยคาวจรปฏิเสธจิต" นั้นหมายถึงการผละจากอารมณ์อันเป็น สังขารภายหลังที่ได้บรรลุวิปัสสนาตามลำดับไปจนถึงอนุโลมญาณและโคตรภูจิตแล้วส่วนในมัชฌิมนิกาย อรรถกถา ท่านอธิบายว่า หรติ โมเจติ อปเนติ = เก็บเข้าที่เดิม คือปล่อย ได้แก่ นำออก |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 24 ธ.ค. 2023, 05:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลักษณะความปรากฏของมรรคจิต |
ด้วยการกำหนดนิพพานเป็นอารมเณ์นั้นแหละชื่อว่าย่อมน้อมนำมรรคจิตเข้าไป (มรรคจิตที่กำหนดนิพพานเป็นอารมณ์เกิดขึ้นท่านเรียกว่าน้อมนำจิตเข้าหานิพพาน) ในขณะที่มรรคจิตเกิดขึ้นนั้น มิได้เป็นการกำหนดออกเสียง ว่า "เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ"(นิพพานนี้สงบหนอ นิพพานนี้ประเสริฐหนอ) แต่เป็นการแทงตลอดนิพพาน นั้นโดยอาการอันสงบ นี้ชื่อว่าย่อมน้อมนำจิตไปสู่พระนิพพาน ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค ได้แสดงความเกิดขึ้นแห่งมรรคญาณซึ่งเป็นญาณ ที่เห็นพระนิพพานด้วยอาการที่ตรงกันข้ามกับอาการนั้น ภายหลังที่อนุโลมญาณ เกิดขึ้น โดยมีการกำหนดอาการอย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาอาการ ๔๐ อันประกอ ด้วยอาการไม่เที่ยง ๑๐ อาการ ที่เป็นทุกข์ ๒๕ และอาการที่เป็นอนัตตา ๕ โดยทรงจำแนกเป็น ๔๐ ตอน ซึ่งใน ๔๐ ตอนที่ว่านี้ จะขอยกมาอธิบายเพียง ๖ ตอน ดังต่อไปนี้ ปญฺจกฺขนฺเธ อนิจฺจโต ปสฺสนฺโต อนุโลมิกํ ขนฺตี ปฏิลภติ, ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ นิโรโธ นิจฺจํ นิพฺพานนฺติ ปสฺสนฺโต สมฺมตฺตนิยามํ โอกฺกมติ. (ขุ. ปฏิ. ๓๐/๓๗/๔๔๖) เมื่อพระโยคาวจรพิจารณาเห็นขันธ์ ๕ โดยความเป็นของไม่เที่ยงย่อมได้ อนุโลมญาณ และเมื่อได้เห็นว่าความดับของขันธ์ ๕ คือนิพพานอันเที่ยงแท้แล้ว ย่อมหยั่งลงสู่อริยมรรค ในข้อความที่ยกมานี้คำว่า "ปญฺจกฺขนฺเธ" เป็นเพียงคำสามัญซึ่งกล่าวรวมๆกัน เรียกว่าเป็น สัพพสังคาหิกวาจา (คำพูดที่กล่าวรวมเอาขันธ์ที่บุคคลจะพึงกำหนด |
เจ้าของ: | ลุงหมาน [ 24 ธ.ค. 2023, 09:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลักษณะความปรากฏของมรรคจิต |
ทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า ให้กำหนดพร้อมกันทีเดียวทีเดียวทั้งหมด แต่แท้จริง จะต้องเลือกกำทนดขันธ์ใดขันธ์หนึ่งนามในนามหนึ่งเท่านั้นในอนุโลมญาณ จึงจะเกิดได้ ด้งได้ยกมาแสดงไว้แล้วจากคัภีวิสุทธิมรรคเป็นต้นว่า รูปรชฺชุํ วา เวทนาทีสุอญฺญตรทฺฑํ วา... ซึ่งหมายความว่า เมือเจริญรูปอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือนามอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เวทนา สัญญา เป็นต้นย่อมได้อนุโลมญาณ นอกจากนี้ในคัมภีร์อรรถกถาอื่นๆ ท่านยังได้แสดงถึงความเกิดขึ้นของโคตรภูญาณ และอริยมรรคภายหลังจากทีอนุโมญาณเกิดขึ้น ซึ่งมีทั้งอนุโลมญาณที่กำหนดรูป เป็นอารมณ์และอนุโลมญาณ ที่กำหนดนามเป็นอาวมณ์ด้วยปาฐะ ว่า รูปา วุฏฐาติ อรูปา วุฏฐาติ แต่ไม่ได้แสดงว่าโคตรภูและมรรคญาณเกิดขึ้นต่อจากญาณที่กำหนด รวมนามรูปทั้งหมดพร้อมกันโดยตรง และคำว่า เอกปฺปหาเรน ปญฺจหิ ขนฺเธหิ วุฏฐาติ นั้น ก็ไม่ไช่เป็นคำตรงไปตรงมา หรือที่เรียกว่านิปปริยาย แต่เป็นคำชนิด สนฺธายภาสิตคือเป็นคำที่กล่าวโดยมุ่งหมายเอาเฉพาะวิปัสสนาญาณและมรรคญาณ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแก่บุคคลผู้มีปัญญาหลักแหลม ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นเพียงคำพูด โดยปริยายเท่านั้น เกี่ยวกับความหมายนี้ ในวิสุทธิมรรคมหาฎีกาท่าน ขยายความพร้อมทั้งแสดง เหตุผลที่ตรงกันข้ามไว้ว่า อญฺญถา เอเกเนว โลกิยจิตฺเตน ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ ปริคฺคหปริชานนาทีนํ อสมฺภวโต, น หิ สนิทสฺสนสปฺปฏิฆาหิ เอกชฺ อารมุมณํ กาตุํ สกฺกา. ไม่มีจิตแม้สักดวงในโลกที่จะรับรู้เอาอารมณ์คือขันธ์ ๕ โดยพร้อมกัน ที่จริง สนิทัสสนะกับสัปปฎิมะเป็นต้น นี้ไม่สามารถที่จะทำอารมณ์ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว กันได้ ส่วนข้อความที่ยกมาจากปฏิสัมภิทามรรคนั้นท่านมุ่งหมายให้รู้ว่าเมื่อโยคารจร กำลังกำหนดนามรูปอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งกำลังเกิด-ดับอยู่อนุโลมญาณก็จะเกิดโดย ยึดนามรูปดังกล่าวเป็นอารมณ์ ต่อจากนั้น โคตรภูญาณ และมรรคญาณรึงรู้แจ้ง ในภาวะที่ว่างเปล่าคือปราศจากความดับของนามรูปทั้งปวงด้วยลักษณะที่ทำให้ดู เหมือนเป็นนิจจัง |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |