ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

การไม่ให้ ไม่ได้เป็นมัจฉริยะเสมอไป
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=64560
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ลุงหมาน [ 11 ธ.ค. 2023, 04:19 ]
หัวข้อกระทู้:  การไม่ให้ ไม่ได้เป็นมัจฉริยะเสมอไป

การไม่ให้ ไม่ได้เป็นมัจฉริยะเสมอไป

เนื่องจากท่านได้กล่าวไว้ว่า มัจฉริยะถูกละด้วยอริยมรรคขั้นโสดาปัตติมรรค
เพราะฉะนั้น ก็ไม่ควรที่จะเข้าใจผิดไปด้วยว่า "ทุกๆครั้งที่มีการขอสิ่งของจาก
บุคคลผู้ที่เป็นโสดาบันแล้วพระโสดาบันนั้นจะต้องสละหรือจะต้องให้อย่างแน่นอน"
และไม่ควรเข้าใจผิดว่า "โสดาบันบุคคลนั้น ไม่มีการครอบครองวัตถุสิ่งของ หรือ
ทรัพย์สมบัติ" การตีความเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะว่าลักษณะของการครอบครอง
ทรัพย์สิน ก็ดี การไม่ปรารถนาที่จะสละของที่เป็นของตน ก็ดี ความหวงแหนใน
ทรัพย์ที่ถือว่าเป็นของตน ก็ดี จัดว่าเป็นโลภะทั้งสิ้น ไม่ใช่จัดเป็นมัจฉริยะ

ฉะนั้น แม้ว่าจะจัดกลุ่มสภาวะเช่นการไม่ยินดี ไม่อดทน หรือมีความตระหนี่
ถี่เหนียว ไม่ให้คนอื่นมายุ่งเกี่ยวหรือเป็นเจ้าของในทรัพย์สินของตน หรือใช้สอย
ทรัพย์สินของตนเป็นมัจฉริยะ แต่การไม่สละหรือการไม่เสียสละนั้น ก็ไม่ใช่จะ
เกี่ยวข้องเฉพาะกับมัจฉริยะ แต่ยังมีความเกี่ยวข้องกับโลภะด้วย แม้ว่าพระโสดาบัน
นั้นจะปราศจากมัจฉริยะแล้วก็ตาม แต่ในส่วนของโลภะยังมีอยู่ ในกรณีนี้ ผู้ศึกษา
สามารถที่จะนำเอาเหตุการณ์ในพุทธกาลมาพิจารณาเป็นตัวอย่าง เช่น เรื่องของ
มหาเศรษฐีกับภรรยา พระราชากับพระมเหสี ผู้ซึ่งได้สำเร็จเป็นพระไสดาบัน
สกทาคามี อนาคามี อนึ่ง ในยุคนั้น โจรขโมยหรือโจรปล้น ก็มีอยู่ พวกเดียรถีย์ที่
เป็นคู่อริกับพระพุทธศาสนากีมี รวมทั้งสาวกของเดียรถีย์เหล่านั้นด้วย ก็มีมากมาย
เพราะฉะนั้น พึ่งทราบว่าผู้ที่เที่ยวขอบุคคลอื่นโดยไม่คิดหน้าคิดหลังก็มีอยู่มาก
ซึ่งถ้าหากบุคคลสละให้ตามที่คนเหล่านั้นเที่ยวขออยู่นั้น บุคคลผู้ที่เป็นอริยะ
ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐี หรือเป็นพระมหากษัตริย์ หรือเป็นบุคคลธรรมดาทั่วไป ก็จะ
ปราศจากทรัพย์สินที่เป็นของส่วนตน กลายเป็นคนอนาถาอย่างแน่นอน ข้อนี้
พึงนำเอาเรื่องที่โจรเข้าประชิดบ้านของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีดูก็แล้วกัน
เพราะถ้าขอได้ก็คงไม่มีการไปปล้น แต่ว่าคนเหล่านั้นก็ฝืนกฎหมายทำการปลัน
ซึ่งมีโทษมหันต์ในยุคนั้น โดยไม่เกรงขามต่อกฎหมายบ้านเมือง

ดังนั้น คำว่า มัจฉริยะ จึงหมายถึง ความตระหนี่ที่เป็นไปในลักษณะไม่ต้องการ
ให้บุคคลอื่นครอบครองหรือมีความเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของตน แต่สำหรับการที่
ไม่ยอมสละสิ่งของอันเป็นที่รักของตนโดยไม่เกี่ยวกับการครอบครองโดยไม่มีการ
ใส่ใจในการครองครองของบุคคลอื่น อันนี้เป็นวิสัยของโลภะเท่านั้น ไม่ใช่วิสัยของ
มัจฉริยะ แล้วก็สำหรับการที่ไม่ให้แก่บุคคลที่ขอในสิ่งที่ไม่ควรขอ ก็พึงทราบว่า ไม่
เกี่ยวกับโลภะและมัจฉริยะแต่อย่างใด พระนางอุบลวรรณาเถรี จึงได้กล่าวปฏิเสธ
ต่อพระอุทายีผู้มาขอบิณฑบาตผ้าอันตรวาสกดังนี้ว่า

มยํ โข ภนฺเต มาตุคามา นาม กิจฺฉลาภา, อิทญฺจ เม อนฺติมํ ปญฺจมํ จีวรํ.
นาหํ ทสฺสามิ.

ข้าแต่พระคุณเจ้า ดิฉันทั้งหลายผู้ซึ่งเป็นสตรีเพศมาตุคาม มีลาภสักการะน้อย
แม้แต่จีวรของพวกดิฉันก็มีเพียงแค่จีวรผืนที่ ๕ ซึ่งเป็นผืนสุดท้าย (แม้แต่จีวร
ผืนสุดท้ายของพวกดิฉัน ถือว่าเป็นผืนที่ ๕ เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงไม่ถวายท่าน
ความจริงแล้ว พระเถรีนี้มิใช่เพียงเฉพาะแค่ไม่มีโลภะและมัจฉริยะเท่านั้น
ท่านยังเป็นพระอรหันต์ผู้ปราศจากกิเลสทั้งปวงด้วย แต่ได้กล่าวตอบปฏิเสธ

พระอุทายีว่าไม่สามารถที่จะถวายสบงหรืออันตรวาสกแก่ท่านได้ ที่เป็นเช่นนี้
เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุว่า พระอุทายีนั้น อุตตริไปขอในสิ่งที่ไม่สามารถจะให้ได้
เนื่องจากว่า ผ้ามีจำกัด นั่นก็คือ มากที่สุดมีเพียงแค่ ๕ ผืนเท่านั้น ด้วยเทตุนี้
จึงไม่ควรปรักปรำผู้ที่ปฏิเสธที่จะให้หรือไม่ให้ในกรณีที่ขอในสิ่งทีไม่ควรขอนั้น
ว่าเป็นผู้มีมัจฉริยะแต่อย่างใด

ไฟล์แนป:
PhotoRoom-20230329_063035.png
PhotoRoom-20230329_063035.png [ 152.21 KiB | เปิดดู 2329 ครั้ง ]

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/